คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 612 ตัวแปรลึกลับ
ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา วันของงานรวมพลสี่ตระกูลลับก็มาถึง
เช้าตรู่ของวันนี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ตามคณะศิษย์ของตระกูลเหมยไปยังสถานที่รวมตัวของทั้งสี่ตระกูล
หานชางก็มิได้พยายามขัดขวางหรือกีดกั้นทั้งสองเนื่องจากเขามีแผนการที่เตรียมไว้แล้ว ในทางกลับกัน เขาถึงขั้นส่งคนไปเชิญฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือให้มาเข้าร่วมงานด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่สุภาพอย่างยิ่ง
หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทราบถึงแผนการชั่วร้ายของหานชางเป็นการล่วงหน้า ทั้งสองก็อาจจะเผลอประมาทและไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
จุดรวมตัวของสี่ตระกูลคือบริเวณจุดศูนย์กลางของอาณาเขตจวนตระกูลหานซึ่งเป็นสวนที่มีชื่อว่า ‘สวนเซินหลัว’ สถานที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยคลื่นพลังที่มหาศาลซึ่งเหมาะสมกับการรวมตัวของจอมยุทธ์มากมายและตระกูลหานก็มักจะเลือกที่นี่เป็นจุดรวมตัวสำหรับทั้งสี่ตระกูลเสมอ
เมื่อคนทั้งกลุ่มมาถึงทางเข้าสวน ทุกคนก็พบว่าหานชางและเหล่าผู้อาวุโสตระกูลหานรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นคณะศิษย์จากตระกูลเหมยรวมถึงฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาถึง หานชางก็คลี่ยิ้มกว้างและกล่าวทักทายพร้อมเดินตรงเข้ามา
“พี่เหมย ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมงานรวมพลจึงไม่มีโอกาสได้เข้าไปทักทายท่านอย่างเป็นทางการ หากข้าละเลยเกินไป ขอโปรดอย่าถือสาเลย”
แม้หานชางกล่าววาจาราวกับคุ้นเคยกับเหมยตงอวิ๋นดี ทว่าแท้ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหมยและตระกูลหานก็อยู่ในระดับธรรมดาทั่วไปเท่านั้น มีเพียงครานี้เท่านั้นที่หานชางแสดงท่าทีกระตือรือร้นในการทักทายเหมยตงอวิ๋น
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำหานสุภาพเกินไปแล้ว”
เหมยตงอวิ๋นไม่กล่าวสิ่งใดมากนักและเพียงกล่าวสั้น ๆ พร้อมรอยยิ้มที่ดูห่างเหินไม่เปลี่ยนแปลง
“โม่ฉือและอวี้โม่ก็อยู่ที่นี่ด้วย ในงานรวมพลสี่ตระกูลครานี้ ข้าตั้งใจที่จะถือโอกาสนี้ปล่อยตัวพ่อแม่ของเจ้าออกไป แม้ว่าพวกเขาจะเคยก่อความผิดครั้งใหญ่ในอดีต ทว่าทั้งสองก็เป็นพี่ชายและพี่สะใภ้ของข้า ข้าไม่อาจทนเห็นพวกเขาต้องอยู่ในหอคอยต้องห้ามไปตลอดได้”
หานชางยิ้มให้กับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางเป็นมิตรราวกับว่าเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อหลายวันก่อนเป็นเพียงความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
“หึ ถ้าเช่นนั้นก็ขอขอบคุณผู้นำหานเป็นการล่วงหน้าก็แล้วกัน”
สีหน้าของหานโม่ฉือมิได้เปลี่ยนแปลงเพราะวาจาของหานชาง เขาเพียงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแกมประชดประชัน
“เชิญเข้าไปพูดคุยกับทุกคนก่อนเถอะ นอกจากเจ้า ทุกคนก็มากันพร้อมแล้ว”
หานชางไม่สนใจน้ำเสียงประชดประชันของเขาแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรตอนนี้ หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก็กลายเป็นหุ่นเชิดที่เขาไว้วางใจได้มากที่สุด ในเมื่อหานโม่ฉือเป็นบุตรชายของพวกเขา เขาก็คงไม่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนอีกต่อไป เมื่อเวลานั้นมาถึง ทั้งตระกูลหานก็จะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาไปโดยปริยาย
หานชางเดินนำฉินอวี้โม่และคณะตระกูลเหมยเข้าไป เมื่อเข้าสู่ภายในสวน ทุกคนก็ได้พบกับสมาชิกจากตระกูลอื่นที่รออยู่ก่อนแล้ว
คนจากตระกูลไป่หลี่มองเห็นหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จึงเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น ทั้งสองฝ่ายไม่มีเรื่องบาดหมางใด ๆ กันและทุกคนต่างก็มีความรักความเอ็นดูให้กับหานโม่ฉือและภรรยาของเขา
หลังจากทักทายกับทุกคน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มองหาที่นั่งที่ถูกจัดไว้สำหรับตระกูลเหมยและนั่งลงกับพวกเขา แม้ตระกูลไป่หลี่จะเชิญฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือให้ไปนั่งด้วยกัน ทั้งสองก็ปฏิเสธอย่างอ่อนน้อม
ไป่หลี่ชิงโร่วก็เดินเข้ามาทักทายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียบเฉย เวลานี้การคาดเดาความคิดของนางก็เหมือนจะยากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้คือวันดีที่ทั้งสี่ตระกูลของเราได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ถือกำเนิดและเฉิดฉายในสี่ตระกูลของเรามากมาย คนเหล่านั้นยังเยาว์วัยนักและอีกไม่นานพวกเราก็คงจะถูกพวกเขาเหล่านั้นก้าวข้ามผ่านไป”
หานชางกวาดสายตามองไปที่หานเฟยและคนอื่น ๆ ก่อนบรรจบลงที่หานโม่ฉือและกล่าวเสียงดังฟังชัด หากกล่าวถึงความสามารถของคนรุ่นเยาว์ ความโดดเด่นของพวกเขาก็ไม่แตกต่างจากในอดีตมากนัก ในตอนนั้นหานซวนหยวนเป็นจอมยุทธ์ที่มากพรสวรรค์ของตระกูล หานโม่ฉือในวันนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าบิดาแม้แต่น้อย และอาจถึงขั้นเหนือกว่าด้วยซ้ำ
สำหรับบุตรชายสองคนของหานชาง แม้ว่าพวกเขาจะด้อยกว่าหานโม่ฉือเล็กน้อย ทว่าทั้งสองก็เป็นคนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นมากความสามารถในตระกูลหานและมีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าหานซวนหยวนมากนัก
“สิ่งที่ผู้นำหานพยายามกล่าวคือคลื่นลูกใหม่ย่อมซัดคลื่นลูกเก่า คนรุ่นใหม่ยอดเยี่ยมเหนือชั้นกว่าพวกเราไปแล้ว อีกไม่นานมันจะกลายเป็นยุคสมัยของคนรุ่นเยาว์อย่างแท้จริง”
ผู้นำตระกูลหลิวกล่าวเสริมประโยคของหานชางและน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำตระกูลหลิวและหานชางมักเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาเสมอ และผู้นำตระกูลหลิวมีส่วนร่วมในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตระกูลหานในอดีตครานั้น ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้ดูเหมือนเขาจะยอมจำนนต่อฝ่ายมารแล้วเช่นกันและลงเรือลำเดียวกับหานชาง กล่าวได้ว่าตระกูลหลิวมีส่วนร่วมไม่น้อยในแผนการของหานชางวันนี้
ผู้นำตระกูลไป่หลี่และเหมยตงอวิ๋นไม่กล่าวสิ่งใดทว่าเพียงนั่งรออย่างเงียบ ๆ พวกเขาชาญฉลาดและทราบดีว่างานรวมพลครานี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคาดเดาได้แล้วว่าหานชางและผู้นำตระกูลหลิววางแผนบางอย่างร่วมกัน งานรวมพลสี่ตระกูลครานี้มีจุดประสงค์เพื่อทำให้สมดุลขั้วอำนาจที่เคยมีก่อนหน้านี้หายไปและช่วยให้พวกเขาเป็นฝ่ายที่ถือครองอำนาจทั้งหมด
“ฮ่า ๆ ๆ ก่อนที่งานจะเริ่มขึ้น ข้าจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับคนสองคนก่อน”
หลังจากชำเลืองมองหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ หานชางก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “นี่คือบุตรชายของพี่ชายและพี่สะใภ้ของข้า—หานโม่ฉือ—ผู้ที่เคยถูกทำนายว่าเป็นตัวกาลกิณีและเวลานี้เขาก็เป็นจอมยุทธ์นภาเซียนผู้แข็งแกร่งแล้ว ข้างกายเขาคือภรรยาของเขาที่แม้จะทรงพลังไม่มากเท่าหานโม่ฉือ ทว่านางก็เป็นผู้ครองกายเทพมายาและเป็นช่างหลอมมากฝีมือ การที่ทั้งสองมาร่วมงานรวมพลครานี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลหานอย่างแท้จริง”
ทุกคนในที่นี้ทราบถึงตัวตนของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่มานานแล้ว อย่างไรก็ตาม การที่หานชางประกาศด้วยตัวเองเช่นนี้ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือตัวตนของฉินอวี้โม่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง พวกเขาต่างก็ทราบเกี่ยวกับกายเทพมายามาก่อนแล้ว ด้วยการที่มีกายเทพมายานี้ ต่อให้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนางจะยังไม่ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของดินแดน ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังเด็กยิ่งนัก หากให้เวลานาง นางจะกลายเป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิของดินแดนเทพมายาได้อย่างแน่นอน
“ที่แท้หานโม่ฉือผู้นี้ก็คือตัวกาลกิณีที่เลื่องลือในครั้งอดีตนี่เอง ข้าได้ยินว่าเขาถูกเนรเทศจากตระกูลหานไปที่ดินแดนระดับล่าง ทว่าไม่คิดเลยว่าตอนนี้เขาจะทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ไป่หลี่ชิงโร่วที่รู้จักกันว่าเป็นอัจฉริยะยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสี่ตระกูลยังห่างชั้นกับเขาอีกมากนัก !”
ใครคนหนึ่งกล่าวเสียงเบาอย่างกระซิบกระซาบด้วยความตกตะลึงกับพรสวรรค์ของหานโม่ฉือ ด้วยพรสวรรค์ที่น่าทึ่งเช่นนี้ แม้แต่ไป่หลี่ชิงโร่วที่กล่าวกันว่าเป็นคนรุ่นเยาว์ที่ฝีมือดีมากที่สุดในทั้งสี่ตระกูลและหานเฟยซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของตระกูลหานก็ยังเทียบไม่ได้
“ใช่แล้ว ส่วนฉินอวี้โม่ผู้นั้น ตอนนี้นางก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลางและยังเป็นผู้สืบทอดกายเทพมายา ในไม่ช้า นางจะกลายเป็นยอดฝีมือในขอบเขตนภาเซียนผู้แกร่งกล้าอย่างแน่นอน หากมีคนทั้งสองอยู่ในตระกูลหาน สถานะของตระกูลหานในบรรดาทั้งสี่ตระกูลจะต้องมั่นคงและไม่มีทางสั่นคลอนเป็นแน่”
“ข้าได้ยินมาว่าหานโม่ฉือและไป่หลี่ชิงโร่วมีสัญญาการแต่งงานร่วมกันตั้งแต่เด็ก ทว่าในเมื่อตอนนี้เขามีภรรยาอยู่ข้างกาย แล้วไป่หลี่ชิงโร่วล่ะ ?”
ใครคนหนึ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้และลอบมองไปที่ไป่หลี่ชิงโร่วก่อนกล่าวอย่างระมัดระวัง
มีคนเพียงไม่มากนักที่ทราบเกี่ยวกับข้อตกลงการแต่งงานระหว่างหานโม่ฉือและไป่หลี่ชิงโร่ว ผู้ที่เอ่ยออกมานี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลไป่หลี่จากในอดีต เขาจึงได้ทราบถึงเรื่องนี้
บัดนี้ในเมื่อหานโม่ฉือมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้วในขณะที่ไป่หลี่ชิงโร่วยังคงเฝ้ารอเพียงแต่เขามาตลอด เกรงว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่คงจะเสียหน้าอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เหมือนจะรักกันและเหมาะสมกันอย่างสมบูรณ์แบบ หากเทียบกับไป่หลี่ชิงโร่ว ฉินอวี้โม่ก็งดงามและทรงเสน่ห์กว่ามาก
ไป่หลี่ชิงโร่วกำลังนั่งนิ่งอย่างเงียบ ๆ ขณะใช้ความคิดในเรื่องบางอย่าง ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ นางก็รู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องตรงมาที่ตนรวมถึงมีคนแอบชี้ไม้ชี้มือมาที่นาง
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยายามฟังบทสนทนาของคนเหล่านั้น ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าคนเหล่านั้นกำลังพูดคุยถึงเรื่องใด ไป่หลี่ชิงโร่วจึงแอบลอบมองหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้นเช่นกัน ทว่าทั้งสองมิได้สนใจเลยสักนิด
สีหน้าของผู้นำตระกูลไป่หลี่ในเวลานี้บิดเบี้ยวเล็กน้อย ทว่าเมื่อไป่หลี่ชิงโร่วส่ายศีรษะเบา ๆ ให้กับเขา เขาจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทุกคน หานชางก็พยักศีรษะอย่างพึงพอใจ ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างเขาและตระกูลไป่หลี่ก็ไม่ราบรื่นนัก แน่นอนว่าเขามีความสุขกับการที่ได้เห็นตระกูลไป่หลี่กลายเป็นตัวตลก เขาทราบเรื่องข้อตกลงการแต่งงานระหว่างหานโม่ฉือและไป่หลี่ชิงโร่วจากในอดีตเช่นกัน จุดประสงค์ของเขาในการกล่าวแนะนำหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ต่อหน้าทุกคนในตอนนี้ก็เพื่อจุดชนวนให้ทุกคนกล่าวถึงเรื่องนั้น
“ผู้นำหาน ท่านช่วยอธิบายเกี่ยวกับการเตรียมการของงานรวมพลปีนี้ได้หรือไม่ ?”
เหมยตงอวิ๋นกล่าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยตรง งานรวมพลสี่ตระกูลลับทุกครั้งที่ผ่านมาล้วนมีกิจกรรมหลายอย่าง งานที่จัดขึ้นมานี้ก็มีจุดประสงค์เพื่อวัดความก้าวหน้าของแต่ละตระกูลและดูว่าพัฒนาขึ้นมากเพียงใด เพราะเหตุนั้น การแข่งขันของคนรุ่นเยาว์ย่อมเป็นหนึ่งในสิ่งที่ขาดไม่ได้
“พี่เหมย ไม่ต้องกังวลไป งานรวมพลครานี้จะจัดขึ้นเป็นเวลาสามวัน ทุกคนย่อมมีโอกาสได้แสดงฝีมือออกมา”
หานชางยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “วันนี้เป็นวันแรกของงาน ข้าอยากจะจัดการเรื่องในตระกูลของเราก่อน ข้าคิดว่าทุกท่านควรทราบเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ปิดบัง”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ปรบมือสองถึงสามครั้งก่อนมีกลุ่มผู้มาใหม่เดินเข้ามาพร้อมหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว
คนเหล่านั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเหล่าผู้อาวุโสทรงพลังที่ทำหน้าที่คุ้มกันหอคอยต้องห้ามนั่นเอง อย่างไรก็ตาม สวีไหลจากพิภพเหนือสวรรค์ไม่ได้มากับพวกเขาเหล่านี้และไม่อาจทราบได้ว่าเขาอยู่ที่ใด
“นี่คือพี่ใหญ่ของข้า—หานซวนหยวน ส่วนนี่คือพี่สะใภ้ของข้า—ไป่หลี่จิ่นซิ่ว พวกเขาถูกขังอยู่ในหอคอยต้องห้ามเพราะละเมิดกฎของตระกูลหาน บัดนี้ในเมื่อโม่ฉือกลับมาแล้วและพวกเขาก็ได้รับโทษตามสมควร ข้าก็ไม่อาจทนมองท่านพี่ทั้งสองที่ถูกกักขังได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องการใช้โอกาสนี้ในการปลดปล่อยพวกเขาต่อหน้าทุกท่านในที่นี้อย่างเป็นทางการ”
หานชางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายราวกับว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ
หลายคนที่ไม่ทราบเรื่องจริงต่างก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยและรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องตระกูลหานคู่นี้รักกันดียิ่งนัก อีกทั้งยังคิดว่าหานชางเป็นคนจริงใจ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทราบเรื่องจริงล้วนไม่หลงกลกับการแสดงตบตาของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจากตระกูลไป่หลี่และตระกูลเหมยที่ไม่คล้อยตามวาจาของหานชางแม้แต่น้อย
.