คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 623 เกิดปัญหากับชนเผ่าเอลฟ์
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว สั่วซีหย่า—สตรีลูกครึ่งเอลฟ์กำลังเดินไปมาอย่างเป็นกังวลขณะที่รอให้ฉินอวี้โม่เข้ามา
นับตั้งแต่ฉินอวี้โม่ประมูลตัวลูกครึ่งเอลฟ์ผู้นี้มาจากงานประมูลคราก่อนมาได้ นางก็ฝึกฝนอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะคราวนี้สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ นางก็คงไม่เอ่ยเรียกฉินอวี้โม่อย่างร้อนรนเช่นนี้
ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความกังวลที่เกาะกุมในหัวใจของสั่วซีหย่าได้อย่างชัดเจน และหลังจากกล่าวบอกหานโม่ฉือ นางก็ตรงเข้าไปในคฤหาสน์ล่องหนของตนทันที
เนื่องจากตอนนี้ไม่มีสถานการณ์วิกฤตข้างนอกอีก เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ จึงตามผู้เป็นนายเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเช่นกัน พวกมันเหล่าอสูรมักที่จะปกป้องซึ่งกันและกันอยู่เสมอ แน่นอนว่าความกังวลของสั่วซีหย่าก็ทำให้พวกมันเป็นกังวลเช่นกัน
“มีเรื่องอะไรรึสั่วซีหย่า ?”
เมื่อพบหน้าสตรีสองสายเลือดผู้งดงามที่ขมวดคิ้วมุ่น ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีทันที ในเมื่อสั่วซีหย่าแสดงท่าทีกังวลใจอย่างชัดเจนเช่นนี้ หรือว่าจะเกิดปัญหาบางอย่างกับชนเผ่าเอลฟ์จริง ๆ ?
“นายหญิง เกิดเรื่องบางอย่างกับชนเผ่าเอลฟ์”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ คำตอบของสั่วซีหย่ายืนยันข้อคาดเดาของฉินอวี้โม่ได้ในทันที เกิดปัญหาบางอย่างกับชนเผ่าเอลฟ์ที่โบราณและลึกลับนั่นจริง ๆ
หลังจากปลอบใจให้สั่วซีหย่าสงบสติอารมณ์และนั่งลง นางก็สั่งให้ลูกครึ่งเอลฟ์ผู้นี้ค่อย ๆ เล่าทุกอย่างให้นางฟัง นางต้องทราบให้แน่ชัดว่าสั่วซีหย่ารู้สึกถึงสิ่งใดก่อนคิดหาวิธีการรับมือหรือตอบโต้กับสิ่งนั้นได้อย่างเหมาะสม
สั่วซีหย่าสงบความกังวลลงครู่หนึ่งและเริ่มกล่าวสิ่งที่รู้สึกก่อนหน้านี้
‘ลูกครึ่งเอลฟ์’ เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุพิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างมนุษย์และเอลฟ์ พวกนางล้วนมีรูปลักษณ์ที่งดงามไร้ที่ติ มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมน่าทึ่งและมีสติปัญญาที่เป็นเลิศ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ ลูกครึ่งเอลฟ์ส่วนใหญ่จึงเป็นได้เพียงทาสหรือข้ารับใช้ในชนเผ่าเอลฟ์เท่านั้น ในดินแดนเทพมายาก็มีลูกครึ่งเอลฟ์อยู่เพียงไม่มากทว่าทั้งหมดล้วนถูกมองเป็นตัวประหลาดและไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในดินแดนเทพมายาเช่นกัน
บิดาของสั่วซีหย่าเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพอย่างสูงในชนเผ่าเอลฟ์ ในอดีตครานั้น มารดาของนางพบกับบิดาโดยบังเอิญที่บริเวณทางเข้าไปสู่ชนเผ่าเอลฟ์ภายในดินแดนเทพมายา ทั้งสองตกหลุมรักกันตั้งแต่แวบแรกและครองรักกันจนให้กำเนิดทายาทตัวน้อยซึ่งก็คือสั่วซีหย่า
แรกเริ่มเดิมที บิดาของนางหมายมั่นจะพาสองแม่ลูกเข้าไปที่ชนเผ่าเอลฟ์ด้วยกัน และในตอนนั้นเองก็เกิดเรื่องเร่งด่วนบางอย่างกับชนเผ่าเอลฟ์ เขาจึงให้คำมั่นว่าจะย้อนกลับมารับตัวสั่วซีหย่าและมารดาไปอยู่ด้วย ทว่าสองแม่ลูกกลับต้องเฝ้ารออย่างไร้ความหวังนานกว่าสิบปี
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะได้พบกับนางโดยบังเอิญที่โรงประมูล สั่วซีหย่าก็ถูกค้นพบโดยมนุษย์มักมากกลุ่มหนึ่ง พวกเขาสังหารมารดาของสั่วซีหย่าและจับตัวนางส่งไปที่โรงประมูล
สั่วซีหย่าอาฆาตแค้นคนเหล่านั้นที่สังหารมารดาของตน ทว่าก็รู้สึกเกลียดชังบุรุษผู้ที่ทอดทิ้งตนและมารดายิ่งกว่าเสียอีก
แม้สั่วซีหย่าจะต้องการตามหาคนเหล่านั้นเพื่อล้างแค้นให้มารดา ทว่านางก็ไม่มีโอกาสตามหาเบาะแสของพวกเขาได้เลย โดยหลังจากติดตามฉินอวี้โม่มาระยะหนึ่ง นางก็รู้สึกผ่อนคลายลงและสบายใจขึ้นกว่าก่อน รวมทั้งความชิงชังที่มีในหัวใจของนางก็ค่อย ๆ เจือจางไป
บัดนี้นางเพียงหวังว่าหากมีโอกาส นางต้องตามหาบุรุษผู้นั้นให้พบและถามหาความจริงให้จงได้ว่าเหตุใดเขาจึงทอดทิ้งตนและมารดาในครานั้น
ทุกวันนี้นางพยายามฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากสายเลือดครึ่งมนุษย์ครึ่งเอลฟ์ นางจึงมีพลังมายาพิเศษของชนเผ่าเอลฟ์ที่เรียกว่า ‘พลังเอลฟ์’
กล่าวกันว่าในชนเผ่าเอลฟ์มีต้นไม้ประจำชนเผ่าที่ถูกเรียกกันว่า ‘ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์’ ตราบใดที่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นั่น พลังเอลฟ์ในร่างกายของพวกเขาจะไหลเวียนต่อไปได้อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งสำหรับการฝึกวิชาของพวกเขา
เมื่อครู่นี้ จู่ ๆ สั่วซีหย่าก็รู้สึกได้ว่าพลังเอลฟ์ในร่างกายของตนเริ่มสลายหายไปอย่างช้า ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ นางเชื่อว่าไม่มีความเป็นไปได้อื่นนอกจากการที่เกิดบางสิ่งบางอย่างกับต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ภายในชนเผ่าเอลฟ์
‘ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์’ ถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของชนเผ่าเอลฟ์ เมื่อใดที่เกิดปัญหาใด ๆ กับมัน เอลฟ์ทุกชีวิตก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
เพราะเหตุนั้นสั่วซีหย่าจึงเป็นกังวลขึ้นมา
แม้นางไม่มีความผูกพันใด ๆ กับชนเผ่าเอลฟ์ แต่นางก็ไม่ต้องการให้ชนเผ่าต้องเผชิญกับหายนะของการสูญพันธุ์ ไม่ว่าอย่างไรร่างกายของนางก็ยังมีสายเลือดเอลฟ์ไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น สั่วซีหย่าก็ได้ทราบจากฉินอวี้โม่แล้วว่าฝ่ายมารก็มีเจตนามุ่งร้ายต่อชนเผ่าเอลฟ์เช่นกัน หากขุมกำลังมารร้ายถือโอกาสจากสถานการณ์นั้น มันจะเป็นเรื่องร้ายต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
หลังจากฟังเรื่องราวจากสั่วซีหย่า ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีและกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเชื่อว่าน่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ชนเผ่าเอลฟ์จริง ๆ สำหรับสิ่งที่ทำให้ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์เหี่ยวแห้งเช่นนี้ หากมิใช่เพราะเกิดความผิดปกติในชนเผ่า มันจะต้องเป็นการแทรกแซงจากขุมกำลังภายนอกอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปได้ใด มันก็มิใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการให้เกิดขึ้น
“สั่วซีหย่า ไม่ต้องห่วง เราตั้งใจไว้แล้วว่าหลังจากจัดการเรื่องของสี่ตระกูลลับจนเสร็จสิ้น เราก็จะมุ่งหน้าไปที่ชนเผ่าเอลฟ์เป็นจุดหมายต่อไป การที่ชนเผ่าเอลฟ์ดำรงอยู่มานานกว่าพันปี ต่อให้เผชิญวิกฤตใดก็ตาม พวกเขาก็คงจะไม่ล่มสลายไปอย่างรวดเร็วนัก ในเวลานี้เจ้าลองนึกดูก่อนเถอะว่าในความทรงจำของเจ้ามีข้อมูลที่ระบุถึงทางเข้าของชนเผ่าเอลฟ์หรือไม่ ? ข้าจะออกไปคุยกับโม่ฉือก่อนและเราจะเดินทางไปที่ชนเผ่าเอลฟ์ทันที”
หลังจากจัดแจงอย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่ก็ออกไปจากคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
ข้างนอกคฤหาสน์เฟิงหัว ในตอนนี้งานรวมพลสี่ตระกูลลับก็ดำเนินมาถึงจุดจบแล้ว หานชางถูกจับไปขัง ผู้นำตระกูลหลิวก็ชิงหลบหนีไปและคนที่เหลือต่างยอมจำนนเพื่อรอรับบทลงโทษของตนเอง
ส่วนคนของตระกูลหานที่คิดชั่วร้ายล้วนถูกหานซวนหยวนขับไล่ออกจากตระกูลหานไปทั้งสิ้น
“โม่ฉือ เกิดเรื่องบางอย่างกับชนเผ่าเอลฟ์”
ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปหาหานโม่ฉือและกระซิบบอกสิ่งที่ทราบมาจากสั่วซีหย่า
สีหน้าของหานโม่ฉือมิได้เปลี่ยนแปลงขณะจับมือฉินอวี้โม่เบา ๆ และคลี่ยิ้ม
“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ โม่เอ๋อร์และข้ายังมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการและเราอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เชิญท่านทั้งสองจัดการเรื่องของตระกูลหานได้เลยและอย่าลืมให้คนจับตาดูความเคลื่อนไหวของตระกูลอื่น ๆ ไว้ อย่าปล่อยให้พวกฝ่ายมารได้มีโอกาสลงมือทำสิ่งใด”
หลังจากกล่าวลาหานซวนหยวนและคนอื่น ๆ หานโม่ฉือก็วางแผนที่จะมุ่งหน้าไปที่ชนเผ่าเอลฟ์กับฉินอวี้โม่ด้วยตัวเอง ชนเผ่าเอลฟ์ในวันนี้ไม่เหมือนก่อนอีกต่อไปและเขาไม่วางใจให้นางไปที่นั่นเพียงลำพัง เพราะเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจไปที่นั่นด้วยกันและคอยปกป้องอยู่ข้างกายนาง
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและทั้งสองเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนขับเคลื่อนมุ่งหน้าออกจากอาณาเขตตระกูลหาน
แม้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจะไม่อยากให้ทั้งสองจากไปเร็วนัก พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าทั้งสองดูกังวลไม่น้อยและอาจเกิดปัญหาใหญ่บางอย่าง พวกเขาจึงปล่อยให้ไปแต่โดยดี
“ลูกทั้งสอง…หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นสำหรับพวกเขา”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วยืนข้างกายหานซวนหยวนขณะมองไปในทิศทางของทั้งสองและภาวนาอยู่ในใจ นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองจะปลอดภัยและมีความสุขดี
“ไม่ต้องห่วง พวกเขาไม่เหมือนเรา จะต้องไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้นแน่”
หานซวนหยวนเขย่ามือบางของภรรยาเบา ๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ภรรยาของข้า เมื่อจัดการเรื่องที่ตระกูลหานเสร็จสิ้น เราไปหาหลานทั้งสองและน้องหานปิ่งเซียนกันเถอะ”
เมื่อนึกถึงหลานตัวน้อยทั้งสองที่ยังไม่เคยพบกัน ใบหน้าของหานซวนหยวนก็ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างชัดเจน
บุตรชายของเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งกาจน่าทึ่งยิ่งกว่าคนรุ่นเก่ามากนัก และเรื่องต่าง ๆ ที่เขานำมาในครานี้ก็สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
* 青出于蓝而胜于蓝 สีเขียว(คราม)เกิดจากน้ำเงินทว่าเข้มข้นกว่าน้ำเงิน ความหมายคือ ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ คนรุ่นหลังเก่งกว่ารุ่นก่อน
“ดีเลย ข้าอยากกอดหลานชายและหลานสาวตัวน้อยเต็มที อย่างไรก็ตาม เราต้องไปที่ตระกูลไป่หลี่ก่อน ถึงอย่างไรเราก็ยังติดพันเรื่องตลกล้อเล่นที่ข้ากล่าวไว้กับพี่สะใภ้ในตอนนั้น เราควรสะสางเรื่องนี้โดยเร็ว มิฉะนั้น โม่ฉืออาจไม่พอใจเมื่อกลับมาถึง”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วยิ้มบาง ๆ ขณะนึกถึงคำขอของหานโม่ฉือก่อนเขาจากไปและตัดสินใจที่จะไปจัดการเรื่องนั้นที่ตระกูลไป่หลี่ก่อน
แน่นอนว่าหานซวนหยวนเข้าใจความคิดของภรรยาได้ในทันทีและพยักศีรษะตอบตกลง
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่รับรู้ถึงบทสนทนาของหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว ทั้งสองขับเคลื่อนคฤหาสน์ล่องหนออกจากอาณาเขตของตระกูลหานและมุ่งหน้าตรงไปยังผืนป่าแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ป่าวังชา’ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของดินแดนเทพมายา
จากความทรงจำของสั่วซีหย่า ในป่าวังชาแห่งนี้มีทางเข้าไปสู่ชนเผ่าเอลฟ์
สำหรับแผนที่ที่ฉินอวี้โม่ได้มาก่อนหน้านี้ จุดที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ในแผนที่ก็บังเอิญตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กับป่าวังชา เช่นนั้นแล้วทางเข้าของชนเผ่าเอลฟ์ก็จะต้องอยู่ในป่าวังชาแห่งนี้อย่างแน่นอน
หลังจากการเดินทางอย่างไม่หยุดพักนานเจ็ดวัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มาถึงนอกป่าวังชา
ป่าวังชาเป็นสถานที่โปรดที่จอมยุทธ์หลายคนในดินแดนเทพมายาชื่นชอบ ภายในป่าผืนนี้ไม่มีอสูรมายาระดับสูงมากนักและก็ไม่ได้มีวัสดุหรือวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถที่หายาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาวะพลังของที่นี่ซึ่งมากกว่าที่อื่น ๆ ในดินแดนเทพมายาเป็นสองเท่าตัว มันจึงยังเป็นที่นิยมในหมู่จอมยุทธ์มากมาย
แต่ทว่า…ระหว่างช่วงที่ผ่านมานี้ ป่าผืนเดิมที่เคยสงบสุขกลับกลายเป็นความวุ่นวายครั้งใหญ่เพราะเหตุการณ์หนึ่ง
มันเป็นสิ่งที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบวันก่อน
ในวันนั้น จอมยุทธ์หลายคนฝึกวิชาอยู่ภายในป่าวังชาอย่างเงียบ ๆ ตามปกติ ทว่าจู่ ๆ พวกเขาก็ค้นพบว่าสภาวะพลังในป่าเริ่มเจือจางลงอย่างกะทันหันโดยไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุ
เดิมทีสภาวะพลังในป่าแห่งนี้สูงและเข้มข้นเป็นสองเท่าของสถานที่อื่น ๆ ในดินแดน ทว่าจู่ ๆ มันกลับเจือจางลงจนเหลือเพียงน้อยนิดภายในชั่วพริบตา
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ทำให้จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนฉงนงุนงงและออกสำรวจไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยทันที
ในตอนแรกพวกเขาคาดเดาไปว่าอาจมีผู้แกร่งกล้าบางคนที่เข้ามาทำให้สภาวะพลังในป่าวังชาเจือจางลง หรืออาจเป็นอสูรทรงพลังที่ดูดซับพลังในป่าไปจนหลงเหลือเพียงน้อยนิด
อย่างไรก็ตาม หลังจากสำรวจไปโดยรอบ พวกเขาก็พบว่าข้อสันนิษฐานเหล่านั้นไม่เป็นความจริง ในป่าวังชาผืนนี้ไม่มีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าหรืออสูรทรงพลังใด เพียงแต่จู่ ๆ พลังงานมหาศาลที่เคยมีกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยก็เท่านั้น
เมื่อทราบเช่นนั้น เหล่าจอมยุทธ์ในผืนป่าต่างก็กังวลมากขึ้น หากว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังใดอยู่จริง ๆ พวกเขาก็สามารถหาทางหลีกเลี่ยงพวกมันได้ อย่างไรก็ตาม การที่สภาวะพลังเจือจางลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้พวกเขาหวั่นเกรงกันไม่น้อย พลังอำนาจประเภทใดกันที่จะสามารถดูดกลืนพลังงานมหาศาลในทั่วทั้งผืนป่าได้อย่างรวดเร็วจนไม่มีหนทางฟื้นฟูขึ้นมาเช่นนี้
เพราะเหตุนั้น ในช่วงเวลานี้หลายคนที่ได้รับข่าวต่างก็เดินทางมาเพื่อต้องการหาคำตอบด้วยตัวเอง ทว่าความพยายามทั้งหมดนั้นกลับไม่เป็นผล สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในป่าวังชาถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดจนเกินไป แม้แต่ยอดฝีมือระดับต้น ๆ ของดินแดนก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันทันทีที่ทราบข้อมูลเหล่านี้ และนั่นทำให้ทั้งสองยืนยันได้ทันทีว่าเกิดเรื่องบางอย่างกับชนเผ่าเอลฟ์อย่างแท้จริง
.