คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 684 เรื่องน่าประหลาดใจ
ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือในตอนนี้อยู่ในระดับสูงจนน่าหวาดหวั่น ต่อให้เป็นจอมยุทธ์นภาเซียนขั้นสูงสุดปรากฏตัว ทั้งสองก็สัมผัสได้จากระยะไกลนับสิบลี้
ทว่าเมื่อครู่ทั้งสองไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีผู้ใดอยู่ในบริเวณนี้หรือเข้ามาในหลุมนี้เมื่อใด เมื่อได้ยินเสียงขัดจังหวะนั้น แน่นอนว่าทั้งสองย่อมต้องตกตะลึงไม่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ความรู้สึกของมนุษย์นี่น่าสนใจจริง ๆ”
ทันใดนั้น ร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เจ้าเป็นใคร ?”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มอายุเพียงประมาณสิบปี ฉินอวี้โม่ก็ต้องชะงักไปอีกครั้ง นางและหานโม่ฉือไม่สามารถสัมผัสถึงความแข็งแกร่งหรือสภาวะพลังของเด็กชายคนนี้ได้ด้วยซ้ำ แล้วเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้มาจากที่ใดกัน?
“หืม ? ท่านจำข้าไม่ได้แล้วรึ ? ข้าออกมาจากคฤหาสน์หลังงามของท่านยังไงล่ะ !”
เมื่อได้ยินคำถามประหลาดใจของฉินอวี้โม่ เด็กหนุ่มก็กล่าวตอบด้วยความสับสนเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่หันมองหานโม่ฉือทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้นก่อนเกิดข้อสันนิษฐานขึ้นในใจ
“เจ้าคือต้นโพธิ์อย่างนั้นหรือ ?”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่จดจำทุกอย่างที่เคยพบเห็นได้อย่างแม่นยำ สำหรับสิ่งที่สามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้เช่นนี้ สิ่งเดียวที่นางนึกออกก็คือต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับ
“ฮ่า ๆ ๆ พี่สาวฉลาดจริง ๆ เลย”
เด็กหนุ่มร่างจำแลงของต้นโพธิ์ยิ้มกว้างและกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพี่สาวเผชิญกับดวงจิตสายฟ้า ข้าจึงได้ผลประโยชน์มามากเช่นกัน เดิมทีข้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีจึงจะสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ ทว่าเป็นเพราะดวงจิตสายฟ้า ข้าจึงจำแลงร่างมนุษย์ได้ล่วงหน้าและเข้าสู่ช่วงเริ่มเจริญเติบโต อีกหนึ่งปี ข้าจะสามารถพัฒนาจนโตเต็มวัยได้”
เมื่อได้ยินวาจาของเด็กหนุ่มตรงหน้า สีหน้าของทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็แสดงออกถึงความประหลาดใจอย่างชัดเจน นี่คือผลกำไรที่ไม่คาดฝันจริง ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนางก็สามารถช่วยต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว
“จะว่าไปแล้ว..ตอนนี้เวลาผ่านมากี่วัน ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามหานโม่ฉือทันที นางมิอาจรู้ได้เลยว่าเวลาของโลกภายนอกล่วงเลยมานานเพียงใดแล้ว ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ยังคงแปดเปื้อนไปด้วยพลังความมืดและนางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตอนนี้สถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์จะมั่นคงดีแล้ว
“การที่เจ้าตกอยู่ในอำนาจของดวงจิตสายฟ้านานสิบห้าวัน เท่ากับว่าพลังที่ช่วยยับยั้งการกัดกร่อนของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์จะสลายหายไปในวันพรุ่งนี้”
มุมปากของหานโม่ฉือยกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยขณะกล่าวโดยไม่กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์
“ยังพอมีเวลา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ทันทีก่อนหันมองไปที่เด็กหนุ่มร่างจำแลง “ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เจ้าช่วยพวกเราสักอย่างจะได้รึไม่ ?”
ถึงแม้ว่าร่างจำแลงของต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จะมีรูปลักษณ์เป็นเด็กน้อย ทว่ามันกลับมีสติปัญญาที่ไม่ต่างไปจากผู้ใหญ่ มันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และกล่าวตอบ “พี่สาว ข้าช่วยท่านได้ เพียงแต่ข้ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง…”
“ว่ามาสิ”
ฉินอวี้โม่มองเด็กหนุ่มน้อยและรอฟังคำตอบ
“ข้าอยากจะอยู่ในคฤหาสน์หลังงามของท่านจนกว่าข้าจะโตเต็มวัย”
เมื่อได้ยินเงื่อนไขคำขอนี้ของเด็กหนุ่มร่างจำแลงของต้นโพธิ์ ฉินอวี้โม่ก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเล
ต่อให้อีกฝ่ายไม่กล่าวขึ้นมาก่อน นางก็จะหาทางพยายามเก็บต้นโพธิ์ไว้ในนั้น เวลานี้ทั้งดินแดนเต็มไปด้วยวิกฤตภยันตรายมากมาย ซึ่งฉินอวี้โม่อดกังวลไม่ได้หากต้องปล่อยให้ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่เพียงลำพัง
ยิ่งไปกว่านั้น ต้นโพธิ์ก็เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุยืนยาวนับพันปี การอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวต่อไปจะเป็นผลดีสำหรับเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่อย่างมหาศาล คุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณต่าง ๆ ที่ถูกปลูกอยู่ในนั้นก็จะพัฒนาขึ้นมากเช่นกันและฉินอวี้โม่ย่อมต้องการให้มันอยู่ที่นี่ต่อไป
“ไม่เพียงแต่เจ้าจะสามารถอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวของข้าเท่านั้น แต่ข้าจะแนะนำสหายมากมายให้เจ้าได้รู้จัก พวกมันจะเล่าเรื่องสนุก ๆ น่าสนใจให้เจ้าได้ฟัง”
ฉินอวี้โม่ตอบตกลงกับเงื่อนไขของมันพร้อมรอยยิ้มกว้าง นางมีความคิดที่จะสั่งให้เหล่าอสูรผูกมิตรและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กหนุ่มร่างจำแลงตนนี้เช่นกัน เพราะมันจะเป็นเรื่องดีที่สุดหากต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังน้อยของนางไปตลอดกาล
“เข้าใจแล้ว ตกลงตามนั้น !”
ต้นโพธิ์ยื่นมือออกมาเพื่อพยายามประสานมือเป็นข้อตกลงกับฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่เพียงหัวเราะเบา ๆ และยื่นมือออกไปประสานกับมันอย่างมีความสุข
จากนั้นทั้งสองก็ไม่รอช้าและออกจากหลุมใหญ่ยักษ์พร้อมกับต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
นอกหลุมขนาดใหญ่ หลังจากการรอคอยนานหลายวันของมารยาและเหล่าอสูร ในที่สุดพวกมันก็เห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปรากฏตัว
“นายหญิง !”
มารยาและอสูรอื่น ๆ ตื่นเต้นอย่างที่สุดเมื่อเห็นฉินอวี้โม่กลับออกมา พวกมันตรงเข้าไปล้อมรอบผู้เป็นนายทันทีและกล่าวขึ้นตาม ๆ กัน
“เอาล่ะ เงียบลงก่อน ข้าจะแนะนำสหายใหม่ให้พวกเจ้ารู้จัก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างก่อนดึงมือเด็กน้อยต้นโพธิ์ออกไปข้างหน้าและกล่าวแนะนำ “นี่คือต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าเรียกมันว่า ‘เสี่ยวโพธิ์’ ก็ได้ หลังจากนี้มันจะอยู่ร่วมกับพวกเจ้าทั้งหมด จงดูแลมันด้วย เข้าใจรึไม่ ?”
เมื่อมารยาและอสูรอื่น ๆ สังเกตเห็นเด็กหนุ่มน่ารักน่าชังซึ่งเป็นร่างจำแลงของต้นโพธิ์ พวกมันก็อดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
“เฮ้ เสี่ยวโพธิ์ ข้ามีชื่อว่าหานอวี้ เจ้าเรียกข้าว่าพี่เสี่ยวอวี้ก็ได้ นี่คืออสูรมายาของท่านแม่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน มารยา…”
หานอวี้กล่าวแนะนำตัวเองพร้อมกับอสูรตัวอื่น ๆ
“สวัสดี ข้าคือเสี่ยวโพธิ์”
เด็กหนุ่มตัวน้อยดูรักษาท่าทีเป็นอย่างดี หลังจากกวาดสายตามองหานอวี้และอสูรอื่น ๆ มันก็นึกถูกชะตาและชื่นชอบสหายใหม่ทั้งหมด
“เสี่ยวโพธิ์ ข้าคืออสูรพลับพลึงแดง เจ้าเรียกข้าว่าพี่ม่านได้เลย”
เสี่ยวม่านกล่าวแนะนำตัวเช่นกัน มันและต้นโพธิ์ถือเป็นอสูรจำพวกเดียวกัน เพราะเหตุนั้นมันจึงรู้สึกสนิทสนมได้มากกว่าเป็นธรรมดา
“พลับพลึงแดง…จิ๊จิ๊ ไม่คิดเลยว่าจะมีพฤกษาที่ฝึกวิชาและจำแลงร่างมนุษย์ได้เหมือนกับข้า”
เสี่ยวโพธิ์ยิ้มและเดินตรงเข้าไปใกล้พลับพลึงแดง เมื่อเห็นรูปลักษณ์งดงามของเสี่ยวม่าน เด็กหนุ่มร่างจำแลงยิ้มกว้างและกล่าวออกไป “พี่ม่าน ในอนาคตท่านจะมาเป็นภรรยาของข้าและให้ข้าจุมพิตท่านได้รึไม่ ?”
เมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของเสี่ยวโพธิ์ เสี่ยวม่านก็ชะงักไปทันทีก่อนใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา
อสูรอื่น ๆ ก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน พวกมันหัวเราะชอบใจจนทำให้เกิดบรรยากาศที่มีชีวิตชีวายิ่งนัก
“เสี่ยวโพธิ์ ข้าจะช่วยอบรมสั่งสอนเจ้าเอง ต่อไปนี้เจ้าติดตามข้าได้เลย !”
หานอวี้ในตอนนี้ดูเหมือนพี่ใหญ่ขณะตบไหล่น้องเล็กอย่างเสี่ยวโพธิ์เบา ๆ
เมื่อเห็นความปรองดองและเข้ากันได้ดีของเหล่าอสูร ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจทันที จากนั้นนางก็ไม่ลังเลก่อนนำทางทุกคนตรงไปยังพระราชวังเอลฟ์
ภายในพระราชวัง เวลานี้หลัวจื๋อยินและคนอื่น ๆ ล้วนแสดงสีหน้ามีความสุขและยินดีทันทีที่เห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาถึง
“ฉินอวี้โม่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องไม่เป็นอะไรไปง่าย ๆ เพราะหากท่านเป็นอะไรขึ้นมา…หานโม่ฉือก็คงต้องตกเป็นของข้าแน่ ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่ปล่อยให้ข้ามีโอกาสนั้นหรอก”
องค์หญิงเล็กหลัวอวิ๋นซีเดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่และกล่าวพลางตบไหล่นางเบา ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้โอกาสนั้นกับท่านหรอก !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและหัวเราะกับหลัวอวิ๋นซีอย่างร่าเริง ความบาดหมางหรือความไม่พอใจที่เคยมีก่อนหน้านี้ล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เวลานี้สตรีทั้งสองถือว่าเป็นสหายที่ดีต่อกันอย่างแท้จริง
“อวี้โม่ ข้าก็รู้ว่าท่านจะต้องเอาตัวรอดจากทัณฑ์สายฟ้าสิบขั้นนั่นได้แน่”
หลัวหมิงฮ่าวเดินตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างเช่นกัน ในหมู่คนทั้งหมดที่นี่ เขาและฉินอวี้โม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากที่สุด แน่นอนว่าเขาสามารถกล่าววาจาได้อย่างสบาย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนอยู่แล้ว !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างอย่างสบายใจซึ่งทำให้หลัวหมิงฮ่าวและคนอื่น ๆ อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ชายห้า เจ้าพาทุกคนและสั่วซีหย่าออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องคุยกับอวี้โม่”
ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักเอ่ยขึ้นขณะมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยแววตาฉงนสงสัยเล็กน้อย
แม้ว่าหลัวหมิงฮ่าวและคนอื่น ๆ จะสงสัยใคร่รู้ไม่น้อย พวกเขาก็ไม่กล่าวสิ่งใดและเดินออกไปด้วยกันทันที
“อายิน…”
หลังจากคนอื่น ๆ เดินออกไป ฉินอวี้โม่ก็เดินตรงเข้าไปหาราชินีเอลฟ์และเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบา ๆ
เมื่อได้ยินชื่อเรียกเช่นนี้จากฉินอวี้โม่ ร่างของหลัวจื๋อยินก็นิ่งชะงักไปเล็กน้อยและดวงตาแดงก่ำราวกับใกล้ร่ำไห้เต็มที
“เจ้าคือชิงเหอ ชิงเหอของพวกเรา !”
หลัวจื๋อยินตรงเข้าไปโผกอดฉินอวี้โม่ทันทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ นางมีลางสังหรณ์อยู่แล้วว่าความรู้สึกของตนจะต้องไม่ผิดแน่ ฉินอวี้โม่ผู้นี้คือชิงเหอสหายของนางอย่างแท้จริง
“ขอโทษด้วย ข้าเพิ่งจดจำเรื่องราวในอดีตภพได้หลังจากติดอยู่ในดวงจิตสายฟ้า”
ฉินอวี้โม่กอดตอบหลัวจื๋อยินและกล่าวด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไม่ต่างกัน
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ข้าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีกครั้งจริง ๆ”
เวลานี้ ความสง่าผ่าเผยและความเป็นผู้ใหญ่ของหลัวจื๋อยินค่อย ๆ จางหายไปและกลับคืนสู่ลักษณะท่าทางเช่นเดียวกับเมื่อพันปีก่อน
“ท่านพี่ ข้ากล่าวไว้แล้วใช่รึไม่ นางคือชิงเหอ นางจะต้องเป็นชิงเหอของเราแน่ ๆ”
ทั้งสองกอดกันครู่ใหญ่ก่อนที่หลัวจื๋อยินจะจับมือฉินอวี้โม่เดินตรงไปหาหลัวจื้อเลี่ยและกล่าว
“เจ้าพูดถูก นางคือชิงเหอจริง ๆ”
หลัวจื้อเลี่ยพยักศีรษะเบา ๆ เมื่อพันปีก่อน เขาเองก็เคยพบกับชิงเหอหลายครั้งหลายครา เมื่อครั้งได้พบกับฉินอวี้โม่เป็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ทว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดไปในทิศทางนั้น
“การที่เจ้าคือชิงเหอ ถ้าเช่นนั้นเขาก็คือ…”
จู่ ๆ หลัวจื๋อยินก็นึกถึงบางอย่างและสายตามองไปที่หานโม่ฉือพร้อมยกยิ้มมุมปาก
“เจ้าคืออวี้เฟิง !”
แม้รูปลักษณ์ของหานโม่ฉือในตอนนี้จะแตกต่างไปจากอวี้เฟิงเมื่อพันปีก่อนอยู่เล็กน้อย ทว่าสำหรับคนที่คุ้นเคยกัน มันก็ไม่ยากที่จะจดจำได้
เมื่อพันปีก่อน กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากอวี้เฟิงก็มักที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความลึกลับและความเยือกเย็นอยู่เสมอ แม้หลังจากผ่านเวลาไปนานพันปี หานโม่ฉือผู้นี้จะเย็นชาและนิ่งเฉยกว่ามาก ทว่าเขาก็ยังมีกลิ่นอายบางอย่างที่เหมือนกับอวี้เฟิง
“อายิน”
หานโม่ฉือกล่าวเพียงสองพยางค์สั้น ๆ ทว่าทำให้หลัวจื๋อยินยืนยันตัวตนของบุรุษผู้นี้ได้อย่างชัดเจน
“ชิงเอ๋อร์ บอกข้าทีเถอะว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าทราบเรื่องจากพี่ชายและคนอื่น ๆ ว่าเจ้าและเหยียนเอ๋อร์สิ้นชีวิตไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณของเจ้าก็ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์และไม่มีทางที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก แล้วเหตุใดเจ้าจึงเกิดใหม่ได้เช่นนี้และต้องใช้เวลาถึงพันปีกว่าจะกลับมาเกิดใหม่ได้ ?”
หลัวจื๋อยินมีแต่ความสงสัยเต็มหัวใจ เมื่อนางทราบข่าวร้ายของสหายทั้งสองในตอนนั้น นางก็ทั้งเศร้าใจและเป็นกังวล นางพยายามส่งคนออกไปสืบข่าวและไม่เชื่อว่าทุกอย่างที่ทราบจะเป็นความจริง ทว่าหลังจากนั้นเมื่อทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าชิงเหอและฉินเฟยเหยียนหายสาบสูญไปอย่างแท้จริง หลัวจื๋อยินจึงค่อย ๆ ยอมรับความจริงในที่สุด ทว่าบัดนี้เมื่อได้พบกับชิงเหออีกครั้ง เป็นธรรมดาที่นางจะสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
“อายิน มิใช่เพียงข้าเท่านั้น เหยียนเอ๋อร์ก็ยังไม่ตาย ในตอนนั้นจิตและวิญญาณของข้าถูกทำลายสิ้น ทว่าโม่ฉือใช้วิชาอัญเชิญจิตและพบเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของข้า จากนั้นเหยียนเอ๋อร์ก็ถ่ายทอดกายเทพมายาของนางมาให้ข้าและดูเหมือนว่านางจะไปที่ดินแดนระดับสูง หลังจากเฝ้ารอมานานนับพันปี ในที่สุดข้าก็มีโอกาสได้เกิดใหม่”
ฉินอวี้โม่เล่าสถานการณ์ครานั้นอย่างคร่าว ๆ ทว่านั่นทำให้หลัวจื๋อยินตกตะลึงอย่างมาก
วิชาอัญเชิญจิต…นี่คือสิ่งที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อนและย่อมตกอกตกใจเป็นธรรมดา
และสิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงยิ่งกว่าคือความรู้สึกที่ลึกซึ้งระหว่างหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่…
.