คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 664 ความเปลี่ยนแปลงของยอดเขาม่านหมอก
หลังจากจุมพิตยาวนาน ฉินอวี้โม่ก็เอนกายพิงอ้อมแขนอบอุ่นของหานโม่ฉือด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
สั่วซีหย่าเองก็แอบหน้าแดงเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสบตากับฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งมีพวงแก้มระเรื่อจนมองเห็นได้ อีกฝ่ายก็แลบลิ้นให้นางอย่างหยอกเย้าทันที
“จิ๊จิ๊จิ๊ ข้าจะเข้าไปเล่นกับเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อน ข้าคงไม่อยู่ขัดจังหวะท่านทั้งสอง เชิญท่านแสดงความรักกันได้ตามสบายเลยเจ้าค่ะ”
หลังจากกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย้าแหย่ สั่วซีหย่าก็ตรงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
“ต่อรึไม่ ?”
มุมปากของหานโม่ฉือยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะดึงร่างบางมานั่งลงบนตักของตนด้วยใบหน้ามีความสุข
“ต่ออะไรกันเล่า ! มั่นใจเลยว่าสั่วซีหย่า เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ คงจะรอแอบดูเราอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มขณะเอนพิงอ้อมแขนของหานโม่ฉือพร้อมรอยยิ้มกว้าง “เจ้าเพิ่งไปที่ห้องพัก แล้วเหตุใดจึงรีบกลับมาหาข้าเร็วนัก ?”
“ยังกล้าถามอีกรึ ! ปล่อยให้ข้าไปกับสตรีผู้นั้นได้ หากมิใช่เพราะนางจากไปก่อน เกรงว่าข้าคงอดทนไม่ไหวและฟาดใบหน้านางจนลอยกระเด็นไปแล้ว”
หานโม่ฉือจิ้มจมูกโด่งของฉินอวี้โม่เบา ๆ ขณะสีหน้าดูจนปัญญาอย่างน่าเห็นใจ ต่อให้ทราบความคิดของฉินอวี้โม่และเข้าใจเจตนาของนางดี หานโม่ฉือก็อดหงุดหงิดไม่ได้ เพราะเหตุนั้นเมื่อครู่นี้เขาจึงจุมพิตนางอย่างกะทันหันเพื่อเป็นการลงโทษสตรีคนรัก
“นั่นก็เพื่อแผนการของเรามิใช่หรือ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย แท้ที่จริงแล้วต่อให้ไม่มีหานโม่ฉือ นางก็เชื่อว่าแผนการจะดำเนินไปอย่างราบรื่นได้ เพียงแต่นางอยากเห็นสีหน้าผิดหวังของหลัวอวิ๋นซีและต้องการสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายสักหน่อย
“สตรีผู้นั้นมีใบหน้าที่ด้านหนาจริง ๆ แม้ว่าข้าจะเมินเฉยและไม่สนใจแค่ไหน นางก็ยังตามตอแยและก่อกวนข้าไม่หยุด เห็นทีเราคงจัดการกับนางได้ไม่ง่ายและการขอให้นางนำเราไปที่ยอดเขาม่านหมอกก็คงจะยากกว่าที่คิด”
หานโม่ฉือไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไป เขาไม่เคยพบเห็นสตรีที่ใจกล้าหน้าไม่อายถึงเพียงนี้มาก่อน องค์หญิงเล็กหลัวอวิ๋นซีถือเป็นสตรีที่หน้าด้านหน้าทนที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา
“ไม่เป็นไร เรายังไม่รีบร้อนนักในช่วงสองถึงสามวันนี้ สิ่งที่ข้ากังวลมากกว่าคือตู้ซีรั่วจะทราบข่าวเรื่องต้นโพธิ์เช่นกันและมีแผนการเหมือนกับเรา หากคนพวกนั้นพบต้นโพธิ์ได้ก่อน เกรงว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดและกล่าวสิ่งที่กังวลมากที่สุดออกไป นางทราบเบาะแสของต้นโพธิ์แล้วก็จริง ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดที่จะรับประกันได้เลยว่าฝ่ายมารจะไม่ทราบถึงเรื่องนี้ หากคนชั่วร้ายเหล่านั้นทราบข่าว พวกเขาจะต้องมาที่เผ่าเพียวเหมี่ยวแห่งนี้เพื่อตามหาต้นโพธิ์อย่างแน่นอน
หากต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา มันจะเป็นเรื่องร้ายสำหรับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างมาก เดิมทีพวกเขาก็มีบุปผาแห่งความมืดอยู่แล้ว หากเพิ่มต้นโพธิ์เข้าไปด้วย เกรงว่าทั้งดินแดนเทพมายาคงไม่มีสิ่งใดที่ทรงพลังมากพอจะต่อกรกับพวกเขาอีก
“ไม่ต้องห่วง ถึงอย่างไรหลัวอวิ๋นซีก็มิใช่สตรีไร้ความสามารถ ในเมื่อนางเป็นถึงผู้นำของเผ่าเพียวเหมี่ยว นางย่อมรู้จักที่นี่ดีกว่าใครและน่าจะมีสิ่งยับยั้งป้องกันจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ยอดเขาม่านหมอก หากคนชั่วพวกนั้นคิดจะฝ่าเข้าไป พวกเขาจะต้องเผชิญกับความเสียหายมากพอสมควร เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เราไม่ทำอะไร หลัวอวิ๋นซีก็ไม่มีทางยอมอยู่เฉยแน่”
หานโม่ฉือไม่กังวลจนเกินไปนัก ยอดเขาม่านหมอกถือเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเพียวเหมี่ยวและเป็นสถานที่สำคัญสำหรับหลัวอวิ๋นซี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนนอกผ่านเข้าไปได้ง่าย ๆ หลัวอวิ๋นซีก็เป็นคนเจ้าเล่ห์และชาญฉลาดอย่างมากเช่นกัน คาดว่านางน่าจะติดตั้งกับดักป้องกันไว้รอบ ๆ ยอดเขาดังกล่าว หากผู้ใดต้องการฝ่าทะลวงเข้าไปในที่แห่งนั้น พวกเขาจะต้องยอมจ่ายในราคาที่สูงทีเดียว
“ข้าทราบดี เพียงแต่ฝ่ายมารก็ประหลาดเกินคาดเดา ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่สามารถรับประกันได้ว่าภายในเผ่าเพียวเหมี่ยวจะไม่มีหนอนบ่อนไส้อยู่ด้วย หากคนผู้นั้นแอบพาพวกฝ่ายมารเข้าไปในยอดเขาม่านหมอก ความสำเร็จของพวกเขาก็จะอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะทว่าความกังวลยังคงไม่หายไป ไม่ว่าจะมีสิ่งยับยั้งหรือสิ่งป้องกันมากมายเพียงใด สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงมีช่องโหว่อยู่ หากคนเหล่านั้นพบช่องโหว่ที่ว่านั่นก่อน มันคงมิใช่เรื่องดีแน่
หลังจากไตร่ตรองครู่ใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็เรียกให้มารยาและเสี่ยวจิ่วออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว หลังจากถ่ายทอดคำสั่งให้กับทั้งสอง พวกมันก็เหาะตรงไปยังทิศทางของยอดเขาม่านหมอกทันที
อสูรทั้งสองต้องออกไปตรวจสอบสถานการณ์ล่วงหน้าและจัดเตรียมบางอย่างก่อน ด้วยพลังของมารยาก็ยากที่จะถูกค้นพบระหว่างการจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ รอบยอดเขาม่านหมอก และเมื่อผู้ใดเข้าไปใกล้สิ่งที่มันเตรียมไว้ แน่นอนว่าอสูรสาวก็จะรับรู้ได้ในทันที เมื่อถึงตอนนั้น ฉินอวี้โม่และทุกคนก็จะสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม
หลังจากนั้นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็อยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นเป็นเวลาพักใหญ่ก่อนที่หานโม่ฉือจะกลับไปยังห้องพักของตนในขณะที่ฉินอวี้โม่นอนพักผ่อนเป็นระยะหนึ่ง
ในช่วงค่ำของวัน หลัวอวิ๋นซีก็เตรียมอาหารมื้อใหญ่ซึ่งครบถ้วนไปด้วยสารอาหารเป็นการต้อนรับกลุ่มของฉินอวี้โม่ ครานี้นอกจากองค์หญิงเล็กก็ยังมีบิดาของนางซึ่งเป็นสามีคนที่สี่ของราชินีเอลฟ์—เหลียนหยาง
‘เหลียนหยาง’ เป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์หล่อเหลาอย่างมากและแผ่กลิ่นอายความอบอุ่นซึ่งทำให้ผู้ที่อยู่รอบ ๆ ตัวรู้สึกสบายใจ ใบหน้าของเขามักประดับด้วยรอยยิ้มบางอยู่เสมอซึ่งทำให้ดูเป็นคนเข้าถึงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม เขามิใช่คนเรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก กล่าวได้ว่าในชนเผ่าเอลฟ์มีผู้ที่อ่านออกยากและล้ำลึกเกินเข้าใจเพียงไม่กี่คน ซึ่งเหลียนหยางผู้นี้ก็คือหนึ่งในนั้น
เขากล่าวทักทายฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างสุภาพก่อนกล่าวถามถึงสถานการณ์ของราชินีเอลฟ์ เห็นได้ชัดว่าเขามีความสนใจและเป็นห่วงเป็นใยหลัวจื๋อยินอย่างแท้จริง
หลัวหมิงเฟยก็ใช้เวลาเสแสร้งสนทนากับเหลียนหยางอย่างเป็นมิตรอยู่พักใหญ่ ถึงอย่างไรเขาก็เชี่ยวชาญในสิ่งนี้เป็นอย่างมาก
“หมิงเฟย การที่เจ้าเดินทางมาที่เผ่าเพียวเหมี่ยวอย่างกะทันหันครานี้ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ ?”
หลังจากดื่มสุราด้วยกันอยู่พักหนึ่ง เหลียนหยางก็กล่าวถามอย่างหยั่งเชิง เขาทราบดีว่าการที่ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมาถึงเผ่าเพียวเหมี่ยวอย่างกะทันหันเช่นนี้จะต้องมิใช่เพื่อมาเที่ยวเล่นอย่างแน่นอน
“มีเรื่องบางอย่างอยู่จริง ๆ ขอรับ เพียงแต่ข้าไม่มั่นใจว่าน้องเล็กจะยินยอมหรือไม่”
หลัวหมิงเฟยยิ้มและกล่าวตามบทที่ได้หารือกับฉินอวี้โม่ไว้ก่อนหน้านี้
“หากมีเรื่องใด พี่สามก็พูดมาตรง ๆ เถอะ หากมิใช่เรื่องที่มากเกินไป แน่นอนว่าข้าย่อมตอบรับคำขอของท่าน”
หลัวอวิ๋นซียิ้มตอบและกล่าวเพื่อให้พี่ชายเปิดเผยจุดประสงค์ออกมาตามตรง
“เรื่องก็คือ…เราได้ยินมาว่ามีบ่อน้ำพุร้อนอยู่บนยอดเขาม่านหมอกซึ่งถ้าแช่อยู่ในนั้น มันจะช่วยฟื้นฟูรักษาร่างกายได้ดี เพราะเหตุนั้นข้าจึงอยากให้น้องเล็กพาเราไปที่นั่นและให้เราได้แช่บ่อน้ำพุดังกล่าวสักสองสามชั่วยาม”
แน่นอนว่าไม่มีทางที่หลัวหมิงเฟยจะเปิดเผยเรื่องของต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และเพียงกล่าวออกไปเช่นนี้
หลัวอวิ๋นซีและเหลียนหยางสบตาอีกฝ่ายด้วยความฉงนสงสัย หลัวอวิ๋นซีไตร่ตรองครู่ใหญ่ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ยอดเขาม่านหมอกถือเป็นเขตต้องห้ามของเผ่าเรา ทว่าในเมื่อพี่สามต้องการไปที่นั่น ข้าก็จะพาท่านไปเอง ทว่าท่านจะอยู่ที่นั่นนานไม่ได้ สำหรับบ่อน้ำพุร้อน เกรงว่าข้าคงตอบตกลงไม่ได้ นอกจากข้าก็ไม่มีผู้ใดที่มีสิทธิ์เข้าไปใช้บ่อน้ำพุร้อน”
หลัวอวิ๋นซีตอบตกลงอย่างง่ายดาย แม้ยอดเขาม่านหมอกเป็นเขตต้องห้ามของเผ่าเพียวเหมี่ยวก็ใช่ว่าผู้อื่นจะเข้าไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อหลัวหมิงเฟยและคนอื่น ๆ ต้องการไปเห็นด้วยตาตัวเอง แน่นอนว่านางก็จะไม่ปฏิเสธ บางทีหากหานโม่ฉือได้เห็นสถานที่ที่วิเศษเช่นนั้น เขาก็อาจประทับใจและสนใจนางมากขึ้น
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณองค์หญิงเล็กเป็นการล่วงหน้า”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณโดยตรง หลัวอวิ๋นซีรับปากว่าจะพาพวกนางไปที่นั่นแล้ว สำหรับสิ่งอื่น ๆ การที่จะคิดหาทางเมื่อไปถึงที่นั่นก็ยังไม่ถือว่าสายจนเกินไป
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ ทุกคนก็ร่ำลากันและแยกย้ายออกไปจนเหลือเพียงเหลียนหยางและหลัวอวิ๋นซี
“อวิ๋นซี เจ้าชอบพ่อหนุ่มหานโม่ฉือนั่นรึ ?”
เหลียนหยางกล่าวถามขึ้นมา ทว่ามิใช่เป็นเพราะความสงสัย หากแต่เป็นการยืนยันข้อข้อเท็จจริงมากกว่า
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าชอบเขา”
หลัวอวิ๋นซีไม่ปฏิเสธและไม่จำเป็นต้องปิดบังความรู้สึกที่มีต่อหานโม่ฉือ
“เฮ้อ…”
ผู้เป็นบิดาถอนหายใจยาวทันทีที่ได้ยินคำตอบยืนยันจากบุตรสาว จากการสังเกตการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ เขาตระหนักดีว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมิใช่จอมยุทธ์ธรรมดาอย่างแน่นอน
“อวิ๋นซี ฟังคำของพ่อนะ คนอย่างหานโม่ฉือมิใช่คนที่เจ้าควรคิดหมายปอง”
ในฐานะผู้ที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน เขาย่อมมีความเข้าใจในโลกและมุมมองต่าง ๆ มากกว่าหลัวอวิ๋นซี แววตาที่หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่นั้นพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีผู้ใดแทรกกลางระหว่างพวกเขาสองคนได้
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหานโม่ฉือหรือฉินอวี้โม่ เหลียนหยางก็ไม่สามารถมองพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาคิดว่าตนเองเคยพบผู้คนมามากมายและคิดว่าตนเองมองคนได้อย่างแม่นยำมาก แม้กระทั่งหลัวจื้อเลี่ยเอง เขาก็พอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
อย่างไรก็ตาม การได้พบจอมยุทธ์หนุ่มสาวคู่นั้นเพียงสั้น ๆ ในวันนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความไร้อำนาจไร้พลัง นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนหยางไม่สามารถอ่านความคิดของผู้ที่อ่อนเยาว์กว่าตนมากเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ตาม หัวใจของเขาก็ตระหนักดีว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรมีเรื่องบาดหมางหรือสร้างความขุ่นเคืองใจกับคนทั้งสอง มิฉะนั้น บทลงเอยของเขาคงไม่น่ามองนัก
เพราะเหตุนั้น เขาจึงต้องการเตือนให้บุตรสาวของตนล้มเลิกความคิดความปรารถนานั้นเสีย หานโม่ฉือมิใช่บุรุษที่หลัวอวิ๋นซีจะยั่วยุได้ !
“ท่านพ่อ นั่นมันเป็นไปไม่ได้ !”
หลัวอวิ๋นซีส่ายหน้าอย่างแรงและปฏิเสธโดยไม่ลังเล
“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยสนใจผู้ใดตลอดชีวิตที่ผ่านมา หานโม่ฉือเป็นบุรุษคนแรกในชีวิตที่ข้าคิดหมายปองจริง ๆ และจนกระทั่งตอนนี้ เขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่ข้าเห็นแล้วว่าสามารถยืนเคียงข้างข้าได้ การที่จะสั่งให้ข้าละทิ้งความรู้สึกและปล่อยเขาไป นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ !”
นางไม่สามารถทิ้งความรู้สึกที่มีได้เลย หานโม่ฉือผู้นี้เพียบพร้อมทุกอย่างและหลัวอวิ๋นซีรู้สึกได้ว่าในโลกนี้คงไม่มีบุรุษใดแทนที่เขาได้
“ทว่าเขามีภรรยาอยู่แล้วและนางก็เป็นคนที่รับมือได้ยากมากทีเดียว ฉินอวี้โม่ผู้นั้นทรงพลังกว่าเจ้ามากนักและเจ้ามิใช่คู่มือของนางอย่างแน่นอน”
แม้ไม่ต้องการทำร้ายจิตใจของหลัวอวิ๋นซี ทว่าเหลียนหยางก็ไม่ต้องการให้บุตรสาวถลำลึกไปเรื่อย ๆ ฉินอวี้โม่ผู้นั้นมิใช่คู่ต่อสู้ที่หลัวอวิ๋นซีจะรับมือได้ แม้ดูเหมือนมีพลังเพียงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูง ทว่าพลังของนางก็มากพอที่จะทำให้เหลียนหยางรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
“โอ้ งั้นรึเจ้าคะ ? ข้าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อลองพยายามแล้วเท่านั้น ข้าเชื่อว่าไม่มีสตรีใดที่จะดีไปกว่าข้า”
หลัวอวิ๋นซีไม่เห็นด้วยกับคำพูดของบิดา ต่อให้ฉินอวี้โม่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก นางก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว นางจะพิสูจน์ให้ได้เห็นว่าตนทรงพลังยิ่งกว่าฉินอวี้โม่และมีคุณสมบัติมากพอที่จะยืนอยู่เคียงข้างหานโม่ฉือได้
“เฮ้อ…”
เหลียนหยางได้เพียงถอนหายใจและไม่กล่าวสิ่งใดอีก ต่อให้กล่าวสิ่งใดต่อไปก็คงไร้ประโยชน์และเขาเชื่อว่าบุตรสาวจะเข้าใจได้เองในอนาคตข้างหน้า
“ท่านพ่อ…”
ขณะกำลังจะกล่าวบางอย่าง จู่ ๆ หลัวอวิ๋นซีก็สัมผัสได้ว่าพลังเอลฟ์ในร่างของตนพลุ่งพล่านอย่างรวดเร็วและมีเสียงดังมาจากยอดเขาม่านหมอกที่อยู่ไม่ไกลจนแม้แต่นางก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
ในเวลาเดียวกันนั้น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเสียงดังกล่าวเช่นเดียวกัน…
.