คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 621 ขุมกำลังลึกลับ
กระบี่จักรพรรดิอำพันและดาบวายุทะลวงเป็นสมบัติล้ำค่าสองชิ้นที่บรรพบุรุษตระกูลหานได้ครอบครองมาโดยบังเอิญและถือเป็นไพ่ตายใบสำคัญของตระกูลเช่นกัน
ต้องกล่าวเลยว่านอกเหนือจากพลังอันน่าทึ่งของอาวุธทั้งสองชิ้นนี้ พวกมันก็ยังถูกจารึกไปด้วยทักษะยุทธ์อันน่าสะพรึงกลัว หากสามารถศึกษาเรียนรู้ทักษะยุทธ์เหล่านี้ได้ คนผู้นั้นจะสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของตนเองได้อย่างมหาศาลและจะไม่มีทางเสียเปรียบจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในสงครามกับฝ่ายมารเมื่อพันปีก่อน กระบี่จักรพรรดิอำพันได้หายสาบสูญไปและดาบวายุทะลวงก็ได้รับเสียหายอย่างหนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมานับจากนั้น ผู้นำตระกูลหานทุกรุ่นก็พยายามตามหาช่างหลอมมากฝีมือเพื่อต้องการซ่อมแซมดาบวายุทะลวงให้กลับคืนสู่สภาวะดั้งเดิม ทว่าพวกเขาไม่เคยหาทางซ่อมแซมมันได้สำเร็จ
แม้แต่ผู้นำตระกูลหานคนก่อน ดาบวายุทะลวงที่อยู่ในมือของเขาก็มีพลังเพียงแค่เจ็ดในสิบส่วนจากเดิมเท่านั้น บัดนี้เมื่ออยู่ในมือหานชาง ไม่อาจทราบได้เลยว่าเขาใช้วิธีใดเพื่อฟื้นฟูดาบล้ำค่าเล่มนี้จนกลับคืนสู่ระดับพลังสูงสุดของมัน ทว่าดาบวายุทะลวงในตอนนี้ดูประหลาดไปจากเดิมมากและมิได้เปี่ยมไปด้วยพลังธาตุแสงเหมือนอย่างในอดีต ในทางกลับกัน มันถูกครอบงำไปด้วยพลังความมืดซึ่งทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกอึดอัดไปตาม ๆ กัน
สำหรับกระบี่จักรพรรดิอำพัน แท้จริงแล้วมันมิได้สูญหายไปในอดีตครานั้น หากแต่ถูกซ่อนไว้ในหอคอยต้องห้ามโดยการตัดสินใจของบรรพบุรุษตระกูลหาน ในสงครามครานั้น กระบี่จักรพรรดิอำพันก็ได้รับเสียหายอย่างหนักเช่นกันและปนเปื้อนไปด้วยพลังกัดกร่อนของผู้นำฝ่ายมารจนไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืนสภาพเดิมได้
บรรพบุรุษตระกูลหานกังวลว่าหากกระบี่ล้ำค่าของตระกูลตกไปอยู่มือของทายาทรุ่นต่อ ๆ ไป คนผู้นั้นอาจได้รับอิทธิพลจากพลังกัดกร่อนที่ปนเปื้อนอยู่ในกระบี่จนทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงไปในด้านลบ เพราะเหตุนั้น เขาจึงผนึกมันไว้ในหอคอยต้องห้ามด้วยหวังว่าวันหนึ่งพลังแห่งแสงในกระบี่จักรพรรดิอำพันจะเอาชนะพลังกัดกร่อนและขจัดมันออกไปได้
เมื่อสามสิบปีก่อน รากฐานฝึกยุทธ์ของหานซวนหยวนถูกทำลายไปและตัวเขาก็ถูกกักขังไว้ในหอคอยต้องห้าม แม้เขาจะพยายามฝึกยุทธ์อย่างหนักหน่วง แต่มันก็เป็นการยากที่จะฟื้นฟูกลับสู่สภาวะพลังสูงสุดเนื่องจากรากฐานฝึกยุทธ์ของเขาเสียหายเกินกว่าจะรักษาได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังใจจากไป่หลี่จิ่นซิ่ว เขาจึงไม่ยอมแพ้และมุมานะฝึกวิชาต่อไปด้วยหวังว่าสักวันจะได้ออกไปจากหอคอยและตามหาบุตรชายของตน
ด้วยเจตจำนงอันแกร่งกล้านี้เองที่ทำให้กระบี่จักรพรรดิอำพันในหอคอยต้องห้ามรู้สึกประทับใจขึ้นมา อีกทั้งด้วยการที่กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธระดับวิจิตรขั้นสุริยะ แน่นอนว่ามันสามารถเลือกนายของมันเองได้ ซึ่งในตอนนั้นมันก็ตัดสินใจเลือกหานซวนหยวนเป็นนายคนใหม่อย่างไม่ลังเล
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความพยายามร่วมกันของหานซวนหยวนและกระบี่จักรพรรดิอำพัน พลังกัดกร่อนที่แปดเปื้อนกระบี่จักรพรรดิอำพันจากสงครามครานั้นก็ได้ถูกขจัดออกไปโดยสมบูรณ์และกลับสู่สภาวะพลังสูงสุดของมัน
ยิ่งไปกว่านั้น หานซวนหยวนก็ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้เช่นกัน พลังความแข็งแกร่งของเขาฟื้นฟูจนกลับคืนสู่ระดับสูงสุดของตนเองในอดีตและยังแกร่งกล้ากว่าก่อนด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม หานชางไม่ทราบเรื่องนี้แม้แต่น้อยและคาดไม่ถึงเลยว่ากระบี่จักรพรรดิอำพันซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าประจำตระกูลจะอยู่ในการครอบครองของหานซวนหยวน
“วายุทะลวง ไม่คิดเลยว่าหลังจากเวลานับพันปี ข้าที่แปดเปื้อนไปด้วยพลังกัดกร่อนจะฟื้นฟูจนกลับเป็นปกติ ทว่าเจ้ากลับกลายเป็นหุ่นเชิดของพลังความมืดไปได้”
จู่ ๆ กระบี่จักรพรรดิอำพันในมือของหานซวนหยวนก็กลายเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงสว่างซึ่งทำให้ทุกคนรอบตัวรู้สึกอบอุ่นสบายใจ จากนั้นร่างจำแลงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญาเล็กน้อย
อาวุธพลังวิญญาณเหล่านี้สามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้หลังจากการสั่งสมดูดซับพลังฟ้าดินนานพันปี กล่าวได้ว่าดาบวายุทะลวงและกระบี่จักรพรรดิอำพันเป็นสหายคู่หูที่ดีต่อกันเมื่อครั้งอดีต เพียงแต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กับพวกมันในช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมา
“จักรพรรดิอำพัน เจ้าไม่เข้าใจหรอก !”
ดาบวายุทะลวงเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์สวมเสื้อคลุมสีดำเช่นกันและทั้งร่างปกคลุมไปด้วยกลุ่มอากาศมืดทะมึนโดยที่มิอาจมองเห็นใบหน้าของร่างบุรุษได้ชัดเจนนัก
“ข้าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เดิมทีข้าเป็นอาวุธผู้พิทักษ์ประจำตระกูลหาน ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาทำร้ายคนของตระกูลหานเสียเองเช่นนี้”
ดาบวายุทะลวงกล่าวอย่างจนปัญญาและน้ำเสียงของมันราวกับมีบางอย่างซ่อนไว้
หานชาง หานซวนหยวนและคนอื่น ๆ ไม่แปลกใจเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของดาบวายุทะลวงและกระบี่จักรพรรดิอำพัน พวกเขาทราบดีว่าอาวุธประจำตระกูลหานทั้งสองชิ้นนี้เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณและพลังชีวิต การที่มันสามารถจำแลงร่างมนุษย์ขึ้นมาเช่นนี้มิได้เหนือความคาดหมายของพวกเขาเลย
“วายุทะลวง ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า และในตอนนี้เจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน”
ร่างมนุษย์ของกระบี่จักรพรรดิอำพันขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกอับจนปัญญาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กับสหายของตนเอง หัวใจของมันในตอนนี้รู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด
เมื่อนึกย้อนไปถึงศัตรูคู่แค้นจำนวนนับไม่ถ้วนที่พวกมันฝ่าฟันเอาชนะมาด้วยกันในอดีตและทุ่มเทอุทิศตนเพื่อตระกูลหานมามากมาย ไม่คิดเลยว่าวันนี้พวกมันจะต้องห้ำหั่นกันเองในสถานการณ์ลำบากใจเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ๆ จริงอยู่ที่พลังของเจ้าในตอนนี้แกร่งกล้ากว่าข้ามากนัก เพียงแต่การที่ข้าจะหยุดตนเอง สิ่งที่ข้าต้องแลกอยู่เหนือกว่าจินตนาการของเจ้ามาก”
ดาบวายุทะลวงยิ้มอย่างประหลาดและกล่าวกับกระบี่จักรพรรดิอำพันที่ดูเหมือนกำลังปกป้องทุกคนโดยรอบในขณะที่สนทนากัน
“ดาบวายุทะลวง รีบฆ่าคนพวกนี้ให้กับข้า !”
หานชางกล่าวออกไปทันทีเพื่อหมายที่จะควบคุมวิญญาณของดาบวายุทะลวงอีกครั้ง
“หานชาง หุบปากไปเสีย !”
ร่างของหานซวนหยวนพุ่งตรงออกไปและฟาดฝ่ามือเข้าใส่น้องชายต่างมารดาอย่างแรง ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกระบี่จักรพรรดิอำพันและดาบวายุทะลวงทำให้เขาประทับใจไม่น้อย
ดาบวายุทะลวงเล่มนี้น่าจะถูกหานชางควบคุมโดยวิธีการบางอย่างซึ่งทำให้มันตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
มิฉะนั้น คงไม่มีทางที่ดาบวายุทะลวงที่เป็นอาวุธที่มีคุณสมบัติธาตุแสงมาตั้งแต่ต้นเล่มนี้จะแปดเปื้อนไปด้วยพลังความมืดอันชั่วร้ายเช่นนี้อย่างแน่นอน
“จักรพรรดิอำพัน เห็นทีข้าคงจะทำได้เพียงสิ่งนั้น”
ทันใดนั้น ดาบวายุทะลวงก็คลี่ยิ้มและกลุ่มพลังทะมึนทั่วร่างจางลง ใบหน้าของมันในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความคลายกังวล เวลานี้ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น มันจึงทำได้เพียงแค่ ‘สิ่งนั้น’
“…”
กระบี่จักรพรรดิอำพันไม่กล่าวสิ่งใดราวกับไม่อาจสรรหาคำพูดใดเพื่อตอบโต้ได้ มันเข้าใจความหมายของดาบวายุทะลวงในทันทีและตระหนักว่าอาจต้องบอกลาสหายเก่าแก่ เพียงแต่มันก็มิได้กล่าวสิ่งใดเพื่อเหนี่ยวรั้งสหายไว้ สำหรับสหายอย่างดาบวายุทะลวง มันเข้าใจดีว่าสิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร เพราะเหตุนั้น มันจึงสนับสนุนการตัดสินใจของดาบวายุทะลวงอย่างแท้จริง หากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน กระบี่จักรพรรดิอำพันก็คงจะตัดสินใจเลือกทำในแบบเดียวกัน
“ข้าเข้าใจ เจ้าไปเถอะ ข้าจะช่วยปกป้องตระกูลหานแทนเจ้าเอง !”
หลังจากคิดพิจารณาครู่หนึ่ง กระบี่จักรพรรดิอำพันก็ยิ้มให้กับสหายและกล่าวคำมั่นจากหัวใจ
“ขอบคุณมาก”
ดาบวายุทะลวงคลี่ยิ้มอย่างคลายกังวลราวกับความปรารถนาของตนได้รับการเติมเต็ม
ทันใดนั้น ดาบวายุทะลวงก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าและพลังความมืดรอบตัวค่อย ๆ สลายหายไป ภายในเวลาเพียงชั่วขณะ ใบหน้าที่แท้จริงของดาบวายุทะลวงก็ปรากฏตรงหน้าทุกคน
แท้จริงแล้วร่างมนุษย์ของมันเป็นบุรุษรูปงามไม่ต่างกันและแผ่กลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับสหายอย่างกระบี่จักรพรรดิอำพัน เวลานี้ใบหน้าของมันประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและแววตาเจือความไม่เต็มใจเล็กน้อยขณะมองไปที่สหายซึ่งอยู่ไม่ไกล
“จักรพรรดิอำพัน ลาก่อน…ตลอดกาล”
ด้วยประโยคทิ้งท้ายเพียงสั้น ๆ ร่างของดาบวายุทะลวงก็ค่อย ๆ หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน มันกลายเป็นดั่งแสงดาราจุดเล็กที่ลอยละล่องขึ้นไปบนท้องฟ้าและลอยไกลออกไปเรื่อย ๆ จนหายลับตาไป
เดิมทีดาบวายุทะลวงถูกกัดกร่อนโดยพลังความมืดของบุปผาแห่งความมืด ทว่าหลังจากตื่นขึ้นมาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ มันก็ได้พบกับสหายช้านานอย่างกระบี่จักรพรรดิอำพันและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย
หากไม่ต้องการช่วยเหลือคนใจหยาบอีกต่อไป มันก็ทำได้เพียงลบล้างจิตวิญญาณที่หลงเหลือของตนเองให้สิ้นซาก มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นหุ่นเชิดของพลังความมืดไปตลอดและต้องทำร้ายผู้คนไปอีกมาก
“สหายเก่าแก่ของข้า….ลาก่อน !”
ดวงตาของกระบี่จักรพรรดิอำพันรื้นไปด้วยน้ำตาทว่ามุมปากกลับยกเป็นรอยยิ้มบาง มันทราบดีว่าการตัดสินใจนี้จะเป็นการปลดปล่อยดาบวายุทะลวงไปจากห้วงแห่งความทุกข์ ทั้งตัวมันเองและสหายต่างก็ไม่ต้องการตกเป็นหุ่นเชิดของพลังความมืด
ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ รู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นความสัมพันธ์ของพวกมัน แม้กระบี่จักรพรรดิอำพันและดาบวายุทะลวงจะเป็นเพียงแค่อาวุธ ทว่าพวกมันกลับมีมิตรภาพที่น่าจับใจยิ่งกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่เสียอีก
พวกมันเข้าใจความคิดของกันและกัน เชื่อใจซึ่งกันและกัน รวมถึงรู้ใจว่าอีกฝ่ายต้องการทำสิ่งใด นี่อาจเป็นคำนิยามของมิตรสหายที่แท้จริงซึ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสหายคือสิ่งใด
“ไม่ต้องกังวล ทุกสิ่งในโลกล้วนมีเหตุและผลของมันเอง บางคราความตายก็มิได้หมายถึงจุดจบของชีวิต ทว่ามันอาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับชีวิตใหม่”
จู่ ๆ สวีไหลผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดก็อดกล่าวออกไปไม่ได้ เขาเองก็ตกตะลึงในใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน มิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างอาวุธพลังวิญญาณทั้งสองชิ้นเป็นสิ่งที่น่าตกใจสำหรับเขาพอสมควร สมาชิกจากพิภพเหนือสวรรค์ล้วนไม่เข้าใจความสัมพันธ์หรือความรักแม้แต่น้อย…ทว่าภาพในตอนนี้กลับทำให้เขารู้สึกเศร้าโศกไม่น้อยเลย
เมื่อได้ยินวาจาของสวีไหล สีหน้าของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยแสดงให้เห็นถึงแววตาแปลกใจ เดิมทีทุกคนคิดไปว่าสวีไหลไม่แยแสเรื่องของผู้ใด ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล่าววาจาเช่นนี้ เห็นทีบุรุษลึกลับผู้นี้คงมิใช่คนเลือดเย็นเท่าใดนัก
“ใช่แล้วล่ะ ตราบใดที่เราหาช่างหลอมที่ทรงพลังและหลอมดาบวายุทะลวงขึ้นใหม่ มันก็มีโอกาสฟื้นคืนกลับมาได้”
เสียงของไป่หลี่จิ่นซิ่วดังขึ้นในหูของทุกคนจนทำให้เกิดความประหลาดใจไม่น้อย ทุกคนจำได้ว่าก่อนหน้านี้นางและไป่หลี่ชิงโร่วปลีกตัวไปที่จวนตระกูลไป่หลี่ แล้วนางจะกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร ?
ร่างของไป่หลี่จิ่นซิ่วค่อย ๆ ปรากฏตรงหน้าทุกคนและมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าราวกับไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น
“ท่านแม่ สถานการณ์ที่จวนตระกูลไป่หลี่คลี่คลายแล้วหรือขอรับ ?”
หานโม่ฉือเอ่ยถามเป็นคนแรก แม้เขาจะไม่มีความรักและความผูกพันต่อตระกูลไป่หลี่ เขาก็มิอาจละเลยเครือญาติของตนได้
“ฮ่า ๆ ๆ ภายในตระกูลหานมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำไปสู่ตระกูลไป่หลี่โดยตรงซึ่งมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ทราบเกี่ยวกับมัน ข้าและชิงโร่วกลับไปที่ตระกูลผ่านทางค่ายกลนั้นแต่ก็ค้นพบว่าสถานการณ์ในตระกูลไป่หลี่อยู่ในสภาวะปกติ ทว่าในเมื่อหานชางกล่าวว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นั่น ข้าจึงถามความจากผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูล เขากล่าวว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นจริงที่หน้าประตูทางเข้าเมืองและเป็นกลุ่มคนจากฝ่ายมารที่บุกเข้ามา เพียงแต่เมื่อพวกเขาเตรียมความพร้อมลงมือ อีกขุมกำลังหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ขุมกำลังนั้นทรงพลังอย่างยิ่งและขับไล่คนของฝ่ายมารออกไปจนหมด เพราะเหตุนั้นการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงจึงยังไม่เกิดขึ้นและตระกูลไป่หลี่ก็ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วคลี่ยิ้มขณะกล่าวอธิบายเหตุการณ์ให้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ฟัง เมื่อพวกนางกลับไปถึงจวนตระกูล ขุมกำลังทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกลับไปแล้ว ทั้งสองจึงไม่มีโอกาสเห็นการต่อสู้ด้วยตาตัวเอง
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวว่าเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าขุมกำลังที่ยื่นมือมาช่วยตระกูลไป่หลี่คือใครและไม่มีเบาะแสใดแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าขุมกำลังลึกลับนั้นจะเป็นขุมกำลังที่เข้าร่วมกับการต่อสู้ในดินแดนเช่นกันและทราบถึงแผนการของฝ่ายมารจึงได้เข้ามาช่วยตระกูลไป่หลี่เป็นการล่วงหน้า
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันทันทีขณะแววตาฉายชัดไปด้วยความสงสัย ขุมกำลังลึกลับนั่นคือใครกัน ?