คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 642 ความทรงจำที่ว่างเปล่า
หลังจากความเงียบปกคลุมครู่หนึ่ง หลัวจื้อเลี่ยก็กล่าวเป็นคนแรก
“แม่นางตัวน้อยทั้งสองมาจากที่ใดรึ ?”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักสั่วซีหย่า ทว่าเขาก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดในหัวใจ ราวกับว่าเขารู้จักสตรีลูกครึ่งเอลฟ์ผู้นี้เป็นอย่างดีและมีความรักความผูกพันบางอย่างที่ยากจะยับยั้งได้
“หากเราบอกว่าเรามาจากโลกข้างนอก เจ้าเมืองหลัวจะว่าอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวถามอย่างคลุมเครือซึ่งดูกึ่งจริงกึ่งปลอม หลัวจื้อเลี่ยตรงหน้าดูเข้ากับคนได้ง่าย เพียงแต่ไม่อาจทราบได้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอกและไม่รู้จักสั่วซีหย่า
“ฮ่า ๆ ๆ มาจากโลกข้างนอกแล้วอย่างไรเล่า ? ในเมื่อมาเยือนชนเผ่าเอลฟ์ของเราแล้ว แน่นอนว่าเจ้าทั้งสองก็เป็นมิตรสหายกับพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือลูกครึ่งเอลฟ์ ตราบใดที่ไม่มีความคิดร้ายกับชนเผ่าเอลฟ์ ข้าก็ยินดีต้อนรับ”
หลัวจื้อเลี่ยยิ้มและกล่าวอย่างจริงใจ เขาไม่รังเกียจลูกครึ่งเอลฟ์และไม่มีอคติกับมนุษย์แม้แต่น้อย เขาเชื่อมั่นว่าชนเผ่าเอลฟ์และมนุษย์คงอยู่มาเคียงคู่กันและควรเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
“เจ้าเมืองหลัวรักชนเผ่าเอลฟ์มากหรือเจ้าคะ ?”
สั่วซีหย่ากล่าวเป็นครั้งแรกและหัวใจของนางในตอนนี้ปั่นป่วนซับซ้อนยิ่งนัก นางมั่นใจอย่างมากว่าบุรุษตรงหน้านี้คือบิดาของตนเอง ทว่ายังไม่สามารถเปิดเผยทุกอย่างได้ในตอนนี้และยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าข้าต้องรักชนเผ่าเอลฟ์ หากเกิดวิกฤตหรือเรื่องร้ายใดกับชาวเอลฟ์ ข้าก็พร้อมที่จะยืนอยู่ในแนวหน้าและไม่ลังเลที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อความสงบสุขของชนเผ่าเอลฟ์”
หลัวจื้อเลี่ยยิ้มและไม่ปิดบังสิ่งใด ชนเผ่าเอลฟ์คือบ้านที่เขารักที่สุดและหมายมั่นที่จะปกป้องมันไปตลอด เขาไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาทำลายความสงบสุขของชนเผ่าเอลฟ์ได้
“โอ้ แต่ว่าตอนนี้ราชินีเอลฟ์ก็ยังไม่ได้สติและชาวเอลฟ์ก็ต่อสู้กันอย่างไม่หยุดหย่อน เจ้าเมืองหลัวไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อเท่าใดนัก นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทราบเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าในตอนนี้ เพียงแต่ยังสงสัยใคร่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงยังไม่ลงมือทำสิ่งใดเพื่อแก้ไขมัน
เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ หลัวจื้อเลี่ยก็ไม่รีบร้อนตอบกลับขณะนั่งนิ่งพลางใช้ความคิดกับตัวเอง
ทั้งฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าไม่กล่าวสิ่งใดต่อเช่นกัน ทั้งสองเพียงมองดูท่าทางของหลัวจื้อเลี่ยอย่างเงียบ ๆ และตั้งตารอคำตอบของเขา
“เฮ้อ…”
หลังจากนิ่งเงียบพักใหญ่ เสียงถอนหายใจเบา ๆ ก็ดังมาจากหลัวจื้อเลี่ย
“เจ้าทั้งสองคิดว่าข้าไม่อยากแก้ไขปัญหาเหล่านี้หรือ ? มันเพียงแต่ว่าข้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ ต่อให้ลงมือทำอะไรลงไป มันก็อาจแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ในทางกลับกันมันอาจทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากยิ่งขึ้น มีเพียงการเก็บตัวอยู่เฉยโดยทำให้ผู้อื่นหวาดหวั่นและหวาดระแวงเท่านั้นที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
ใช่ว่าหลัวจื้อเลี่ยจะไม่สนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพียงแต่เมื่อพันปีก่อน เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องน้องสาวอย่างหลัวจื๋อยินไว้และในครานั้นเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่เคยฟื้นฟูจนกลับสู่จุดสูงสุดอีกเลย
นอกจากนี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาก็ถูกลอบสังหารและได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกครา หลังจากเคราะห์ซ้ำกรรมซัดครานั้น ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาก็อยู่เพียงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นเท่านั้น
แม้เผ่าเลี่ยหยางของเขาจะมีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างสงบสุขมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทว่าจำนวนคนก็ยังน้อยเกินไป เขาทราบดีว่าหลานชายหลานสาวพยายามแก่งแย่งชิงบัลลังก์กัน ทว่าเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อจัดการเรื่องนั้นได้เลย
ส่วนการที่ราชินีเอลฟ์ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา แม้หลัวจื้อเลี่ยจะเป็นกังวลอย่างมากและเดินทางไปเยี่ยมนางครั้งหนึ่ง ทว่าเขาก็ไม่พบเบาะแสใด ราวกับว่าน้องสาวของเขาเพียงหลับไปเฉย ๆ อย่างไม่มีสาเหตุและไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้แม้แต่น้อย
“พวกผู้เฒ่าหลายคนในชนเผ่าเอลฟ์ก็ปรารถนาที่จะครอบครองเผ่าเลี่ยหยางของข้า หากข้าตัดสินใจทำสิ่งใดจริง ๆ มันมีแต่จะทำให้เผ่าเลี่ยหยางตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ ทุกวันนี้ซีรั่วก็ใช้อิทธิพลของครอบครัวนางเพื่อช่วยข้าสืบหาเบาะแสต่าง ๆ หากน้องสาวของข้าไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที ข้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดบุ่มบ่ามได้ เว้นเพียงแต่ชนเผ่าเอลฟ์ตกอยู่ในสภาวะวิกฤตที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ข้าก็ทำได้เพียงเมินเฉยเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวความจริงทุกอย่างต่อฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าอย่างไม่ปิดบัง ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดเขาจึงไม่ต้องการซ่อนความจริงไปจากพวกนางและต้องการบอกปัญหาเล่าของตน
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเจ้าเมืองหลัว ฉินอวี้โม่ก็วิเคราะห์สถานการณ์อย่างคร่าว ๆ และเชื่อว่าคำพูดของเขาสมเหตุสมผลอย่างแท้จริง นางจึงไม่เอ่ยถามให้มากความต่อไปและเปลี่ยนคำถาม “เมื่อสิบกว่าปีก่อน เจ้าเมืองหลัวบาดเจ็บได้อย่างไรหรือ…แล้วท่านได้รับบาดเจ็บมาจากที่ใด ?”
นางรู้สึกตงิดใจว่าสถานการณ์แปลกพิกลของหลัวจื้อเลี่ยในตอนนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บในครานั้น
“ข้าเองก็จำได้ไม่แน่ชัด ข้าทราบเพียงว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บที่สาหัสพอสมควร ข้าหมดสติไปนานเจ็ดวันเจ็ดคืนก่อนฟื้นขึ้นมา ในช่วงเวลานั้นซีรั่วก็คอยอยู่เคียงข้างและช่วยดูแลข้าตลอดเวลา ข้าจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง หลังจากฟื้นตัว ข้าจึงตกลงปลงใจกับนาง”
หลัวจื้อเลี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งและส่ายศีรษะเบา ๆ เขาไม่สามารถจดจำสิ่งใดจากเหตุการณ์การลอบสังหารในครานั้นได้เลย ทุกอย่างที่ทราบล้วนเป็นสิ่งที่ตู้ซีรั่วบอกเขา ทว่าตัวเขาก็ไม่ทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ
“เจ้าเมืองหลัว เมื่อสิบกว่าปีก่อน ข้าได้ยินมาว่าท่านออกจากชนเผ่าเอลฟ์เป็นเวลาช่วงหนึ่ง ไม่ทราบว่าระหว่างช่วงนั้นท่านไปที่ใดหรือเจ้าคะ ?”
สั่วซีหย่าอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้ นางมีข้อสันนิษฐานบางอย่างอยู่ในใจแล้วทว่ายังต้องการคำตอบจากหลัวจื้อเลี่ยเพื่อยืนยันให้แน่ชัด
“ข้าจำไม่ได้… ซีรั่วบอกว่าข้าออกไปหาประสบการณ์บางอย่างทว่าก็ออกไปเพียงไม่นานนัก”
หลัวจื้อเลี่ยส่ายศีรษะอีกครา ความทรงจำในช่วงเวลานั้นว่างเปล่าสำหรับเขา เขาจำไม่ได้แม้แต่น้อยทว่ารู้สึกในใจเสมอว่าเขาได้ลืมเลือนบางอย่างที่สำคัญที่สุดไป
“หากเช่นนั้นท่านจำสตรีนามว่าสั่วเชี่ยนได้หรือไม่ ?”
สั่วซีหย่าเอ่ยถามต่อไป นางต้องทราบให้ได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดที่ทำให้หลัวจื้อเลี่ยทอดทิ้งตนและมารดาอย่างเลือดเย็น
“สั่วเชี่ยนรึ ?”
หลัวจื้อเลี่ยพึมพำเบา ๆ พลางใช้ความคิด เขารู้สึกได้ทันทีว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูยิ่งนักและรู้สึกกังวลขึ้นมาเมื่อได้ยินมัน
“สั่วเชี่ยน…แม่ของข้า ในตอนแรก ท่านพบกับท่านแม่ที่โลกภายนอกและตกหลุมรักกับนาง หลังจากนั้นท่านแม่ก็ให้กำเนิดข้าและท่านให้คำมั่นว่าจะกลับมารับเราสองแม่ลูกไปอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ด้วยกัน ทว่าหลังจากหันหลังไปครานั้น…ท่านก็ไม่กลับมาอีกเลย ข้าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้น ทว่าตอนนี้ข้ายืนยันได้แล้วว่าท่านคือพ่อของข้า”
น้ำตาไหลรินอาบพวงแก้มของสตรีครึ่งเอลฟ์ เมื่อมองหลัวจื้อเลี่ยตรงหน้า ความคับแค้นในใจก็เอ่อล้นออกไป
วาจาแข็งกร้าวของสั่วซีหย่าทำให้มีบางอย่างฉายวาบเข้ามาในความคิดของหลัวจื้อเลี่ยอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นแววตาอันโศกเศร้าเจือด้วยความคับแค้นใจของนาง เขาก็รู้สึกโศกเศร้าไปด้วยเช่นกัน หลัวจื้อเลี่ยต้องการยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของนาง ทว่าก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น
“ท่านแม่รอท่านมาตลอดชีวิต ชีวิตของนางต้องจบลงเช่นนั้นทว่าท่านกลับจำอะไรไม่ได้เลย ข้ารู้สึกไร้ค่าแทนนางจริง ๆ”
หัวใจของสั่วซีหย่าในตอนนี้ถาโถมไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมาย ต่อให้ทราบว่าน่าจะเกิดบางอย่างขึ้นกับหลัวจื้อเลี่ยที่ทำให้เขาลืมตนและมารดาไป ทว่าความขุ่นเคืองในใจก็ยากที่จะลบเลือน
“ข้า…”
หลัวจื้อเลี่ยต้องการกล่าวอะไรสักอย่างทว่าไม่อาจสรรหาคำพูดใด ตอนนี้เขาจำสิ่งใดไม่ได้แม้แต่น้อยทว่ารู้สึกได้ว่าคำพูดของสั่วซีหย่าเป็นความจริงทุกประการ เขาทำให้สตรีผู้หนึ่งที่รักเขาอย่างสุดหัวใจต้องผิดหวังและจากโลกนี้ไปทั้งที่ไม่ได้คำตอบใด ๆ
“มีคนมา ! เจ้าเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนเถอะ”
พลังวิญญาณของฉินอวี้โม่แผ่ครอบคลุมทั่วบริเวณตลอดเวลาและเมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา นางก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ เพื่อให้สั่วซีหย่าเข้าไปซ่อนตัวในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อน
ความลับเกี่ยวกับหลัวจื้อเลี่ยยังไม่ได้รับการไขให้กระจ่างและตัวตนของสั่วซีหย่าก็ยังไม่สามารถเปิดเผยออกไปในตอนนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่มั่นใจว่าตู้ซีรั่วคือบุคคลลึกลับชุดดำผู้นั้นหรือไม่ พวกนางจึงยังไม่สามารถเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาที่นี่ได้
สั่วซีหย่าไม่สงสัยในการตัดสินใจของฉินอวี้โม่และหันมองหลัวจื้อเลี่ยเล็กน้อยก่อนร่างของนางจะหายวับเข้าไปในคฤหาสน์หลังน้อยทันที
ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นมาในคฤหาสน์เฟิงหัว สั่วซีหย่าก็มองเห็นสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ และนั่นคือตู้ซีรั่ว—ภรรยาคนปัจจุบันของหลัวจื้อเลี่ยนั่นเอง
หลัวจื้อเลี่ยก็เป็นบุรุษที่มีไหวพริบ เขาปรับอารมณ์ความรู้สึกให้กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ซีรั่ว เจ้าไปหาท่านพ่อตามิใช่รึ ?”
ตู้ซีรั่วยิ้มและตอบกลับ “ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าเพียงออกไปทำธุระสั้น ๆ และรีบกลับมา ได้ยินว่าท่านพี่เชิญพวกเด็ก ๆ มานั่งพูดคุยกันที่นี่ แล้วเหตุใดตอนนี้จึงมีแต่อวี้โม่เพียงคนเดียวล่ะ ?”
“ฮ่า ๆ ๆ หลาน ๆ เหล่านั้นกระตือรือร้นกันมาก คิดว่าพวกเขาจะนั่งเฉยอยู่ที่นี่กับข้าได้รึ ? เพียงแต่อวี้โม่บอกว่ารู้สึกเพลียเล็กน้อยและต้องการนั่งคุยเป็นเพื่อนข้าอยู่ที่นี่”
หลัวจื้อเลี่ยเผยรอยยิ้มที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ตู้ซีรั่วไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าแววตาของเขาที่มองนางได้เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว
“โอ้ ? แปลกจริงที่อวี้โม่อ่อนเพลียง่ายต่างจากวัยเช่นนี้”
ตู้ซีรั่วพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวต่อ “การไปที่เรือนท่านแม่ครานี้ ข้าได้ข่าวที่น่าสนใจกลับมา กล่าวกันว่ากลุ่มของอวี้โม่เป็นแขกคนสำคัญที่หลานห้าเชิญไปที่เผ่าด้วยตัวเองและเกิดเรื่องความขัดแย้งบางอย่างกับหลานสี่ กล่าวกันว่าในตอนนั้นพลังของอวี้โม่และโม่ฉือแข็งแกร่งทรงพลังมากกว่าหลาน ๆ ของเราเสียอีก”
“โอ้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ ?!”
หลัวจื้อเลี่ยหันขวับมองฉินอวี้โม่ทันทีและแสร้งแสดงสีหน้าสงสัยใคร่รู้
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นเพียงความเข้าใจผิดกันเท่านั้นเจ้าค่ะ และเราก็ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว มันมิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ข้าจึงไม่ได้แจ้งให้ท่านเจ้าเมืองหลัวและท่านหญิงได้ทราบ”
ฉินอวี้โม่ทราบอยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องแพร่มาถึงหูตู้ซีรั่วและหลัวจื้อเลี่ย ทว่าตอนนี้มีคนอยู่ไม่มากและไม่มีใครทราบรายละเอียดภายในที่แท้จริง เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่กังวลกับความสงสัยของตู้ซีรั่ว
“ซีรั่ว จอมยุทธ์ทั้งสามมาจากโลกภายนอกและเข้ามาที่ชนเผ่าเอลฟ์โดยบังเอิญก่อนได้พบกับหลานห้า ข้าเพียงบอกกับนางว่าเผ่าของเราไม่รังเกียจหรือต่อต้านเพียงเพราะตัวตนของพวกนางและพวกนางยังคงเป็นแขกคนสำคัญของเรา เจ้าคิดเหมือนกันรึไม่ ?”
หลัวจื้อเลี่ยยิ้มและกล่าวเสริมขณะมองตู้ซีรั่วอย่างลอบพิจารณาอยู่ในใจ เขาต้องการเห็นสีหน้าของนางว่าจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เมื่อได้ทราบว่าคนทั้งสามมาจากโลกภายนอก
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านพี่พูดถูกแล้ว ข้าก็สนใจเรื่องของโลกภายนอกอยู่เหมือนกัน หากอวี้โม่มีเวลาก็ช่วยเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับโลกภายนอกให้ข้าฟังสักหน่อยเถอะ”
สีหน้าของตู้ซีรั่วไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับว่าถิ่นที่มาของฉินอวี้โม่และทั้งสองไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อนางเลย
ตู้ซีรั่วในลักษณะที่นิ่งไม่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ฉินอวี้โม่เริ่มสงสัยว่าตนคาดเดาผิดไปหรือไม่ ? อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้เช่นกันว่านางเพียงมีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมจนมองไม่ออก
นางอดถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเองไม่ได้ หากศัตรูที่ตามหาคือตู้ซีรั่วจริง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากอย่างยิ่ง
.