คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 64 ถูกพิษ
ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้ถูกล่าอย่างแจ่มชัด ฉินอวี้โม่ก็ต้องประหลาดใจปนหวาดหวั่น นางพบว่าเขาก็คือหานโม่ฉือ บุรุษมนุษย์น้ำแข็งที่เพิ่งจะแยกจากนางไปเมื่อไม่นานมานี้
หากจะนับอย่างละเอียด ตั้งแต่มายังดินแดนหวงหลิงแห่งนี้ หานโม่ฉือคือหนึ่งในบุคคลที่เธอพบเจอบ่อยครั้งที่สุด ฉะนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่ฉินอวี้โม่จะรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายของเขา
ทันใดนั้นเองหานโม่ฉือก็หยุดเคลื่อนที่ ร่างของเขาอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉินอวี้โม่ซ่อนตัวอยู่มากนัก
“เหอะ เจ้าหนีต่อไปไม่ได้แล้วสินะ ?!”
ฉินอวี้โม่ประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นหานโม่ฉือหยุดการเคลื่อนไหวและปล่อยให้กลุ่มคนที่กำลังไล่ล่าเขาพุ่งเข้าล้อมตัวได้โดยง่าย และนางยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อเห็นบาดแผลมากมายทั่วร่างกายใหญ่โตนั้น
อย่างไรก็ตาม สาวงามก็พบว่าบนใบหน้าคมของเขาไม่มีร่องรอยแห่งความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย บุรุษมนุษย์น้ำแข็งสาดสายตาเย็นเฉียบเข้าใส่กลุ่มคนที่ล้อมตัวเขาไว้ พร้อมกันนั้นก็ปลดปล่อยสภาวะพลังที่น่ากลัวออกมา
“หานโม่ฉือ ในที่สุดเจ้าก็ตกอยู่ในกำมือข้าแล้ว”
บุรุษสวมหน้ากากดำที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มมองหานโม่ฉือด้วยสายตาที่มีแต่ความเกลียดชังอย่างเต็มเปี่ยม
“หึ ! เจ้าคิดว่าเจ้าจะจับข้าได้รึ ? หานโม่หยวน”
หานโม่ฉือตอบโต้พลางจ้องมองอีกฝ่ายกลับไปอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดแน่วแน่และเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน แม้ว่าจะถูกยอดฝีมือจำนวนมากปิดล้อมอยู่แต่หานโม่ฉือก็ยังคงไม่มีอาการหวาดวิตกหรือตื่นกลัวให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็กำลังตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด เพราะร่างกายที่เคยแข็งแกร่งนั้นบัดนี้มีร่องรอยของพลังมายาที่กำลังรั่วไหลออกมาเรื่อย ๆ
หานโม่หยวนคือน้องชายต่างมารดาของหานโม่ฉือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคนผู้นี้ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพี่ชายตนเองอย่างเด่นชัดและเพื่อที่จะให้ตนเองได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป หานโม่หยวนจึงพยายามเล่นงานหานโม่ฉืออยู่หลายครั้ง
ทว่าหานโม่ฉือไม่เคยเห็นน้องชายต่างมารดาผู้นี้อยู่ในสายตามาก่อน ไม่คิดเลยว่าในครั้งนี้เขาจะตกอยู่ในเงื้อมมือคนชั่วช้าผู้นี้ได้
“หานโม่ฉือ หากว่าเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ข้ายอมรับว่าต่อให้ข้าพยายามมากแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบเจ้าได้ แต่ตอนนี้พิษเย็นในกายเจ้าเริ่มอยู่เหนือการควบคุมแล้ว พลังของเจ้าก็เหลืออยู่ไม่ถึงสามในสิบส่วน คิดหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า !”
หานโม่หยวนมองพี่ชายที่เขาแสนเกลียดชังด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันแล้วกล่าวต่อ “หานโม่ฉือ ขอเพียงแค่เจ้าตายในวันนี้ ในอนาคตก็จะไม่มีผู้ใดมาเป็นเสี้ยนหนามของข้าอีกแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีใครกล้ายืนขวางทางข้า และท่านผู้นำตระกูลจะได้เห็นถึงความสามารถของข้าเสียที !”
ทันทีที่กล่าวจบ หานโม่หยวนก็กวักมือเป็นสัญญาณให้กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเตรียมพร้อมเพื่อลงมือจู่โจมเหยื่อตรงหน้า
เห็นได้ชัดว่าสภาพร่างกายของหานโม่ฉือในเวลานี้ดูย่ำแย่ยิ่งนัก ลมหายใจของเขาไม่มั่นคง อีกทั้งสภาวะพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็อ่อนแอกว่าปกติอย่างชัดเจน มีเพียงเจตจำนงอันแรงกล้าและจิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่ยังคงค้ำจุนร่างไว้ไม่ให้ล้มลงไป
ทว่าถึงแม้ว่าบุรุษร่างใหญ่โตดูคล้ายจะล้มพับไปตามสายลมได้ทุกเมื่อ แต่กลุ่มบุรุษหน้ากากดำก็ยังคงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้
หานโม่หยวนนั้นไม่ใช่คนโง่ เขาให้คนของเขาล้อมหานโม่ฉือเอาไว้และสั่งให้อยู่ในสภาวะพร้อมจู่โจมตลอดเวลา แต่กลับยังไม่ได้สั่งให้ผู้ใดลงมือ เขาจะรอคอยจนกระทั่งหานโม่ฉือไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้น เพราะเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะได้ลงมือสังหารได้โดยง่าย
แม้ว่าสีหน้าของหานโม่ฉือจะไม่เปลี่ยนไป ทว่าพละกำลังของเขาก็ค่อย ๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ฤทธิ์ของพิษเย็นในร่างกายเขากำเริบขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งร่างกายอันแข็งแกร่งนี้เย็นลงเท่าใด สถานการณ์ของเขาก็ยิ่งลงเลวร้ายลง
ฉินอวี้โม่เร้นกายอยู่ในเงาของต้นไม้ต้นหนึ่งท่ามกลางความมืด แม้ว่าเธอจะเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจที่มองดูผู้คนล้มตายต่อหน้าโดยไม่กะพริบตามานักต่อนัก แต่ในครั้งนี้มือสังหารสาวผู้มีจิตใจมั่นคงกลับควบคุมหัวใจที่กำลังเต้นรัวเร็วของตัวเองได้อย่างยากลำบาก
หากจะว่ากันตามเหตุและผล นี่เป็นเรื่องราวภายในตระกูล และฉินอวี้โม่ก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเรื่องภายในของผู้อื่น ทว่าเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหานโม่ฉือเมื่อครั้งที่อยู่ที่บึงสายหมอก อีกทั้งยังเรื่องที่เขาช่วยเหลือเธอไว้ในวันอสูรล้อมเมือง ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าตัวเองไม่สามารถยืนดูอยู่เฉยๆ ได้
ด้วยความคิดเช่นนั้นฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลอีก เมื่อเห็นว่าสบโอกาส นักฆ่าสาวก็ใช้วิชาตัวเบาดีดตัวพุ่งทะยานออกไปยังจุดที่หานโม่ฉือถูกล้อมอยู่ ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าซัดเข้าใส่ชายหน้ากากดำผู้หนึ่งที่กำลังยืนขวางหน้าตัวนางกับบุรุษน้ำแข็งเต็มแรง
ในขณะที่หานโม่ฉือกำลังคิดจะรีดเค้นพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อต่อสู้แลกชีวิตกับคนหยาบช้าเหล่านี้ จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหอมหวานกระแสหนึ่งพุ่งเข้าปะทะ ก่อนที่พริบตาต่อมาร่างบางที่แสนคุ้นเคยจะปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
“ฉินอวี้โม่ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
แม้แต่หานโม่ฉือที่เป็นบุรุษเย็นชาและประหยัดวาจาเป็นอย่างยิ่งก็ยังอดอุทานอย่างประหลาดใจออกมาไม่ได้
เขาไม่ได้แปลกใจที่เห็นนางเสี่ยงชีวิตบุกเข้ามาช่วยเขา แต่ประหลาดใจเพราะว่าจู่ ๆ นางก็ปรากฏตัวออกมาอย่างไม่คาดฝันในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ หากฉินอวี้โม่ซุ่มอยู่ไม่ไกลเขาก็ควรจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของนางบ้าง
“ไม่มีเวลาอธิบาย ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ก่อน”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือที่ในตอนนี้กำลังหน้าซีดเซียวอย่างอ่อนล้า ความเย็นที่รั่วไหลออกมาจากร่างของเขาอยู่ในระดับที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว แค่ยืนอยู่ไม่ไกลฉินอวี้โม่ก็รู้สึกหนาวสะท้าน ไม่ต้องคิดเลยว่าเขาจะกำลังเหน็บหนาวเพียงใด
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงเข้ามายุ่งเรื่องของข้า ?”
หานโม่หยวนอดไม่ได้ที่จะพ่นวาจาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ก็มีคนชุดดำร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นมาขวางหน้าหานโม่ฉือและพวกเขา
หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้ช่วยของหานโม่ฉือ ?
เพราะเวลานี้ฉินอวี้โม่สวมใส่ชุดบุรุษและเป็นเพราะในยามนี้คือกลางดึกในคืนข้างแรมอันแสนมืดมิด หานโม่หยวนจึงมองไม่ออกว่าผู้สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของเขาเป็นบุรุษหรือสตรี
“ข้าจะพาตัวคนผู้นี้ออกไป !”
ฉินอวี้โม่สาดวาจาเข้าใส่คนตรงหน้าอย่างเย็นชา นางรู้สึกว่าร่างของหานโม่ฉือกำลังสั่นอย่างไม่อาจต้าน เขากัดฟันเอาไว้และก้าวออกมายืนเคียงข้างนาง
เมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่ปรากฏตัว แววแห่งความตื่นตระหนกก็ปรากฏบนใบหน้าของบุรุษมนุษย์น้ำแข็ง เขาอยากจะผลักให้สตรีร่างบางออกไปจากตรงนี้ แต่ทว่าก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ และตอนนั้นเองที่เขาต้องชะงักไปเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ใช้แขนเล็กๆ ของนาง โอบรอบร่างกายใหญ่โตของเขาเอาไว้แล้วแบกขึ้นบ่า
หานโม่ฉือตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แต่เพียงจับต้องร่างกายของเขาได้โดยไม่ทุกข์ทรมานจากไอเย็นที่แผ่กระจายออกมาแต่สตรีผู้นี้กลับยังสามารถแบกร่างกายใหญ่โตและเย็นจัดของเขาได้อีกด้วย!
“เย็นจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่แบกร่างของหานโม่ฉือเอาไว้ นางรู้สึกได้ว่าเขาไม่สามารถควบคุมความเย็นในร่างกายของตัวเองได้ อีกทั้งลมหายใจของเขาก็ยังแผ่วเบาอย่างน่าหวาดหวั่น อวัยวะภายในของคนผู้นี้กำลังปั่นป่วน เป็นไปได้ว่าธาตุไฟในร่างของเขากำลังจะหมดลงในไม่ช้า
เมื่อเห็นว่าบุรุษมนุษย์น้ำแข็งจะคงสติอยู่ได้อีกไม่นาน ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจเรียกราชาอสรพิษเก้าเศียรออกมา
“เสี่ยวจิ่ว* ช่วยข้าหยุดพวกมันที !”
*九 (จิ่ว) แปลว่า เก้า
อดีตคุณหนูสั่งให้อสรพิษเทวะราชันของนางรับมือกับกลุ่มชายหน้ากากดำ ในขณะที่นางแบกร่างของหานโม่ฉือแล้วพุ่งทะยานพาเขาหนีออกไป
“ราชาอสรพิษเก้าเศียร !”
เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเสี่ยวจิ่ว ไม่เพียงแค่หานโม่หยวนและเหล่าบุรุษหน้ากากดำเท่านั้นที่ผงะไป เพราะแม้แต่หานโม่ฉือเองก็ยังตกตะลึงไม่น้อย
แม้ว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรจะไม่ค่อยชอบใจกับชื่อที่ฉินอวี้โม่ตั้งให้มากนัก ทว่ามันก็ไม่ได้เอ่ยตัดพ้อนางในเรื่องนี้
แม้จะได้เพิ่งกลายเป็นอสูรมายาของสตรีมนุษย์ผู้นี้ได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็ได้รู้ดีว่านายหญิงของมันไม่ใช่คนที่ชอบบีบบังคับอสูรมายา และไม่บ่อยครั้งนักที่นางจะออกคำสั่ง การที่ครั้งนี้นางสั่งการด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมากถึงเพียงนี้นั่นแสดงว่าสถานการณ์อยู่ในภาวะวิกฤตถึงขีดสุด ยิ่งกว่านั้นทุก ๆ ครั้งที่ฉินอวี้โม่ทำพันธสัญญากับอสูรมายาและเลื่อนระดับพลัง มันก็จะได้เลื่อนระดับไปด้วย และทั้งหมดก็เป็นเหตุผลให้ความรู้สึกต่อต้านในหัวใจของมันค่อย ๆ คลายลงไป
เพื่อให้ฉินอวี้โม่พาหานโม่ฉือหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย เสี่ยวจิ่วจึงส่งเสียงขู่คำรามดังก้องไปทั่วป่าและใช้หัวทั้งเก้าของมันขัดขวางมนุษย์ตัวจ้อยทุกคนที่คิดจะไล่ตามนายหญิงของมัน
“อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไป !”
เมื่อเห็นว่าร่างของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ หานโม่หยวนก็อดแค้นเคืองไม่ได้ บุรุษผู้คิดเป็นใหญ่ในตระกูลหานตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล
“อยู่ต่อหน้าราชา เจ้ามีเพียงสิทธิ์แสดงความหวาดกลัวและยอมจำนนเท่านั้น อย่าคิดจะทำสิ่งอื่น ไม่งั้นข้าจะส่งเศษกระดูกของพวกเจ้าลงไปเฝ้ารากผิงกั๋ว !”
ราชาอสรพิษเก้าเศียรเปล่งเสียงข่มขู่อย่างข่มขวัญ ก่อนจะใช้หัวยักษ์ทั้งเก้าและเขี้ยวยาวอีกหลายสิบตรงเข้าฉกกัด ฉีกกระชากเล่นงานกลุ่มจอมยุทธ์ตรงหน้าอย่างดุร้าย
แม้ว่าความแข็งแกร่งของกลุ่มจอมยุทธ์หน้ากากดำและหานโม่หยวนจะไม่ถือว่าย่ำแย่และเสี่ยวจิ่วก็ไม่สามารถสังหารพวกเขาคนใดได้ ทว่าในเรื่องการจะหยุดยั้งคนพวกนี้เอาไว้นั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้างูยักษ์เก้าหัวที่เป็นถึงอสูรมายาระดับเทวะราชันเก้าดาราเลยแม้แต่น้อย หน้าที่ของเสี่ยวจิ่วคือการยื้อเวลา หากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ถือว่าภารกิจเสร็จสิ้น และมันก็จะถอยออกไปในทันที
เวลานี้ฉินอวี้โม่แบกร่างหานโม่ฉือหนีมาได้ไกลพอสมควรแล้ว นางไม่ได้พาเขากลับไปยังจุดที่นางและพรรคพวกตั้งเต็นท์เอาไว้ ทว่ากลับพาเขาหลบหนีเข้าไปซ่อนตัวภายในถ้ำอสรพิษซึ่งเป็นที่อยู่เดิมของราชาอสรพิษเก้าเศียร
ในตอนนี้ร่างกายของหานโม่ฉือปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเย็นไหลทะลักออกมาจากร่างของเขาอย่างรุนแรงจนฉินอวี้โม่รู้สึกว่าทั้งไหล่และแขนของนางแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง มันชาจนไร้ความรู้สึกไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่คิดจะปล่อยร่างของมนุษย์น้ำแข็งผู้นี้ลง
เมื่อหานโม่ฉือมองดูสตรีโฉมงามที่กำลังเร่งรีบพาเขาหลบหนีด้วยสีหน้าท่าทางอันแสนมุ่งมั่น รอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมคาย เขาเห็นชัดเจนเลยว่านางเองก็กำลังฝืนต่อต้านไอเย็นจากร่างของเขาอยู่อย่างหนักหน่วง
“ขอบคุณมาก”
หานโม่ฉือเอื้อนเอ่ยวาจาด้วยความยากลำบาก ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งแต่กลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดของบุรุษผู้เย็นชา ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึงไปไม่น้อย ทว่านางก็เลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรและรีบมุ่งหน้าต่อไป
เมื่อมาถึงผาทรนงแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รีบพาร่างของหานโม่ฉือทะยานเข้าไปภายในถ้ำอสรพิษทันที
ในเวลาเดียวกันนางก็สั่งการให้ราชาอสรพิษเก้าเศียรถอนกำลังออกมาด้วยการสื่อสารทางจิตวิญญาณ และด้วยจุดที่นางพักแรมนั้นอยู่ในเส้นทางเสี่ยงที่กลุ่มชายหน้ากากดำจะเข้าไปพบเจอ ฉินอวี้โม่จึงขอร้องให้ราชางูยักษ์กลับไปช่วยคุ้มครองเสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงพร้อมกับแจ้งสถานการณ์ให้ทางนั้นได้รับทราบ
เสี่ยวจิ่วพยักหน้าตอบรับและรีบถอนตัวออกไปตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
กลุ่มของหานโม่หยวนได้แต่มองราชาอสรพิษเก้าเศียรถอนกำลังออกไปโดยไม่คิดจะขัดขวางมัน พวกเขาไม่กล้าใช้นภายุทธ์ในเวลานี้ เพราะนั่นอาจจะนำพาให้อสูรมายาหากินกลางคืนที่ดุร้ายตัวอื่นเข้ามาแทรกแซงได้
ในตอนนี้เมื่อเป้าหมายของเขา–หานโม่ฉือ ถูกบุคคลปริศนามาช่วยออกไปได้ ใบหน้าของหานโม่หยวนก็มีแต่ความมืดมนและบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด
“หัวหน้า พิษเย็นในตัวของเจ้าหานโม่ฉือมันควบคุมไม่ได้แล้ว อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับพวกเรา ข้าคิดว่ามันคงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้แน่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก !”
บุรุษหน้ากากดำที่อยู่ข้าง ๆ หานโม่หยวน เอ่ยปากกล่าวปลอบใจเพื่อให้ผู้เป็นนายของตนสงบสติอารมณ์ลง
หานโม่หยวนเปล่งเสียง *หึ* อย่างเย็นชาออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังกลับ
เขารู้ดีว่าในร่างกายของหานโม่ฉือมีพิษเย็นไหลเวียนอยู่ โดยปกติแล้วมันสามารถกำเริบขึ้นมาได้ทุกเวลา แต่หากว่ายับยั้งไว้ได้ทันก็จะไม่มีผลกระทบร้ายแรง อย่างไรก็ตาม พิษนี้มีความพิเศษอย่างหนึ่งคือ เมื่อใดที่ผู้ติดพิษใช้พลังมายาก็จะเป็นการเร่งให้พิษนั้นกระจายไปทั่วร่างและกำเริบรุนแรงขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุดคนผู้นั้นก็จะต้องเจ็บปวดทรมานจนขาดใจตาย
ทว่าหานโม่ฉือนั้นแข็งแกร่งมากจนสามารถใช้พลังยับยั้งพิษไปพร้อมๆ กับใช้พลังในการต่อสู้ได้ อีกทั้งยังมีสมุนไพรบ้าบอนั่นช่วยต้านพิษไว้ แต่ในวันนี้เขาระดมพลมาและฉวยจังหวะเวลาเหมาะสมลงมืออย่างหนัก ในตอนที่ต้องรับมือกับพรรคพวกของเขาก่อนจะหลบหนีไป หานโม่ฉือได้ใช้พลังไปมาก ไหนจะยังอาการบาดเจ็บนั่น เกรงว่าตอนนี้พิษเย็นคงจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของมันแล้ว
หากไม่มีพลังหลงเหลือที่จะควบคุมพิษเย็นก็มีเพียงความตายหนทางเดียวเท่านั้นที่รอคอยหานโม่ฉืออยู่ อีกไม่นานร่างของคนน่าชังผู้นั้นก็จะกลายเป็นเสมือนกับรูปปั้นน้ำแข็ง หัวใจของมันจะหยุดเต้นช้าๆ และลมหายใจของมันก็จะหมดไปในที่สุด ส่วนคนที่ช่วยมันไปได้นั่น อีกไม่นานก็จะถูกฤทธิ์ของพิษเย็นทำให้ตายไปพร้อมกัน !
“กลับตระกูลหานได้ ข้าจะใช้โอกาสนี้กวาดล้างกำลังสนับสนุนและกลุ่มอิทธิพลของหานโม่ฉือออกไปให้หมด !”
หานโม่หยวนมองไปยังทิศทางที่หานโม่ฉือหายตัวไปด้วยสายตาชั่วร้าย เขายกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันครั้งหนึ่งก่อนจะพาคนของเขาเดินทางกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้สถานการณ์ภายในถ้ำอสรพิษเป็นอย่างที่หานโม่หยวนคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน พิษเย็นที่อยู่ในร่างกายของหานโม่ฉือไหลเวียนอยู่ทั่วจนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว
ฉินอวี้โม่ทำได้เพียงคอยเฝ้าเขาเอาไว้ ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิภายในถ้ำกำลังลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ นักฆ่าสาวเริ่มตื่นตระหนกเพราะลมหายใจของหานโม่ฉือกำลังปั่นป่วนจนน่าหวาดหวั่น ฉินอวี้โม่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย นางได้แต่หน้านิ่วขมวดคิ้วมองดูอย่างอับจนหนทาง
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ทันใดนั้นหานโม่ฉือก็ลืมตาขึ้นมา
“เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม ?”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉืออย่างเป็นกังวล นางยอมรับนานแล้วว่าบุรุษผู้นี้เป็นสหาย แต่ที่ไม่เข้าใจนักก็คือเหตุใดอาการเลวร้ายของเขาจึงทำให้หัวใจของนางรู้สึกย่ำแย่นัก
“ข้าเกรงว่าข้าคงไม่สามารถควบคุมพิษเย็นภายในร่างกายได้อีกแล้ว”
หานโม่ฉือส่ายหน้า ใบหน้าของเขายังคงสงบเยือกเย็น แต่ชีพจรและอวัยวะภายในของเขาดูจะไม่ดีอย่างที่เขากำลังแสดงออกให้เห็น
“อวี้โม่ เจ้าสัญญากับข้าเรื่องหนึ่ง”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่แน่วแน่ราวกับว่าเขาตัดสินใจบางอย่างได้
“เชิญพูดมาได้”
คำพูดเช่นนั้นและแววตาจริงจังของบุรุษน้ำแข็งตรงหน้าทำให้ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกใจคอไม่ดี
“หากว่าหลังจากนี้ข้าไม่สามารถควบคุมพิษเย็นไว้ได้ อย่าได้ลังเลที่จะสังหารข้า !”
แม้ว่าจะเอื้อนเอ่ยแต่ละคำออกมาจากปากได้อย่างยากลำบาก ทว่าเสียงของหานโม่ฉือก็ยังคงหนักแน่น
เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไป นางยังไม่ได้เตรียมใจถึงเรื่องนี้เอาไว้
“แท้จริงแล้วพิษเย็นนี้อยู่ในตัวข้ามาหลายปี ในทุกครั้งที่ใช้พลังมายา ฤทธิ์ของพิษจะร้ายแรงขึ้น หากไม่ใช่เพราะข้าควบคุมมันไว้ ข้าคงตายไปนานแล้ว แต่ครั้งนี้ข้าใช้พลังไปมากมายจนไม่อาจควบคุมมันได้อีก เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแค่เจ้า แต่ทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ จะได้รับผลกระทบไปด้วย แม้ข้าไม่ใช้วีรบุรุษหรือผู้ผดุงคุณธรรม แต่ข้าก็ไม่อยากเห็นชีวิตบริสุทธิ์ต้องมาตายไปเพราะข้า อวี้โม่… ถ้าเวลานั้นมาถึง เจ้าต้องสังหารข้าทันที อย่างลังเลเด็ดขาด !”
วาจาที่หลุดออกมาจากปากของหานโม่ฉืออย่างยากลำบากนั้นช่างหนาวเหน็บชวนสั่นสะท้าน มันไม่ใช่แต่เพียงความเย็นภายนอก แต่เนื้อความนั้นก็ยังทำให้คนฟังหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ
ทว่าทั้งหมดก็ช่วยอธิบายให้ฉินอวี้โม่ได้เข้าใจในหลายเรื่อง
นางได้รู้แล้วว่า ไอเย็นที่เคยแผ่ออกมาจากร่างของมนุษย์น้ำแข็งผู้นี้ตลอดเวลาแท้จริงแล้วเป็นผลข้างเคียงจากการที่เขาติดพิษ ซึ่งทุกครั้งที่เขาใช้พลัง พิษนี้จะกำเริบและทำให้ร่างกายต้องเจ็บปวด เพียงแต่ที่เขาไม่แสดงอาการใดเลยก็เป็นเพราะที่ผ่านมาคนผู้นี้สามารถยังยั้งพิษเอาไว้ได้
ทว่าพิษเย็นในร่างกายของหานโม่ฉือก็มีผลข้างเคียงที่เลวร้ายกว่านั้นอยู่ นั่นก็คือเมื่อเขาไม่สามารถควบคุมมันได้ มันก็จะระเบิดออกมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขาจะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด และทางแก้เพียงอย่างเดียวก็คือต้องชิงลงมือสังหารเขาให้ตายก่อน ขอเพียงแค่เขาตายก่อนที่พิษจะระเบิดออกจากร่าง พิษเย็นเหล่านั้นก็จะสูญเสียพลังไปพร้อม ๆ กับลมหายใจของเขาและสลายตัวไปเองในที่สุด
ฉินอวี้โม่นึกไม่ออกเลยว่าภายใต้ใบหน้าอันแสนเย็นชานั้น เขาจะต้องอดทนอดกลั้นต่อความทุกข์ทรมานจากพิษเย็นในร่างกายมากมายเพียงใดในทุกครั้งที่ใช้พลังต่อสู้
ด้วยถ้อยคำอันหนักแน่นและแววตาแสนจริงจังนั้น ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าตอบรับ…..คนผู้นี้ต่างจากคนอื่น ๆ ที่นางเคยพบมาจริง ๆ
แม้วาจาจะกล่าวว่าตนไม่ใช่คนดี แต่ลึก ๆ แล้วบุรุษผู้นี้ก็มีความดีอยู่ เพราะอย่างน้อยในช่วงเวลาอันสำคัญเช่นนี้เขาก็มิได้ลังเลที่จะเลือกให้ตัวเองตายเพื่อแลกกับชีวิตบริสุทธิ์ของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากพิษร้ายในร่างกาย
นอกจากความจริงเรื่องพิษในกาย ฉินอวี้โม่ยังได้รู้อีกด้วยว่าส่วนลึกในจิตใจของหานโม่ฉือก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนเช่นที่เขาแสดงมาออกต่อหน้าผู้คน
….ทว่าสิ่งหนึ่งที่อดีตมือสังหารในร่างคุณหนูไม่รู้ก็คือ ไม่เพียงแต่หานโม่ฉือจะไม่ต้องการทำร้ายชีวิตผู้บริสุทธิ์อื่น ๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาไม่อยากให้สตรีตรงหน้าต้องเป็นอะไรไปเพราะตัวเขา….
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ยอมพยักหน้ารับคำ รอยยิ้มอ่อนแรงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบุรุษผู้แสนเย็นชา เขาหลับตาลงอีกครั้งและพยายามควบคุมความเย็นในร่างกายอย่างสุดความสามารถ
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจากคนเย็นชาผู้นี้ชัด ๆ สาวนักฆ่าก็ชะงักไป !
….ผู้ชายคนนี้ปกติไม่เคยยิ้มให้ ‘เธอ’ เห็นเลยสักครั้ง แต่พอเขาได้ยิ้มแบบนี้แล้ว ใบหน้าของเขาก็ดูดีมากจริง ๆ….
เป็นตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา… ‘เธอ’ ไม่อยากเห็นชายคนนี้ตายไปต่อหน้าต่อตาเลย
แต่ทว่าสาวงามกลับไม่สามารถทำสิ่งใดได้ และยิ่งเวลาผ่านไป อากาศภายในถ้ำอสรพิษก็ยิ่งเย็นลงไปอย่างต่อเนื่อง