คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 622 ความกังวลของสั่วซีหย่า
ตูมมม !
เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ทั้งสองหันขวับไปมองทางต้นเสียงทันทีและเห็นว่าหานชางถูกหานซวนหยวนฟาดฝ่ามือเข้าใส่จนกระเด็นออกไปและร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรงซึ่งเป็นภาพที่ดูน่าเวทนายิ่งนัก
“พรวดดด !”
ขณะพยายามพยุงตัวลุกขึ้น หานชางก็กระอักเลือดคำโตออกมา
“บัดซบ !”
เมื่อตระหนักแล้วว่าไม่มีการเชื่อมต่อกับดาบวายุทะลวงอีกต่อไป หานชางก็แอบสบถในใจและเริ่มมีความคิดที่จะล่าถอยแล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อมีดาบวายุทะลวงอยู่ในมือ เขาจะมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ไม่คิดเลยว่าดาบวายุทะลวงที่ถูกครอบงำโดยพลังความมืดจะฟื้นฟูสติกลับคืนมาอย่างกะทันหันและตัดสินใจที่จะปลดปล่อยดวงวิญญาณของตนเองออกไปเช่นนี้
ดาบวายุทะลวงในตอนนี้ไม่ต่างจากอาวุธธรรมดาทั่วไปและไม่สามารถแสดงบทบาทสำคัญใด ๆ ได้อีกต่อไป
“หานชาง ครานี้ข้าจะไม่ปรานีอีกต่อไป !”
หานซวนหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและโจมตีหานชางต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
“พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าถูกยุยงจนหลงผิดไปชั่วขณะหนึ่ง นั่นคือสาเหตุที่ข้าทำสิ่งเหล่านั้นลงไป ได้โปรด…เห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของเรา ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เกินแก้ไขแล้ว หานชางก็รีบเอ่ยขอความเมตตาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดและดูน่าเวทนาอย่างที่สุด
“เหอะ หากเจ้ากลัวว่าจะเป็นเช่นวันนี้ เจ้าก็คงไม่คิดทำตั้งแต่แรก ! เจ้าก่อกรรมทำชั่วไว้มากมายและถึงเวลาที่เจ้าจะต้องชดใช้ทุกอย่างที่เจ้าทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาแล้ว !”
เวลานี้หานซวนหยวนไม่ปรานีอีกต่อไป เขาทำลายจุดตันเถียนของหานชางทันทีเพื่อมิให้บุรุษที่ชั่วช้าผู้นี้ได้มีโอกาสฝึกยุทธ์อีกต่อไป
“ข้าจะขังเจ้าไว้ในหอคอยต้องห้ามและปล่อยให้เจ้าได้สำนึกผิดอย่างช้า ๆ หลังจากนี้ ข้าจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปพบเจ้าและไม่ให้โอกาสเจ้าได้กลับออกมาอีกเลย หวังว่าเมื่อเจ้าอยู่ในนั้น เจ้าจะสำนึกผิดเกี่ยวกับความผิดทุกอย่างที่เคยทำลงไป”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น หานซวนหยวนก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสทั้งสี่คนที่ทำหน้าที่พิทักษ์หอคอยต้องห้าม จากนั้นพวกเขาก็คว้าตัวหานชางไว้ทันทีก่อนนำตัวไปกักขังไว้ในหอคอยต้องห้าม
“ท่านพ่อ !”
หานเฟยและหานซื่อตะโกนออกไปพร้อมกันทว่าไม่สามารถขัดขวางอะไรได้เลย พวกเขามิอาจปกป้องตัวเองได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการช่วยบิดา ตอนนี้หัวใจของพวกเขาปั่นป่วนอย่างที่สุดและไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหานโม่ฉือและทุกคนจะจัดการกับตนอย่างไร
“นายหญิง เมื่อครู่นี้ท่านกล่าวว่าตราบใดที่เราพบช่างหลอมมากฝีมือที่สามารถหลอมดาบวายุทะลวงขึ้นใหม่ มีโอกาสที่วายุทะลวงจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา…ไม่ทราบว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
กระบี่จักรพรรดิอำพันยังเศร้าโศกกับการจากไปของสหาย ทว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่ไป่หลี่จิ่นซิ่วกล่าวเมื่อครู่ มันก็มีประกายแห่งความหวังขึ้นมา
หากดาบวายุทะลวงสามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมและดวงวิญญาณของมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ มันจะไม่เศร้าเสียใจอีกต่อไปและจะรู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด
“เป็นเรื่องจริง ข้าเคยอ่านจากตำราที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตาม ทั่วทั้งดินแดนก็มีช่างหลอมระดับสูงเพียงไม่มากและมีเพียงน้อยคนที่จะสามารถหลอมดาบวายุทะลวงขึ้นใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ การทำให้วายุทะลวงฟื้นคืนชีพกลับคืนมามิใช่เรื่องง่ายเลย”
อาวุธล้ำค่าของตระกูลหานทั้งสองชิ้นเป็นอาวุธพลังวิญญาณ แม้ดาบวายุทะลวงจะปลดปล่อยดวงวิญญาณของตนเองออกไปโดยสมบูรณ์แล้ว ทว่าตราบใดที่ตัวดาบยังไม่ได้รับความเสียหาย มันก็สามารถหล่อหลอมจิตวิญญาณขึ้นมาได้อีกครั้ง เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลาเช่นกัน
“หากเป็นเช่นนั้น เราก็สามารถขอความช่วยเหลือจากเกาะวายุนิ่งหรือสมาคมช่างหลอมได้ ทั้งสองแห่งเป็นแหล่งรวมตัวของช่างฝีมือระดับสูงจากทั่วทั้งดินแดน ข้าเชื่อว่าด้วยความช่วยเหลือจากพวกเขา ดาบวายุทะลวงจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน”
เมื่อกล่าวถึงช่างหลอมทรงพลัง ทุกคนย่อมนึกถึงเกาะวายุนิ่งและสมาคมช่างหลอมซึ่งเป็นศูนย์รวมของช่างหลอมมากฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน หานซวนหยวนรู้สึกประทับใจกับดาบวายุทะลวงอย่างมากและชื่นชมการตัดสินใจของมันเมื่อครู่เป็นอย่างยิ่ง หากสามารถทำให้ดาบวายุทะลวงฟื้นคืนได้ใหม่ ต่อให้ต้องลงทุนมากเพียงใด เขาก็จะไม่นึกเสียดาย
“ท่านพ่อ อย่าให้ต้องยุ่งยากเลยเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการเอง”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อรับดาบวายุทะลวงที่ดูเหมือนดาบธรรมดา ๆ ไร้จิตวิญญาณมาในมือ
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หานซวนหยวนและไป่หลี่ชิงโร่วก็เหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้และรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า กล่าวได้ว่าทักษะการหลอมของฉินอวี้โม่นั้นยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อนางสามารถหลอมสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างมิติที่สองและอุปกรณ์สื่อสาร นางย่อมมีฝีมือมากพอที่จะซ่อมแซมดาบวายุทะลวงได้
“เจ้ารึ ?”
กระบี่จักรพรรดิอำพันประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เพราะถึงอย่างไรอายุของนางก็ยังน้อยนักซึ่งแตกต่างกับช่างหลอมมากฝีมือที่แก่ชราคนอื่น ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ลูกสะใภ้ของข้าเป็นช่างหลอมที่ทรงพลังมาก นางเคยหลอมสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างมิติที่สองและข้าเชื่อว่านางจะหาทางฟื้นคืนชีพวายุทะลวงขึ้นมาได้”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ ฉินอวี้โม่—สะใภ้คนงามของนางเก่งกาจอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับผู้คน พรสวรรค์ ความแข็งแกร่งหรือรูปลักษณ์ นางพึงพอใจและภาคภูมิใจในตัวฉินอวี้โม่ยิ่งนัก
“ยิ่งไปกว่านั้น โม่เอ๋อร์ก็เป็นประธานสมาคมช่างหลอมอีกด้วย ดาบวายุทะลวงเป็นเพียงอาวุธชิ้นเดียว นางย่อมซ่อมแซมมันได้อย่างไม่มีปัญหา”
หานโม่ฉือก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงประคบประหงมอย่างเต็มเปี่ยม ในหัวใจของเขา ฉินอวี้โม่คือสตรีที่ดีที่สุดในทุกด้าน
กระบี่จักรพรรดิอำพันชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบยืนยันของไป่หลี่จิ่นซิ่วและหานโม่ฉือ หลังจากมองฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณา มันก็เชื่อว่านางไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“มนุษย์เอ๋ย หากเจ้าซ่อมแซมดาบวายุทะลวงได้ ข้าจะติดค้างเจ้าครั้งใหญ่ หากต้องการความช่วยเหลือใดจากข้าในอนาคต เจ้าก็มาหาข้าได้เลย ตราบใดที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบ “มิใช่เรื่องใหญ่หรอก ข้าก็เป็นคนของตระกูลหานเช่นกัน”
กระบี่จักรพรรดิอำพันและดาบวายุทะลวงเป็นสมบัติล้ำค่าประจำตระกูลหาน และอาวุธทั้งสองชิ้นนี้ก็เป็นตัวช่วยสำคัญของตระกูลหาน หากหานซวนหยวนเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการในอนาคต อาวุธทั้งสองชิ้นนี้จะทำให้อำนาจของเขามั่นคงมากขึ้นและมีอิทธิพลในตระกูลหานมากขึ้นอย่างแน่นอน
ต่อให้เขาจะไม่รับตำแหน่งผู้นำตระกูล หากเกิดสงครามขึ้นในดินแดน ด้วยอาวุธสองชิ้นนี้ เขาจะมีไพ่ตายเพิ่มมากขึ้นและนั่นจะเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างแน่นอน
เพราะเหตุนั้น ตราบใดที่ฉินอวี้โม่ซ่อมแซมมันได้สำเร็จ นางก็หวังว่าดาบวายุทะลวงจะฟื้นดวงวิญญาณกลับคืนมาและจำแลงร่างมนุษย์ได้อีกครั้ง
“ท่านแม่ หลังจากนี้ท่านช่วยบอกทุกอย่างที่ท่านทราบและช่วยข้าในการศึกษาวิธีการซ่อมแซมดาบเล่มนี้ด้วยเถิด ดาบวายุทะลวงใช้เวลานับพันปีกว่าที่จะจำแลงร่างมนุษย์ได้ ตอนนี้ถ้าเราอยากให้มันมีจิตวิญญาณอีกครั้ง คาดว่าคงมิใช่เรื่องง่ายเป็นแน่”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับไป่หลี่จิ่นซิ่วตามตรงว่านางยังต้องศึกษากระบวนการอย่างจริงจัง
“ท่านลุง เรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของท่านพ่อและเหล่าผู้อาวุโส เราไม่ทราบเรื่องด้วยเลย ในเมื่อเราทั้งสองก็เป็นหลานของท่าน โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด”
เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว หานซื่อก็กล่าวขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างชัดเจน
แม้สองพี่น้องไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมากนัก ทว่าพวกเขาก็พอจะทราบเรื่องอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น หานเฟยและหานซื่อก็เคยประจันหน้ากับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่มาก่อน พวกเขาไม่อาจทราบได้เลยว่าหานซวนหยวนและหานโม่ฉือจะจัดการกับตนอย่างไร
หานซวนหยวนชำเลืองมองหานซื่อและหานเฟยพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
อันที่จริงเขาก็นึกลังเลอยู่เช่นกันและไม่ทราบเลยว่าควรจัดการกับสองพี่น้องอย่างไร ถึงอย่างไรแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตก็ไม่เกี่ยวข้องกับทั้งสองนักและพวกเขาก็เป็นทายาทรุ่นหลังของตระกูลหาน เพราะเหตุนั้นจึงสมควรปล่อยพวกเขาไป
อย่างไรก็ตาม หานเฟยและหานซื่อมิใช่คนที่จิตใจดีนักและการที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากหานชางมาตลอดชีวิตก็คงจะทำให้พวกเขามีความคิดผิด ๆ อยู่เช่นกัน หากปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ หานซวนหยวนไม่มีทางคาดการณ์ได้เลยว่าจะเกิดเรื่องร้ายใด ๆ ในอนาคตหรือไม่
“โม่ฉือ ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการกับทั้งสองก็แล้วกัน”
หานซวนหยวนหันมองบุตรชายและให้เขาตัดสินใจวิธีจัดการกับสองพี่น้องเอง ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีอายุรุ่นราวเดียวกันและหานซวนหยวนก็เชื่อว่าบุตรชายของตนจะจัดการได้อย่างเหมาะสม
หานโม่ฉือชำเลืองมองหานเฟยและหานซื่ออย่างเย็นชาจนสองพี่น้องหวั่นใจขึ้นมา
“โม่ฉือ แม้เราจะมีเรื่องขัดแย้งกันมาหลายครา เจ้าก็เป็นผู้ชนะมาโดยตลอดและเราไม่เคยทำร้ายเจ้าได้สำเร็จ เห็นแก่สายเลือดที่เกี่ยวข้องกันของเรา…ไว้ชีวิตพวกเราเถอะ เราให้คำมั่นว่าในอนาคตต่อไปเราจะไม่ทำผิดกับเจ้าอีกและจะเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของลุงใหญ่อย่างไม่ขัดขืน เราจะนึกถึงเพียงประโยชน์ของตระกูลหานและไม่คิดคดทรยศต่อตระกูล”
สำหรับหานซื่อ เขาเป็นบุรุษที่รักตัวกลัวตายอย่างยิ่ง และเวลานี้เขาไม่กลัวเสียหน้าแม้แต่น้อย เพื่อให้ได้มีชีวิตรอด ตอนนี้เขายอมทำทุกอย่าง
“โอ้ ข้าไม่คิดที่จะฆ่าเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่พวกเจ้าสองพี่น้อง คนหนึ่งก็ยโสโอหังเกินไปและอีกคนก็ทะนงตนจนเกินไป หากไม่อบรมและปรับทัศนคติพวกเจ้าใหม่ ท้ายที่สุดเจ้าก็จะกลายเป็นหายนะของตระกูลหาน เพราะฉะนั้น…ข้าจะผนึกพลังส่วนหนึ่งของเจ้าไว้และปลดพวกเจ้าออกจากสถานะของสมาชิกตระกูลหานเป็นการชั่วคราว ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าออกไปท่องยุทธภพฝึกฝนในดินแดนเทพมายา เมื่อพวกเจ้าปรับตัวได้โดยสมบูรณ์และผ่านการประเมินของข้า พวกเจ้าจะได้กลับเข้ามาเป็นสมาชิกของตระกูลหานอย่างเป็นทางการอีกครั้ง”
หานโม่ฉือยิ้มบาง ๆ ขณะกล่าวความคิดออกไป หานซื่อและหานเฟยไม่เคยทำร้ายเขาได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น สองพี่น้องก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
แม้ว่าหานซื่อจะยโสโอหังจนเกินไป เขาก็ไม่เคยก่อความผิดที่ร้ายแรงและชั่วช้าจนเกินควบคุม ในขณะที่หานเฟยก็ยั่วยุเขามาเสมอทว่าก็ไม่เคยลงมือทำสิ่งใดที่ล้ำเส้นเกินไป หานโม่ฉือจึงคิดที่จะปล่อยให้ทั้งสองได้มีชีวิตอยู่ต่อ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสองพี่น้องตรงหน้าจะเป็นทายาทของตระกูลหานทว่าพวกเขาก็ยังมีความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก หากว่าไม่ควบคุมทัศนคติความโอหังเหล่านั้นและสั่งสอนให้พวกเขาได้เผชิญกับโลกกว้าง อนาคตพวกเขาจะนำพาปัญหาไม่รู้จบมาสู่ตระกูลหานอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นหานโม่ฉือจึงตัดสินใจเช่นนี้ เขาเชื่อว่าหากสองพี่น้องได้ออกไปเรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริงและใช้ชีวิตอย่างจอมยุทธ์ทั่วไป พวกเขาก็อาจจะมีความคิดที่แตกต่างไปจากบิดาได้
แม้หานซื่อและหานเฟยจะไม่เต็มใจนัก ทว่าวิธีการของหานโม่ฉือก็ถือว่าดีสำหรับพวกเขามาก การผนึกพลังส่วนหนึ่งและส่งพวกเขาออกไปท่องดินแดนเทพมายาเพื่อสั่งสมประสบการณ์ย่อมดีกว่าการสังหารพวกเขาไปโดยตรง
ฉินอวี้โม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการของหานโม่ฉือและไม่คิดที่จะสังหารหานซื่อและหานเฟยเช่นกัน หากการตัดสินใจนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความคิดของสองพี่น้องได้ พวกเขาก็น่าจะเปลี่ยนกลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้
“นายหญิง ท่าไม่ดีแล้ว เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ และนั่นเป็นเสียงที่บ่งบอกถึงความกังวลอย่างชัดเจน
.