คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 614 ความจริงเปิดเผย
เป็นจริงดังที่หานชางกล่าวไว้ ฝ่ายมารได้ร่วมมือกับนิกายหงส์มังกรของดินแดนเทพมายาและเปิดฉากโจมตีตระกูลเหมยและตระกูลไป่หลี่อย่างดุเดือด
สถานการณ์ของตระกูลเหมยคงที่กว่ามากเนื่องจากเวลานี้ผู้นำตระกูลยังประจำอยู่ที่นั่นและจัดการควบคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง ทว่าสถานการณ์ในตระกูลไป่หลี่ก็ไม่สู้ดีนัก เนื่องจากผู้นำตระกูลไปหลี่ไม่อยู่ที่จวนตระกูลและหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างตกเป็นของผู้อาวุโสภายในตระกูล
ผู้อาวุโสของตระกูลไป่หลี่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้นซึ่งไม่ทรงพลังมากนัก เมื่อเผชิญกับสถานการณ์รุนแรงอย่างกะทันหันเช่นนี้ เขาจึงยื้อเวลาป้องกันได้ไม่นาน
“ช่างชั่วช้ายิ่งนัก !”
เสี่ยวโร่วอดโพล่งออกไปไม่ได้ นางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกังวล ผู้นำตระกูลเหมยรักนางมากและเป็นธรรมดาที่นางจะเป็นห่วงสถานการณ์ของท่านปู่ของตนเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้ชนะย่อมเป็นข้า ไม่ว่าจะดีจะเลว ขอเพียงเอาชนะได้ เหตุใดจะต้องยึดติดกับวิธีการใดวิธีการหนึ่งด้วยเล่า ?”
หานชางหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าของผู้ชนะ
“ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ พวกเจ้าควรยอมแพ้โดยเร็วและทำตามคำสั่งของข้าซะ มิฉะนั้น…ข้าก็มิอาจรับประกันความปลอดภัยของพ่อแม่เจ้า !”
หานชางมองตรงไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมกล่าววาจาข่มขู่
เวลานี้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วกลายเป็นหุ่นเชิดของเขาแล้ว และเขาไม่เชื่อว่าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จะไม่สนใจความปลอดภัยของคนทั้งสอง
“มีอะไรรึ ? เกิดเรื่องอะไรกับน้องสาวของข้างั้นรึ ?!”
เมื่อผู้นำตระกูลไป่หลี่ได้ยินคำพูดข่มขู่ของหานชาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที หลังจากหันขวับมองไปที่ไป่หลี่จิ่นซิ่วและหานซวนหยวนซึ่งไม่มีท่าทีของความผิดปกติใด เขาก็งุนงงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม สีหน้ามั่นอกมั่นใจของหานชางทำให้เขากังวลขึ้นมา
“ท่านลุงไม่ต้องห่วงขอรับ รอดูพวกเราก็พอ”
หานโม่ฉือกล่าวและยิ้มให้กับผู้เป็นลุง
“หานชาง สิ่งที่เจ้าพึ่งพาอาศัยเป็นเพียงทักษะหุ่นเชิดเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจมากเกินไป”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและมองตรงไปที่หานชางด้วยแววตาเย้ยหยัน สีหน้าอย่างผู้ชนะของหานชางทำให้นางไม่พอใจยิ่งนัก ในไม่ช้า หานชางผู้นี้จะไม่มีหน้ามาวางท่าหยิ่งผยองได้อีก !
“เจ้ากำลังหมายความว่าอะไรกัน ?!”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หานชางก็ประหม่าขึ้นมาทันทีและเกิดลางสังหรณ์บางอย่างในใจ
“โอ้ ? เหตุใดไม่ลองดูก่อนล่ะว่าพวกเขาจะทำตามคำสั่งของเจ้าหรือไม่”
ขณะชี้นิ้วไปที่ ‘หานซวนหยวน’ และ ‘ไป่หลี่จิ่นซิ่ว’ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อย่าคิดมาหลอกข้าซะให้ยาก !”
หานชางกล่าวเสียงเย็นด้วยความไม่เชื่อก่อนหันไปออกคำสั่งกับหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว
“พวกเจ้า ฆ่านางให้กับข้าเดี๋ยวนี้ !”
เขาหมายที่จะสังหารฉินอวี้โม่อยู่แล้ว สำหรับคนรุ่นเยาว์ที่มากพรสวรรค์และทรงพลังเช่นนี้ ตราบใดที่มีโอกาส เขาจะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ไม่ได้เด็ดขาด
“เฮอะ ! เจ้าเป็นใครงั้นรึ ?!”
กิเลนอัคคีในคราบของหานซวนหยวนชำเลืองมองหานชางด้วยหางตาอย่างเหยียดหยามและกล่าวอย่างทะนงตน
“เจ้าโง่ คิดว่าเจ้าคู่ควรที่จะสั่งพวกข้ารึไง !”
มารยากล่าววาจาเย็นชาเช่นกันและไม่ปิดบังความเกลียดชังในใจแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยเหยียดหยามของกิเลนอัคคีและมารยา หานชางก็ชะงักไปทันทีก่อนเรียกสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าไม่ใช่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว !”
แท้ที่จริงเขาคุ้นเคยกับหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วพอสมควร เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาและคนอื่น ๆ ละเลยจนเกินไปจึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ ทว่าเมื่อมองดูอย่างพินิจพิจารณาในตอนนี้ เขาก็จับสังเกตได้ สองคนตรงหน้าเขามิใช่ศัตรูคู่อริอย่างหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว
“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดเจ้าก็รู้ตัวสักที แต่ก็สายไปเสียแล้ว !”
กิเลนอัคคีหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสาแก่ใจและเปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิมในทันที อสูรสาวมารยาเองก็กลับคืนร่างเดิมเช่นกันและร่างสตรีงดงามของมันนั้นยากที่ผู้ใดจะละสายตาได้
“พวกเจ้าเป็นใคร ? เป็นคนของตระกูลไหนกัน ?!”
เมื่อเห็นกิเลนอัคคีและมารยาในร่างมนุษย์แปลกหน้า สีหน้าของหานชางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ใครบอกล่ะว่าพวกข้าเป็นคน ? ฮ่า ๆ ๆ”
กิเลนอัคคียังคงหัวเราะเสียงดังขณะเดินเข้าไปหาหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้าง นายท่าน นายหญิง ฝีมือการแสดงของพวกเราไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ ฮ่า ๆ ๆ”
“เยี่ยมมาก ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ กิเลนอัคคีและมารยาเป็นอสูรฝีมือดีอย่างแท้จริง พวกมันทั้งสองมีปัญญาชาญฉลาดและมากความสามารถ ระหว่างช่วงที่ปลอมตัวเสแสร้งเป็นหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วนั้นแทบไม่มีจุดบกพร่องใดที่ปรากฏให้เห็นเลย
“พวกเจ้า…”
เมื่อหานชางได้ยินวาจาของกิเลนอัคคีและเห็นท่าทางเคารพนอบน้อมที่อสูรทั้งสองแสดงต่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เขาก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันที
“เหอะ หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วละเมิดกฎของตระกูลและหนีออกจากหอคอยต้องห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามกฎของตระกูลเรา รากฐานฝึกยุทธ์ของทั้งสองจะต้องถูกทำลายและถูกเนรเทศออกไปจากตระกูลหาน !”
หานชางแค่นเสียงเย็นชาและความคิดอีกประการผุดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว หากสามารถขับไล่หานซวนหยวนออกไปจากตระกูลหานด้วยวิธีการที่เป็นธรรมและหาทางสังหารคนทั้งสองในภายหลังได้ มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการของเขา
“หานชาง กฎของตระกูลหานที่ว่านั่นมันเป็นสิ่งที่เจ้าตั้งขึ้นเอง !”
น้ำเสียงทรงพลังสง่างามของหานซวนหยวนดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่เขาและภรรยาจะปรากฏกายขึ้นมาข้างหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่
เมื่อได้เห็นหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วตัวจริงที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหัน หานชางก็เข้าใจได้ทันที เขาแสยะยิ้มเยือกเย็นและกล่าวกับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ “เป็นฝีมือพวกเจ้านี่เอง ! ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าไม่พยายามหาทางพาหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วออกไปจากหอคอย ที่แท้ทั้งสองก็หนีออกมากับพวกเจ้าตั้งแต่วันนั้นแล้ว !”
“เหอะ หากไม่หนีออกมา ป่านนี้ท่านพ่อและท่านแม่ก็คงจะถูกควบคุมโดยทักษะหุ่นเชิดของเจ้าไปแล้วมิใช่รึ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถาง บัดนี้ในเมื่อฉีกหน้ากันอย่างเปิดเผยแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งวางท่าอีกต่อไป ในเมื่อหานชางคิดที่จะดำเนินตามแผนการที่วางไว้ สิ่งที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องทำก็คือหาทางขัดขวางทำลายแผนการของคนใจชั่วเหล่านี้ให้จงได้
“ทักษะหุ่นเชิด !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลหานที่ทำหน้าที่คุ้มกันหอคอยต้องห้ามก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เดิมทีแววตาของพวกเขามีเพียงความเคารพต่อหานชาง ทว่าตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความสงสัย
“หานชาง เจ้าวางตัวสูงส่งกว่าทุกคนมานานหลายปี ถึงเวลาต้องชดใช้แล้ว ในเมื่อเจ้าก่อกรรมทำชั่วมาตั้งแต่ในอดีต มันก็ถึงเวลาแล้วที่จะได้รับผลกรรมเสียที !”
ทันใดนั้น หานหยวนก็ก้าวออกมาจากฝูงชนและมองพี่ชายต่างมารดาด้วยแววตาชิงชัง
“ในอดีต หานชางแอบวางยาพิษในอาหารของโม่ฉือจึงทำให้นัยน์ตาของเขากลายเป็นสีแดงฉานและถูกขับไล่ในฐานะตัวกาลกิณีของตระกูลเพราะคำทำนายจากสมาชิกของพิภพเหนือสวรรค์ ซ้ำร้ายเขายังร่วมมือกับฝ่ายมารและบีบบังคับให้ผู้นำตระกูลหานคนก่อนสังหารโม่ฉือและพี่ใหญ่ แน่นอนว่าท่านพ่อปฏิเสธอย่างไม่ไยดีทว่ากลับถูกวางยาพิษโดยฝีมือของเขาและเสียชีวิตไปในที่สุด ในตอนนั้น แม้ข้าอยากจะช่วยท่านพ่อแต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากคนที่หานชางส่งมาเช่นกัน หลังจากนั้นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ก็พาโม่ฉือหนีออกไป ทว่ายังไม่วายถูกหานชางส่งคนออกไปตามไล่ล่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พี่ใหญ่จึงตัดสินใจส่งตัวโม่ฉือไปที่ดินแดนหวนหลิงเพื่อให้สหายช่วยชุบเลี้ยง สุดท้ายเขาและพี่สะใภ้ก็ถูกจับตัวกลับมาที่ตระกูลหานโดยที่รากฐานฝึกยุทธ์ได้ถูกทำลายไป หากมิใช่เพราะการคัดค้านเสียงแข็งของผู้อาวุโสหลายคนรวมถึงแรงกดดันจากตระกูลไป่หลี่ เกรงว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้คงจะมิได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ !”
หานหยวนมองหานชางอย่างโกรธแค้นและกล่าวข้อมูลทุกอย่างที่เขาสืบรวบรวมมาตลอดหลายปี
“เมื่อไม่กี่วันก่อน หานชางได้รับทักษะหุ่นเชิดที่ถือเป็นทักษะต้องห้ามของดินแดนมาจากฝ่ายมาร เขาคิดที่จะใช้ทักษะวิชานี้เพื่อควบคุมพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ รวมถึงทุกคนในตระกูลหานและแม้กระทั่งสมาชิกทั้งสี่ตระกูลให้อยู่ในกำมือ หลังจากที่ข้าทราบเรื่องนี้ ข้าก็พยายามคิดหาทางขัดขวางมัน ทว่าก็ประจวบเหมาะกับการที่โม่ฉือกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนซึ่งทำให้ข้าประหลาดใจมาก ในตอนนั้นข้าจึงได้บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และเราก็วางแผนร่วมกัน หานชาง…ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องชดใช้ต่อสิ่งที่เจ้าทำในอดีตแล้ว !”
หานหยวนสืบเบาะแสทุกอย่างมาตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา ในอดีตครานั้น หานโม่ฉือเกิดมาพร้อมนัยน์ตาแดงฉานและถูกกล่าวว่าเป็นตัวกาลกิณีที่จะนำหายนะมาสู่วงศ์ตระกูล ทว่าตัวเขาไม่เคยเชื่อเรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอและพ่ายแพ้ต่ออำนาจของหางชาง เขาจึงไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย
บัดนี้ในที่สุดเขาก็รวบรวมหลักฐานและได้ความช่วยเหลือจาก ‘ใครบางคน’ เพื่อเปิดโปงแผนการสมคบคิดของหานชางและทำให้ความจริงทั้งหมดประจักษ์ต่อทุกคน เวลานี้หานหยวนรู้สึกโล่งใจและสบายใจขึ้นมาก เขาต้องเก็บงำเรื่องทุกอย่างไว้ในใจมาตลอดหลายปีเพื่อรอให้ถึงวันนี้ และในที่สุดเมื่อวันนี้มาถึง เขาก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง
“หานชาง นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทำเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้นลับหลังพวกเรา ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเราเชื่อมั่นในตัวเจ้าและปล่อยให้เจ้าได้ดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลหานมาโดยตลอด ทว่าในเวลานี้ เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้นำของตระกูลหานอีกต่อไปและเจ้าก็ไม่คู่ควรแก่การเป็นสมาชิกของตระกูลหานด้วยซ้ำ !”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว เขาคิดมาเสมอว่าหานชางปฏิบัติหน้าที่ผู้นำตระกูลได้ดี เพราะเหตุนั้นแม้ว่าคนผู้นี้จะไม่มีความแข็งแกร่งที่มากนักและเป็นคนที่ไม่ดีนัก เขาก็เชื่อฟังวาจาของผู้นำตระกูลคนนี้มาตลอด ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วหานชางจะโกหกหลอกลวงพวกเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งนี้ทำให้เขามีอารมณ์เดือดดาลขึ้นมา !
“เหอะ หากผู้นำตระกูลหานคนก่อนทราบว่าเราหลงกลปล่อยให้หมาป่าเจ้าเล่ห์และทะเยอทะยานเกินตัวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำมานานหลายปีเช่นนี้ วิญญาณของเขาก็อาจจะตามมาบีบคอเราจนตายได้ วันนี้เราจะต้องทำให้เจ้าหานชางผู้นี้ชดใช้กับทุกสิ่งทุกอย่างและความผิดทั้งหมดตลอดเวลาที่ผ่านมา !”
สมาชิกตระกูลหานคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยตามกัน พวกเขารักและภักดีต่อตระกูลหานอย่างสุดหัวใจและไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของหานชางอีก
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย เหตุใดจึงต้องเชื่อวาจาไร้สาระของหานหยวนผู้นี้ด้วยเล่า ? เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคำทำนายจากสมาชิกของพิภพเหนือสวรรค์ แน่นอนว่ามันไม่มีทางปลอมแปลงขึ้นได้ หากหานหยวนรู้ว่ามันไม่จริง แล้วเหตุใดเขาจึงไม่กล่าวออกมาตั้งแต่เนิ่น ๆ และจะรอจนถึงตอนนี้ทำไม ?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ปกป้องเข้าข้างหานชางกล่าวแย้ง เขาทราบดีว่าเรื่องทุกอย่างเป็นฝีมือของหานชางจริง ทว่าเขามีหน้าที่พิทักษ์คนผู้นี้และเชื่อว่าการติดตามฝ่ายมารจะช่วยให้ตนมีอนาคตที่ดีกว่า เพราะเหตุนั้นเขาจึงสนับสนุนหานชาง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อข้าเลือกที่จะเปิดเผยความจริงในเวลานี้ แน่นอนว่าข้าต้องมีหลักฐาน หานชาง…บทลงโทษของเจ้ามาถึงแล้ว !”
หานหยวนหัวเราะเสียงดังลั่นก่อนที่ใครคนหนึ่งจะก้าวออกมาจากข้างหลังเขาไม่ไกล
ทันทีที่คนผู้นั้นแสดงตัว ทุกคนก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน แม้แต่หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็ยังชะงักไปเล็กน้อยก่อนสีหน้าจะกลับเป็นปกติ
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจอมยุทธ์จากพิภพเหนือสวรรค์ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ของหอคอยต้องห้ามมาตลอดหลายปีนั่นเอง หลักฐานที่หานหยวนกล่าวถึงก็คือพยานบุคคลผู้นี้
“เป็นจริงอย่างที่ว่า นัยน์ตาสีแดงฉานของหานโม่ฉือเกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์…มีใครบางคนวางยาเขา”
สวีไหลกล่าวขึ้นเบา ๆ เป็นการยอมรับว่านัยน์ตาสีแดงฉานน่าหวาดหวั่นของทารกน้อยหานโม่ฉือในตอนนั้นเกิดจากการวางยาพิษ ทว่าเขาไม่กล่าวเรื่องที่ว่าหานโม่ฉือเป็นตัวกาลกิณีหรือไม่
อย่างไรก็ตาม วาจาของสวีไหลทำให้ทุกคนเข้าใจถึงการกระทำของหานชางอย่างแท้จริง เมื่อนึกย้อนกลับไป ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าวาจาของหานหยวนสมเหตุสมผลจริง ตั้งแต่ครั้งอดีต หานชางก็ก่อกรรมทำชั่วมาแล้วหลายอย่าง
“ฮ่า ๆ ๆ ใช่ ข้าทำเอง แล้วอย่างไรรึ ?”
เวลานี้หานชางไม่พยายามปกปิดความจริงอีกต่อไป เขาหัวเราะเสียงดังขณะกวาดสายตามองทุกคนด้วยแววตาเหยียดหยาม
.