คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 673 งานพิธีขึ้นครองราชย์
ภายในพริบตา วันสำคัญของชนเผ่าเอลฟ์ก็มาถึง…วันที่หลัวหมิงรุ่ยจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นราชาเอลฟ์อย่างเป็นทางการ
ในวันนี้มีสมาชิกระดับสูงของชนเผ่าเอลฟ์หลายคนรวมตัวกันในเมืองราชวงศ์เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมงานสถาปนาขึ้นครองราชย์ของหลัวหมิงรุ่ย
อย่างไรก็ตาม หลัวหมิงฮ่าวและหลัวจื้อเลี่ยมิได้เข้าร่วมในงานนี้ ก่อนหน้านี้เผ่าอู๋เหวยขององค์ชายห้าถูกโจมตี แม้พวกเขาจะป้องกันได้อย่างไม่เป็นปัญหาและกลุ่มของศัตรูหลบหนีกลับไป แต่พวกเขาก็มาที่นี่ได้ไม่ทันเวลา
หลัวหมิงเฟยนำกลุ่มคนหลายสิบคนมุ่งหน้ามาที่เมืองราชวงศ์โดยกล่าวว่าจะเข้าร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของหลัวหมิงรุ่ย
แน่นอนว่าหลัวหมิงรุ่ยไม่ปฏิเสธหรือคัดค้าน ทว่าเขามีความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นในใจ หากใช้โอกาสนี้เพื่อหาทางกำจัดองค์ชายสามไปได้ มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
สองพี่น้องเสแสร้งทักทายกันเพียงเล็กน้อยก่อนที่หลัวหมิงรุ่ยจะมอบหน้าที่ต้อนรับหลัวหมิงเฟยให้กับหลัวหมิงซี เขาไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องเตรียมความพร้อมสำหรับงานสำคัญที่กำลังจะมาถึง
หลัวหมิงซีและหลัวหมิงเฟยสนทนากันเสียงเบาขณะก้าวเดิน
“พี่สาม ตอนนี้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง ? อวี้โม่และคนอื่น ๆ มีแผนการอย่างไรต่อไป ?”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หลัวหมิงซีไม่กล้าติดต่อกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบถึงแผนการของพวกนาง เมื่อเห็นหลัวหมิงรุ่ยที่ใกล้จะได้เป็นราชาเต็มที แน่นอนว่าเขาย่อมกังวลใจเป็นธรรมดา ไม่ว่าอย่างไร เขาและคนอื่น ๆ ก็ไม่มีทางยอมให้ตำแหน่งราชาเอลฟ์ตกเป็นของหลัวหมิงรุ่ยอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องห่วง อวี้โม่และคนอื่น ๆ มีแผนการของตนเองอยู่ ตอนนี้เจ้าก็ไม่ต้องทำสิ่งใด เพียงรอรับชมเรื่องสนุก ๆ เถอะ”
หลัวหมิงเฟยยิ้มอย่างมีเลศนัยและตบไหล่หลัวหมิงซีเบา ๆ ครานี้หลัวหมิงซีมีส่วนร่วมมามากพอแล้ว หลังจากนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องทำอีกและเพียงรอรับชมเรื่องสนุก ๆ เท่านั้นก็พอ
เมื่อได้ยินวาจาขององค์ชายสาม หลัวหมิงซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที อย่างไรก็ตาม หัวใจของเขายังมีความกังวลหลงเหลือและยังไม่สามารถสลัดมันออกไปจนกว่าจะได้เห็นผลลัพธ์สุดท้ายด้วยตาตนเอง
สองพี่น้องต่างบิดาพูดคุยกันต่ออีกไม่นานก่อนตามหลัวหมิงรุ่ยและคนอื่น ๆ ไปถึงแท่นพิธีของเมืองราชวงศ์เอลฟ์ สำหรับผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งราชาของชนเผ่าเอลฟ์ เอลฟ์ผู้นั้นจะต้องกล่าวสัตย์ปฏิญาณต่อบรรพบุรุษชาวเอลฟ์เสียก่อน
บนแท่นบูชาของชนเผ่าเอลฟ์คือป้ายสถิตวิญญาณบรรพชนของผู้ปกครองชนเผ่าคนก่อน ๆ และท่ามกลางรายชื่อเหล่านั้น ป้ายที่อยู่ตรงกลางระบุชื่อ ‘หลัวจื๋อยิน’ ราชินีเอลฟ์ผู้ที่เพิ่ง ‘ล่วงลับไปสู่สรวงสวรรค์’
“ราชินีเอลฟ์ล่วงลับไปอย่างน่าเศร้า องค์ชายใหญ่คือบุตรชายคนโตขององค์ราชินีและคู่ควรที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งราชา ข้าเชื่อว่าหลังจากองค์ชายใหญ่ขึ้นเป็นราชาเอลฟ์ เขาจะนำพาชนเผ่าเอลฟ์ของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างแน่นอน !”
หยางเสวียนกล่าวเริ่มพิธีด้วยน้ำเสียงสุภาพโดยเน้นย้ำว่าองค์ชายใหญ่คู่ควรแก่ตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง
คนอื่น ๆ ไม่แสดงความคิดเห็นใดและไม่มีผู้อาวุโสคนใดกล่าวคัดค้าน แม้ลึก ๆ ในใจพวกเขาจะทราบดีว่าองค์ชายใหญ่คือตัวการริเริ่มแผนการสังหารราชินีเอลฟ์ พวกเขาก็ไม่คัดค้านการขึ้นครองราชย์แต่อย่างใด สำหรับผู้อาวุโสเหล่านี้ ราชินีเอลฟ์ที่แน่นิ่งไม่ได้สติมีประโยชน์ต่อชนเผ่าเอลฟ์น้อยกว่าหลัวหมิงรุ่ยที่ยังแข็งแรงสบายดี
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็รับมือกับหลัวหมิงรุ่ยได้ง่ายกว่าราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินมาก
“ถัดไป เราเพียงต้องทำพิธีกล่าวปฏิญาณตนต่อบรรพบุรุษของชนเผ่าเอลฟ์และองค์ชายใหญ่ก็จะได้กลายเป็นราชาเอลฟ์คนต่อไปอย่างเป็นทางการ เชิญไปที่แท่นพิธีเพื่อเตรียมความพร้อมได้เลยขอรับ”
หยางเสวียนหันไปกล่าวกับหลัวหมิงรุ่ย
ใบหน้าของหลัวหมิงรุ่ยประดับด้วยรอยยิ้มสุขใจ เพียงคิดว่ากำลังจะได้ในสิ่งที่เขาปรารถนาและใฝ่ฝันมาโดยตลอดและกลายเป็นราชาผู้ปกครองของชนเผ่าเอลฟ์ เขาก็ตื่นเต้นจนแทบเก็บอาการไม่ไหว
ถึงอย่างไรคู่แข่งคนสำคัญทั้งหมดก็ล้วนพ่ายแพ้ต่อเขาแล้วและนั่นทำให้เขาพึงพอใจอย่างที่สุด
“จิ๊จิ๊จิ๊ พี่ใหญ่ ไม่คิดจะเชิญข้ามาเข้าร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของท่านหน่อยเลยรึ ?”
ทว่าก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นไปถึงแท่นบูชา เสียงของหลัวอวิ๋นซีก็ดังขึ้นในหูทุกคน จากนั้นพวกเขาก็มองเห็นองค์หญิงเล็กของชนเผ่าเอลฟ์และเหลียนหยางผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาจากจุดที่ไกลออกไป ใบหน้าของทั้งสองประดับด้วยรอยยิ้มบางซึ่งยากที่จะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
เมื่อเห็นหลัวอวิ๋นซีเดินเข้ามา สีหน้าของหลัวหมิงรุ่ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทว่ากลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว ต่อให้องค์หญิงเล็กอยู่ที่นี่ สิ่งต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะกลายเป็นราชาเอลฟ์คนต่อไปและไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางมันได้
“ฮ่า ๆ ๆ เผ่าของน้องเล็กอยู่ไกลจากเมืองราชวงศ์ เกรงว่าคนที่ข้าส่งไปคงยังเดินทางไม่ถึงที่นั่น”
เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะส่งคนไปที่นั่นจริงหรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดทราบได้อย่างชัดเจน
“โอ้งั้นรึ ? เป็นเช่นนี้เอง ข้าคงจะเข้าใจพี่ใหญ่ผิดไป”
หลัวอวิ๋นซียิ้มหวานและดูราวกับไม่สงสัยในวาจาของหลัวหมิงรุ่ยแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่ ท่านกำลังจะปฏิญาณตนต่อบรรพบุรุษงั้นรึ ?”
หลังจากชำเลืองมองไปยังแท่นพิธี องค์หญิงเล็กก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ฮ่า ๆ ๆ นี่เป็นพิธีปกติสำหรับการขึ้นครองราชย์ ในเมื่อน้องเล็กมาถึงที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับข้า ก็เชิญหาที่นั่งสบาย ๆ และรอชมต่อไปเถอะ”
หลัวหมิงรุ่ยขยิบตาให้กับหลัวหมิงซีเพื่อส่งสัญญาณให้เขาพาหลัวอวิ๋นซีและบิดาไปหาที่นั่งลง
“แน่นอนว่าข้าก็ต้องการหาที่นั่งและรอรับชมเช่นกัน ทว่าก่อนที่ข้าจะไปนั่ง ข้าอยากจะบอกบางอย่างกับพี่ใหญ่เสียก่อน…”
หลัวอวิ๋นซีหยุดชั่วคราวและแสร้งแสดงสีหน้าลึกลับซับซ้อนซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน
หลัวหมิงรุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยและจู่ ๆ ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ เขามิอาจคาดเดาได้เลยว่าน้องเล็กของตนคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ !
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นธรรมดาที่ท่านจะต้องปฏิญาณตนต่อบรรพบุรุษ ทว่าท่านเอาป้ายของท่านแม่ออกเสียจะดีกว่า ท่านแม่ของเรายังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปฏิญาณตนต่อนาง”
หลัวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าเหล่าผู้ชมโดยรอบต่างก็ตกตะลึงทันที
หลัวหมิงรุ่ยชะงักไปครู่หนึ่งทว่าเรียกสติและปรับสีหน้ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “น้องเล็กคงจะเสียใจมากจึงกล่าววาจาเหลวไหลไร้สติเช่นนี้ ท่านแม่สิ้นใจไปแล้ว ตอนนั้นน้องสี่และข้าก็อยู่ข้างกายนาง ยิ่งไปกว่านั้น น้องสี่ก็พาร่างของท่านแม่ไปฝังไว้ที่ภูเขาเอลฟ์แล้ว มันจะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไรกัน ? ข้ารู้ว่าน้องเล็กและท่านแม่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก หากเจ้ายังปรับอารมณ์ไม่ทันและยอมรับความจริงไม่ได้ ข้าก็เข้าใจ ทว่าบางสิ่งบางอย่างก็ไม่ควรนำมากล่าวในงานสำคัญเช่นนี้”
ในวันนั้น เขาและหยางเสวียนยืนยันด้วยตัวเองว่าราชินีเอลฟ์ไม่มีลมหายใจอีกแล้วและพลังเอลฟ์ในร่างของนางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางสิ้นชีวิตแล้วอย่างแน่นอน การที่หลัวอวิ๋นซีกล่าวสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะนางไม่ต้องการให้พิธีขึ้นครองราชย์ของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้การกระทำของหลัวอวิ๋นซีส่งผลต่อการขึ้นครองตำแหน่งราชาเอลฟ์ของเขาอย่างแน่นอน
“น้องสี่ พาน้องเล็กไปพักก่อนเถอะ นางคงจะเหนื่อยและเครียดมากจึงได้กล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ออกมา”
หลัวหมิงรุ่ยกล่าวพลางขยิบตาให้กับหลัวหมิงซีอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม หลังจากขยิบตาและรอครู่ใหญ่ หลัวหมิงซีก็ยังไม่เคลื่อนไหวจนดูราวกับว่าไม่เห็นการส่งสัญญาณจากเขาและไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อ
“น้องสี่ ?”
หลัวหมิงรุ่ยเอ่ยเรียกด้วยความฉงนสงสัยและลางสังหรณ์ร้ายผุดขึ้นในหัวใจ การที่หลัวหมิงซีหยุดนิ่งเช่นนี้ หรือว่า…
“พี่ใหญ่ของข้า ในเมื่อท่านไม่เชื่อ ข้าก็คงต้องให้ท่านได้พบกับใครบางคนก่อน”
หลัวอวิ๋นซีคลี่ยิ้มก่อนที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะปรากฏตัวข้างกาย ก่อนหน้านี้พวกนางอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว หลัวหมิงรุ่ยและคนอื่น ๆ จึงไม่สังเกตเห็นพวกนาง
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และอีกหลายคนปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทุกคนในบริเวณพิธีก็ตกตะลึงทันที ทว่าสายตาของพวกเขาก็บรรจบลงที่ราชินีเอลฟ์ผู้ซึ่งยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยและใครบางคนก็อุทานออกไป
“ดูเร็ว นั่นมันองค์ราชินี !”
เสียงอุทานของคนผู้นั้นทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินเป็นตาเดียว คนอื่น ๆ ก็อุทานออกมาเบา ๆ ด้วยความตกตะลึง ความประหลาดใจและความดีใจเช่นกัน “ใช่องค์ราชินีจริง ๆ ด้วย ราชินีเอลฟ์ยังมีชีวิตอยู่…”
ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินเป็นสตรีที่มีเกียรติยศบารมีสูงส่งในชนเผ่าและเมื่อได้เห็นนางปลอดภัยสบายดีเช่นนี้ หลายคนจึงตื่นเต้นดีใจอย่างมาก
“เหตุใดท่านถึงยังไม่ตาย…?”
หลัวหมิงรุ่ยเอ่ยถามโดยสัญชาตญาณทันทีที่เห็นมารดา ทว่าทันทีที่ประโยคนั้นออกจากปาก เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองปากพล่อยไปและเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
“ชายใหญ่ เจ้าอยากให้ข้าตายจริง ๆ สินะ !”
แรงกดดันอันทรงพลังของราชินีเอลฟ์แผ่ออกไปและแววตาที่มองหลัวหมิงรุ่ยฉายชัดไปด้วยความเยือกเย็น
นี่คือบุตรชายคนโตที่นางชุบเลี้ยงมาเองกับมือ ทว่าตอนนี้เขากลับต้องการปลิดชีวิตของนางอย่างโหดเหี้ยม หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ นางไม่เพียงแต่จะตายไปแล้วเท่านั้น ทว่าชนเผ่าเอลฟ์ก็จะต้องถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของบุตรชั่วช้าผู้นี้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวจื๋อยินก็มิอาจควบคุมโทสะที่พลุ่งพล่านในใจได้อีก นางตามใจบุตรทุกคนและเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนมิอาจจินตนาการได้เลยว่าเหตุใดเขาจึงมีจิตใจที่โหดเหี้ยมชั่วร้ายเช่นนี้ได้
“ท่านแม่ ?”
เมื่อเห็นหลัวจื๋อยิน สีหน้าของหลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงซีแสดงถึงความตื่นเต้นดีใจอย่างชัดเจน ทั้งสองเดินตรงเข้าไปหามารดาขณะดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย
“ชายสาม เจ้าเพียรทุ่มเทอย่างหนักจริง ๆ”
ราชินีเอลฟ์พยักหน้าให้กับหลัวหมิงเฟยพร้อมรอยยิ้มก่อนหันไปมองหลัวหมิงซีและกล่าว “ชายสี่ ข้าไม่ผิดหวังจริง ๆ ครานี้เจ้าทำให้แม่รู้สึกชื่นชมและเห็นแล้วว่าเจ้าตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง”
เมื่อได้ยินคำชมจากมารดา องค์ชายสี่ก็ยิ้มอย่างเก้อเขินเล็กน้อย หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ เขาคงจะหลงกระทำผิดกับหลัวหมิงรุ่ยต่อไป
“หลัวหมิงซี เจ้า !”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของน้องชายที่ไว้ใจ หลัวหมิงรุ่ยก็สับสนอย่างที่สุด เขาจ้องหลัวหมิงซีด้วยตาเขม็งและจิตสังหารแรงกล้าแผ่ออกไป เขานึกเสียใจขึ้นมาที่ไม่จัดการกับหลัวหมิงซีตั้งแต่ต้นจนนำมาสู่เหตุการณ์ในวันนี้
“พี่ใหญ่ แม้เราจะเป็นพี่น้องกันและก่อนหน้านี้ข้าเคารพท่านมาเสมอ อย่างไรก็ตาม ท่านกลับร่วมมือกับฝ่ายมาร ต้องการที่จะฆ่าท่านแม่และโค่นอำนาจชนเผ่าเอลฟ์ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเห็นด้วย ทุกวันนี้ข้าจงใจแสดงละครให้ท่านเชื่อว่าข้าจงรักภักดีเพียงเพราะต้องการสืบข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากท่านเท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้าใช้โอสถแกล้งตายเพื่อพาท่านแม่หลบหนี ข้าทำให้ท่านไว้ใจเพื่อหาทางพาท่านแม่ออกจากเมืองราชวงศ์มาโดยตลอด แม้ข้าจะรู้สึกไม่ดีที่ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของท่าน ทว่าข้าก็ไม่นึกเสียใจ ต่อให้ต้องทำอีกครั้ง ข้าก็จะทำอย่างไม่ลังเล !”
ความรู้สึกของหลัวหมิงซีในตอนนี้ซับซ้อนไม่น้อย ในความเป็นจริง การหักหลังพี่ชายแท้ ๆ ของตนมิใช่สิ่งที่เขาสบายใจ การทำลายความไว้วางใจที่ได้รับมิใช่สิ่งที่จะทำให้สุขใจได้เลย อย่างไรก็ตาม ครานี้เขาไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกทำ เขาช่วยชีวิตมารดาและมีส่วนร่วมในการช่วยชนเผ่าเอลฟ์ แม้จะรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ทำต่อพี่ชาย เขาก็ยังภูมิใจในทางเลือกของตนเอง
“เจ้า…”
หลัวหมิงรุ่ยพูดไม่ออกทันที หลัวหมิงซีเป็นน้องชายที่เขามักจะดูถูกดูแคลนมาตลอด ทว่าครานี้กลับเป็นคนที่แทงข้างหลังตนอย่างแสนเจ็บปวด เกรงว่าครานี้เขาจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน…
.