คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 643 ความทรงจำที่ถูกช่วงชิงไป
ณ อีกฟากหนึ่งของสวนงดงาม หลัวอวิ๋นซีเดินนำหน้าโดยที่มีหานโม่ฉือเดินตามหลังอย่างไม่รีบร้อน พลังวิญญาณของเขาแผ่ออกไปอย่างลับ ๆ เพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่อยู่ตลอดเวลา
เมื่อสัมผัสได้ว่าตู้ซีรั่วกลับมาแล้ว เขาก็ทราบได้ทันทีว่าฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าจะไม่เอ่ยถามสิ่งใดเพิ่มเติม เพราะเหตุนั้นเขาจึงหันหลังและเตรียมที่จะกลับไปยังศาลาที่จากมาก่อนหน้านี้
“คุณชายโม่ฉือ”
ทว่าหลัวอวิ๋นซีก็จับตาดูการเคลื่อนไหวของหานโม่ฉืออยู่ตลอดเช่นกัน และเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะหันหลังเพื่อเดินกลับไป นางก็รีบปรี่เข้าไปคว้าแขนเขาไว้อย่างรีบร้อน
เมื่อถูกดึงแขนไว้โดยหลัวอวิ๋นซี หานโม่ฉือก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีและสะบัดมือผลักนางออกไปอย่างไม่ลังเล
“คุณชายโม่ฉือ ข้าเชื่อว่าความรู้สึกของข้าน่าจะประจักษ์ต่อท่านแล้ว ข้าชอบท่านมาก…มาเป็นคู่ครองของข้าเถอะ ข้าให้สัญญาว่าจะมีท่านเพียงคนเดียวและไม่ชายตามองผู้ใดอีกเลย”
หลัวอวิ๋นซีหยุดนิ่งตรงหน้าหานโม่ฉือและกล่าวเสียงดังชัดเจน นางเฝ้ารอโอกาสนี้มานานและต้องการสารภาพความรู้สึกของตนกับหานโม่ฉือมาตลอดเวลาที่ผ่านมา เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาและฉินอวี้โม่ก็ตัวติดกันมาเสมอ ทว่าในตอนนี้ที่ฉินอวี้โม่ไม่อยู่และนางอยู่กับเขาเพียงลำพัง นางจะไม่ยอมพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
หลัวอวิ๋นซีมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่ง ด้วยคุณสมบัติอันเพียบพร้อมรอบด้าน นางเชื่อมั่นว่าไม่ว่าชายใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้แน่ ๆ แม้ว่านางก็ต้องยอมรับว่าฉินอวี้โม่งดงามและยอดเยี่ยมจริง ๆ อย่างไรก็ตาม นางก็เป็นถึงองค์หญิงเล็กของชนเผ่าเอลฟ์และอาจเป็นผู้ครองตำแหน่งราชินีเอลฟ์คนต่อไป ไม่ว่าอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ไม่อาจเทียบชั้นกับนางได้
“ฮ่า ๆ ๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยมของหลัวอวิ๋นซี หานโม่ฉือก็หยุดนิ่งและหัวเราะออกไปทันที
การหัวเราะอย่างกะทันหันของเขาทำให้หลัวอวิ๋นซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางคิดว่าเขาน่าจะยินดีและมีความสุขกับข้อเสนอของตน
“ไม่ต้องห่วง สำหรับฉินอวี้โม่ภรรยาของท่าน ข้าจะไม่ใจร้ายกับนางจนเกินไป ข้าจะมอบเงินทองให้นางเป็นจำนวนมากแลกกับการที่นางยอมจากท่านไป ท่านที่เป็นบุรุษรูปงามและมากความสามารถเช่นนี้ นางไม่คู่ควรเลยสักนิด”
ขณะกล่าวเพิ่มเติม หลัวอวิ๋นซีก็จงใจกล่าวเพื่อแสดงถึงความเมตตาและจิตใจดีเพื่อให้หานโม่ฉือชื่นชอบตนมากขึ้น
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หานโม่ฉือก็ค่อย ๆ ก้าวตรงเข้าไปใกล้นางมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์จนหลัวอวิ๋นซีหลงใหลอย่างไม่อาจละสายตา
ตุบ !
จู่ ๆ หลัวอวิ๋นซีก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กดทับลงมาบนตัวนางจนพยุงตัวไม่ไหวและเข่าทรุดล้มลงพื้นจนเกิดเสียงดัง
“อย่าแม้แต่จะคิดทำสิ่งใดที่ไม่ควรเด็ดขาด ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า หากเทียบกับโม่เอ๋อร์แล้ว เจ้าก็เทียบนางไม่ได้แม้เพียงปลายเล็บ หากข้ารู้ว่าเจ้าคิดร้ายใด ๆกับโม่เอ๋อร์ละก็ เชื่อเถอะว่าข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ซึ้งกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก !”
หานโม่ฉือแผ่จิตสังหารแรงกล้าออกไปเพื่อเตือนหลัวอวิ๋นซีอย่างเยือกเย็น นี่คือการเตือนที่เขาต้องการทำให้นางรับรู้มานานแล้ว
แท้จริงแล้วการที่หลัวอวิ๋นซีชื่นชอบเขามิใช่สิ่งที่ผิด อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือสัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์และมุ่งร้ายที่นางมีต่อฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน สิ่งใดก็ตามที่เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของฉินอวี้โม่จะถูกขัดขวางไว้ล่วงหน้าและเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ภรรยาได้รับอันตรายหรือถูกคุกคามใด ๆ
หลัวอวิ๋นซีไม่มีเวลาตอบสนองได้ทัน ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าอากาศรอบ ๆ แข็งตัวขึ้นมาและหานโม่ฉือไม่ยืนอยู่ตรงหน้าตนอีกต่อไป เมื่อครู่นางรู้สึกราวกับว่ามีมัจจุราชที่กำลังกวักมือเรียกนาง หานโม่ฉือทั้งน่าสะพรึงกลัวและน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งจนนางไม่อาจต้านทานได้เลย
“น้องเล็ก เกิดอะไรขึ้น ?! เหตุใดเจ้าจึงนั่งอยู่บนพื้นเช่นนี้ ?”
ทันทีที่หานโม่ฉือจากไป หลัวหมิงฮ่าวและหลัวหมิงเฟยก็มาถึงจุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในลานประลองพักใหญ่และการประมือก็ติดอยู่ในสภาวะชะงักงันเป็นเวลานาน เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงเหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะสู้กันอีกจึงตัดสินใจเดินกลับมา ทว่าทันทีที่มาถึงที่นี่ พวกเขาก็พบกับหลัวอวิ๋นซีที่นั่งอยู่บนพื้นเพียงลำพังจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงลื่นหกล้มเท่านั้น”
แน่นอนว่าหลัวอวิ๋นซีไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทว่ามีความคิดอื่นผุดขึ้นในใจ เวลานี้แม้หานโม่ฉือจะทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว นั่นก็ใช่ว่านางจะยอมแพ้ไปง่าย ๆ หานโม่ฉือจะต้องเป็นของนางในไม่ช้าก็เร็ว อยากเห็นนักว่าเมื่อข้าได้เป็นราชินีเอลฟ์ หานโม่ฉือจะยังกล้าปฏิเสธข้ารึไม่ !
ด้วยความคิดดังกล่าว นางจึงไม่อยากเสียเวลาอยู่ในเมืองเลี่ยหยางอีกต่อไปและต้องการกลับไปที่เผ่าของตนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแย่งชิงตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดของชนเผ่าเอลฟ์
หลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงฮ่าวไม่ทราบความคิดเหล่านั้นในหัวใจของนาง พวกเขาเพียงมองหน้ากันเล็กน้อยและต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อคำอธิบายของน้องสาวเมื่อครู่ เพียงแต่พวกเขาก็ไม่ต้องการถามให้มากความ
เมื่อกลับถึงศาลาในสวน ทั้งสามก็พบกับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ที่นั่งอยู่ด้วยกันขณะสนทนากับตู้ซีรั่วและหลัวจื้อเลี่ย มีเพียงสั่วซีหย่าเท่านั้นที่หายตัวไป
“ท่านลุง ท่านป้าเจ้าคะ หลังจากอยู่ที่เมืองเลี่ยหยางมานาน ก็ได้เวลาที่ข้าต้องกลับไปที่เผ่าแล้ว การที่ข้าอยู่ที่นี่นานเกินไป เกรงว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่เผ่าของข้าได้”
หลัวอวิ๋นซีลอบมองหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก่อนเอ่ยร่ำลา ตอนนี้นางยืนยันความคิดหนักแน่นในใจแล้วและอดที่จะออกไปเตรียมการขั้นต่อไปไม่ได้
“โอ้ ? ไม่อยู่ต่ออีกสักสองสามวันรึ ?”
หลัวจื้อเลี่ยลอบมองหานโม่ฉือพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าวกับหลัวอวิ๋นซี
“ฮ่า ๆ ๆ ข้ารบกวนท่านลุงท่านป้ามานานเหลือเกิน ข้าไม่อยากรบกวนท่านทั้งสองอีกแล้วเจ้าค่ะ”
หลัวอวิ๋นซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นนางก็กล่าวลาหลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงฮ่าวก่อนพยักศีรษะให้กับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ หลังจากนั้นองค์หญิงเล็กของชนเผ่าเอลฟ์ก็มุ่งหน้าออกจากจวนเจ้าเมืองเลี่ยหยางในทันที
ฉินอวี้โม่ลอบมองหานโม่ฉือข้างกายด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่น้อย หานโม่ฉือกล่าวสิ่งใดกับนางกัน ? เห็นได้ชัดว่ามันทำให้หลัวอวิ๋นซีตัดสินใจออกจากเมืองเลี่ยหยางไปในทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อน้องเล็กกลับแล้ว ข้าก็คงจะไม่อยู่ต่ออีก เกรงว่ากิจการทางการทหารหลายอย่างคงจะล่าช้าไปมากแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับไปจัดการธุระก่อนขอรับ”
หลัวหมิงเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้มและร่ำลาทุกคนเช่นกัน นับตั้งแต่เขาเดินทางมาที่เมืองเลี่ยหยาง นั่นก็ผ่านมานานกว่าครึ่งเดือนแล้วและเขายังไม่ได้สิ่งใดที่ต้องการ ท่านลุงของเขายังคงวางตัวเป็นกลางเช่นเดิมและยากที่จะเอาชนะใจได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป
สำหรับน้องห้าของเขาที่ไม่สนใจเรื่องอิทธิพลและอำนาจ หลัวหมิงเฟยก็ไม่สนใจเท่าใดนักและเขายังรู้สึกถูกชะตากับลักษณะนิสัยของน้องชายผู้นี้เช่นกัน ต่อให้หลัวหมิงฮ่าวมีจุดประสงค์ใดซ่อนไว้ หลัวหมิงเฟยก็ไม่คิดทำสิ่งใดเพื่อขัดขวาง
“เข้าใจแล้ว เจ้าจะกลับทันทีเลยรึ ?”
หลัวจื้อเลี่ยไม่คัดค้านเมื่อหลัวหมิงเฟยกล่าวร่ำลา เขาทราบดีว่าหลัวหมิงเฟยและหลัวอวิ๋นซีมาที่เมืองเลี่ยหยางเพื่อสิ่งใด บัดนี้เมื่อทั้งสองลากลับเผ่าของตน แน่นอนว่าเขาไม่คัดค้านหรือขัดขวางแต่อย่างใด
“หากพบกับพี่สองของเจ้า ฝากบอกเขาด้วยว่าให้แวะมาเยี่ยมเยือนข้าบ้าง ข้าอยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร”
หลัวหมิงเฟยพยักศีรษะตอบรับก่อนยิ้มให้กับหลัวหมิงฮ่าว “น้องห้า หากเจ้ามีเวลาเชิญมาที่ค่ายทหารของข้า เจ้าอาจจะชื่นชอบที่นั่นก็เป็นได้ ข้าและพี่สองยินดีต้อนรับเจ้าอย่างมาก”
หลัวหมิงฮ่าวพยักศีรษะตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกดีกับพี่สองและพี่สามของตนมากพอสมควร
“จอมยุทธ์หานโม่ฉือ จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ ยินดีที่ได้พบกับท่านทั้งสอง หากมีโอกาสเชิญท่านทั้งสองมาเป็นแขกที่ค่ายของข้าเถิด ข้าจะตอบแทนมิตรภาพด้วยการเป็นเจ้าบ้านที่ดี”
เขากล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างสุภาพ
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบรับโดยไม่ปฏิเสธ
หลัวหมิงเฟยยิ้มอีกคราก่อนหันหลังกลับและออกจากเมืองเลี่ยหยาง
“ท่านลุง ท่านป้า เราเพิ่งมาที่นี่ได้เพียงไม่นานและที่เผ่าของเราก็ไม่มีอะไรที่ต้องจัดการ ข้าอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนท่านทั้งสองจนเกินไป”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวกับหลัวจื้อเลี่ยและตู้ซีรั่วด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่มีปัญหา เจ้าจะอยู่ที่นี่นานเพียงใดก็ได้ ที่นี่ถือเป็นบ้านของเจ้าเช่นกัน”
หลัวจื้อเลี่ยและตู้ซีรั่วไม่ปฏิเสธและคลี่ยิ้มแสดงความยินดีอย่างชัดเจน
“อีกอย่าง…แม่สาวน้อยสั่วซีหย่าหายไปไหนเสียล่ะ ? ข้ารู้สึกถูกชะตากับนางยิ่งนัก เหตุใดวันนี้ข้าจึงไม่ได้พบนาง ?”
ตู้ซีรั่วไม่เห็นสั่วซีหย่าซึ่งมักติดตามฉินอวี้โม่อยู่เสมอและเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินวาจาของนาง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มองหน้ากันพลางกระซิบเบา ๆ ‘หรือว่าตู้ซีรั่วจะเริ่มสงสัยบางสิ่งบางอย่างแล้ว ?’
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของพวกนางก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและกล่าวตอบ “ข้าสั่งให้นางกลับไปเอาของให้ข้าเจ้าค่ะ คาดว่านางจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้”
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องให้นางกลับมาแล้วล่ะ ข้าเริ่มเหนื่อยแล้วและอยากกลับไปพักผ่อน เชิญคนหนุ่มสาวพักผ่อนได้ตามสบาย หากต้องการสิ่งใดก็มาหาข้าหรือซีรั่วได้เลย ทำตัวตามสบายและคิดเสียว่าที่นี่คือบ้านของพวกเจ้า”
หลัวจื้อเลี่ยยืนขึ้นขณะกล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความหมายบางอย่างที่มีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่จะเข้าใจ
“เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและมองดูเจ้าเมืองหลัวและภรรยาเดินจากไป
เมื่อทั้งสองกลับออกไปแล้ว ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและหลัวหมิงฮ่าวก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง ? พวกท่านได้ความคืบหน้าอะไรหรือไม่ ?”
ทันทีที่เข้ามาในคฤหาสน์ล่องหน หลัวหมิงฮ่าวก็ไม่รอช้าและกล่าวถามทันที เขาและกลุ่มของฉินอวี้โม่เดินทางมาที่เมืองเลี่ยหยางในครานี้เพื่อจุดประสงค์ในการตามหาบุคคลลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในเผ่าเลี่ยหยางและเพื่อยืนยันตัวตนที่แท้จริงของสั่วซีหย่า แม้เมื่อครู่นี้มีเวลาเพียงไม่นาน มันก็คงจะเพียงพอให้ฉินอวี้โม่และสั่วซีหย่าสอบถามข้อมูลบางอย่างได้
สั่วซีหย่าส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวตอบ “เขาจำข้าและแม่ของข้าไม่ได้เลยสักนิด ราวกับว่าความทรงจำของเขาหายไปบางส่วน อย่างไรก็ตาม ข้ามั่นใจว่าเขาคือพ่อของข้า”
แม้เคยมีความสงสัยและความลังเลอยู่ก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้สั่วซีหย่าก็มั่นใจแล้วว่าหลัวจื้อเลี่ยคือบิดาบังเกิดเกล้าของตนอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาทอดทิ้งนางและมารดาในตอนนั้นคงจะเกิดจากเรื่องลึกลับซ่อนเงื่อนบางอย่าง เพียงแต่เขาจำเรื่องราวในช่วงนั้นไม่ได้เลย ส่วนผู้ที่ส่งคนไปสังหารนางและมารดาจะใช่ตู้ซีรั่วหรือไม่นั้น สั่วซีหย่าก็ยังไม่มั่นใจนัก
ฉินอวี้โม่เล่ารายละเอียดบทสนทนาก่อนหน้านี้ให้กับหลัวหมิงฮ่าวและหานโม่ฉือได้ทราบ เมื่อได้ยินว่าสาเหตุที่หลัวจื้อเลี่ยไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เป็นเพราะความแข็งแกร่งในปัจจุบันที่ไม่ทรงพลังเหมือนในอดีต หลัวหมิงฮ่าวก็ไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อย เผ่าของหลัวจื้อเลี่ยถือเป็นเผ่าที่พิเศษและสำคัญสำหรับชาวเอลฟ์ ตราบใดที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใด สถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์ก็จะยังมั่นคงต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
“สูญเสียความทรงจำช่วงหนึ่ง…”
หานโม่ฉือไตร่ตรองครู่ใหญ่และพยายามนึกถึงบางอย่าง
“บางทีความทรงจำส่วนนั้นของเขาอาจจะถูกดึงเอาไปด้วยวิธีการบางอย่าง เพราะเหตุนั้นเขาจึงจำสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นไม่ได้”
เมื่อจู่ ๆ หานโม่ฉือกล่าวเช่นนี้ อีกสามคนก็ตกตะลึงทันที
การดึงเอาความทรงจำบางส่วนไปจากใครสักคน…มันฟังดูเป็นสิ่งที่ทั้งวิเศษและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน…
.