คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 692 ความผิดปกติของพวกอสูร
เมื่อเห็นสีหน้าจนปัญญาของอู๋หมิง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มองหน้ากันขณะข้อสันนิษฐานหนึ่งผุดขึ้นในใจ อย่างไรก็ตาม นางยังเอ่ยถามเพื่อความแน่ชัด “ยังขาดสิ่งใดรึ ?”
สีหน้าของอู๋หมิงปรับกลับเป็นปกติและกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าก็น่าจะคาดเดาได้แล้ว สิ่งที่ยังขาดไปก็คือพิกัดของมิติอื่น”
การใช้งานกระสวยข้ามมิติจำเป็นต้องมีแผนที่หรือพิกัดของมิติอื่น หากออกบินไปอย่างไร้จุดหมาย ก็ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าจะถูกส่งไปที่ดินแดนใด สำหรับดินแดนที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องการไปนั้น พวกนางยังไม่มีรายละเอียดใด ๆ แน่ชัด แม้แต่ดินแดนที่หานโม่ฉือจากมาเมื่อครั้งยังเป็นอวี้เฟิง นั่นก็ผ่านมานานกว่าพันปีแล้วและหลายสิ่งหลายอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไป หากต้องการใช้งานกระสวยดังกล่าว พวกเขาก็ต้องรอบคอบเป็นอย่างมาก
“นี่มิใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อน ไม่ว่าจะต้องการไปที่ดินแดนหรือมิติใด เราก็ยังต้องสะสางปัญหากับฝ่ายมารให้เสร็จสิ้นเสียก่อน บางทีเมื่อถึงตอนนั้น พวกเราบางคนอาจจะทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตราชาเซียนและแยกเปิดห้วงมิติเพื่อไปในดินแดนระดับสูงได้โดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวเกี่ยวกับดินแดนระดับสูงก็คงจะสืบหาได้ไม่ยาก ข้าเชื่อว่าภายในระยะเวลาหนึ่งปีนี้ ท่านผู้นำเกาะคงจะสืบหาข่าวได้มากพอสมควร !”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าไม่กังวลเกี่ยวกับปัญหานี้มากนัก ด้วยความสามารถของอู๋หมิง นางเชื่อว่าเขาจะสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับดินแดนระดับสูงได้ไม่ยาก ด้วยเวลาที่ยังเหลืออีกกว่าหนึ่งปีก่อนถึงสงคราม เขาก็น่าจะสืบข้อมูลได้ไม่มากก็น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่ามันมิใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถ ทว่าข้ายังต้องขอความช่วยเหลือจากหานโม่ฉือสักหน่อย”
อู๋หมิงพยักศีรษะตอบรับ การสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มิใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับเขา เพียงแต่เขาต้องการความช่วยเหลือจากหานโม่ฉือเล็กน้อยเช่นกัน
“หลังจากนี้ข้าจะร่างแผนที่คร่าว ๆ ของดินแดนเดิมของข้า ทว่าด้วยเวลาพันปีที่ผ่านไป ข้าเชื่อว่าจะมีต้องมีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากมาย ข้าวาดได้เพียงเท่าที่ทราบเท่านั้นและยืนยันไม่ได้ว่ามันยังเป็นเหมือนเดิมหรือไม่”
หานโม่ฉือคาดเดาความหมายของอู๋หมิงได้และพยักหน้าตกลง ทว่าเขาก็กล่าวเสริมอย่างไม่แน่ใจเช่นกัน
“เท่านั้นก็เพียงพอ เพียงมีเบาะแสรายละเอียดเล็กน้อย ข้าก็สามารถสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมันได้”
อู๋หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจ จริงอยู่ว่าความแข็งแกร่งของเขามิใช่ระดับสูงสุดในดินแดนเทพมายา ทว่าหากเป็นความสามารถในการสืบข่าวหาข้อมูล เขาก็ทรงพลังที่สุดในดินแดนเทพมายาอย่างแน่นอน ตราบใดที่มีรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถวาดโครงร่างคร่าว ๆ ของแผนที่นั้นได้
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเราออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะ ไม่อาจรู้เลยว่าในช่วงที่เราเก็บตัวจะเกิดอะไรขึ้นในดินแดนบ้าง”
เนื่องจากการที่เกาะวายุนิ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งที่พิเศษ เมื่อมาถึงที่นี่ อุปกรณ์สื่อสารของฉินอวี้โม่จึงสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานของมันไป หากต้องการทราบสถานการณ์ของดินแดนในเวลานี้ นางสามารถสอบถามได้จากคนของเกาะเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้เกาะวายุนิ่งจะตั้งอยู่ไกลจากแผ่นดินใหญ่พอสมควร ทว่าทักษะการสืบข่าวของพวกเขาก็เรียกได้ว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ของดินแดน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนเทพมายาไม่อาจรอดพ้นไปจากหูตาของเกาะวายุนิ่งได้เลย
หลังจากเก็บกระสวยข้ามมิตินั้นไว้ คนทั้งสามก็ออกจากพื้นที่เขตต้องห้ามด้วยกัน
ภายในเกาะวายุนิ่ง ในเวลานี้ทุกคนก็มารวมตัวกันในลานจัตุรัสและสายตาจับจ้องไปยังทิศทางของเขตต้องห้ามด้วยแววตาคาดหวัง
เมื่อครู่พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณที่รวมตัวกันในบริเวณนั้นและทราบว่ามันน่าจะหมายถึงการหลอมกระสวยข้ามมิติที่เสร็จสมบูรณ์ หลายคนที่ไม่เชื่อในความสามารถของฉินอวี้โม่ในตอนแรกล้วนเชื่อแล้วว่านางเป็นช่างหลอมที่ฝีมือดีไม่ด้อยไปกว่าผู้นำเกาะวายุนิ่งของพวกตนและรู้สึกเคารพชื่นชมนางมากยิ่งขึ้น
รองผู้นำของเกาะวายุนิ่งเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก เมื่อทราบว่ากระสวยข้ามมิติที่ผู้นำเกาะพยายามศึกษามานานนับพันปีเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด เขาและคนอื่น ๆ จึงอดตื่นเต้นกันไม่ได้
แน่นอนว่าในขณะเดียวกันนั้น นอกเหนือจากความตื่นเต้น รองผู้นำชิงตานก็แอบกังวลใจอยู่เล็กน้อย ราวกับมีบางอย่างที่ต้องการบอกให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ทราบ
เมื่อฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและอู๋หมิงเดินออกมา พวกเขาก็พบกับทุกคนที่รวมตัวกันด้วยแววตาคาดหวังเต็มเปี่ยม
“ท่านผู้นำเกาะ จอมยุทธ์อวี้โม่ การหลอมสำเร็จไปด้วยดีรึไม่ ?”
รองผู้นำของเกาะวายุนิ่งก้าวออกไปและเอ่ยถามเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนคาดหวัง
ฉินอวี้โม่และอู๋หมิงหันมองหน้ากันก่อนพยักศีรษะเป็นคำตอบ
เมื่อทุกคนที่มารวมตัวกันมองเห็นทั้งสองพยักศีรษะ พวกเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจและมีความสุขทันที
“รองผู้นำชิงตาน ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เกิดเหตุการณ์อะไรบ้างหรือไม่ ?”
ทุกคนยังคงโห่ร้องยินดีอยู่ข้างนอกในขณะที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าไปในห้องโถงเพื่อพูดคุยหารือกัน แม้แสดงออกถึงความตื่นเต้น พวกนางก็สังเกตเห็นสีหน้าความกังวลของรองผู้นำและคาดเดาได้ว่าน่าจะเกิดเรื่องบางอย่างเป็นแน่
“ท่านผู้นำขอรับ เกาะของเราไม่มีสิ่งใดผิดปกติและดินแดนเทพมายาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพียงแต่…มีเรื่องแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้”
รองผู้นำชิงตานไม่ปิดบังความจริงและกล่าวสิ่งที่เขาทราบออกไป
เพียงไม่กี่วันหลังจากฉินอวี้โม่และผู้นำเกาะวายุนิ่งเข้าไปเก็บตัวหลอมอุปกรณ์ ข่าวหนึ่งก็ถูกส่งมาจากดินแดนเทพมายา ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดจู่ ๆ บรรดาอสูรมายาในทั่วทั้งดินแดนต่างก็ฉุนเฉียวและออกอาละวาดขึ้นมา
เดิมทีอสูรหลายชนิดไม่เคยริเริ่มโจมตีจอมยุทธ์มนุษย์มาก่อน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมานี้ เหล่าอสูรในดินแดนเทพมายากลับคลุ้มคลั่งขึ้นมาโดยที่ไม่ทราบสาเหตุและโจมตีมนุษย์ทุกคนที่พบหน้า
ยิ่งไปกว่านั้น อสูรทรงพลังหลายชนิดที่เคยถือศักดิ์ศรีและไม่เคยคิดรังแกมนุษย์ที่อ่อนแอกว่าตนล้วนเปลี่ยนความคิดไปทั้งหมด ตราบใดที่มีมนุษย์ผ่านเข้ามาใกล้ พวกมันจะโจมตีโดยไม่ยั้งคิดและไม่ปล่อยไปแม้กระทั่งมนุษย์ธรรมดาไร้พลัง ฝูงอสูรมายาระดับสูงจำนวนไม่น้อยก็บุกเข้ายึดหมู่บ้านหลายแห่งซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านหรือจอมยุทธ์ระดับต่ำต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บนับไม่ถ้วน
หลังจากค้นพบความผิดปกติเหล่านี้ของอสูรมายา บรรดาขุมกำลังใหญ่ของดินแดนเทพมายาก็ได้ทำการสืบสวนหาความจริง ขุมกำลังอย่างนครล่าฝันก็ส่งคนออกไปช่วยเหลือเหล่าคนธรรมดาและจอมยุทธ์ระดับต่ำในการต้านทานอสูรเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากการสืบสวนอย่างจริงจังก็ไม่ค้นพบสาเหตุใดแม้แต่น้อย อสูรบ้าคลั่งเหล่านั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ในทางกลับกัน พวกมันก็ยิ่งคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิมเสียอีก
แม้แต่อสูรมายาของจอมยุทธ์หลายตัวก็โจมตีผู้เป็นนายของตนราวกับถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่าง จอมยุทธ์จำนวนไม่น้อยต้องเสียชีวิตไปเพราะอสูรมายาของตนเองและเป็นการตายอย่างที่ไม่เป็นธรรมเลยสักนิด
เพราะเหตุนั้น ในช่วงที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และอสูรในดินแดนเทพมายาจึงตึงเครียดอย่างที่สุด ทั้งดินแดนเทพมายาต่างก็ตื่นตระหนกด้วยกังวลว่าภยันตรายอาจมาถึงตัวได้ทุกที่และทุกเวลา
เกาะวายุนิ่งเองก็ส่งคนออกไปสืบความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันทว่าไม่ได้ข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์ ในท้องทะเลรอบ ๆ เกาะ อสูรทั้งในทะเลและกลางอากาศต่างก็คลุ้มคลั่งอย่างไม่มีที่มาเช่นกันและพุ่งเข้ามากัดหรือทำร้ายศิษย์ของเกาะวายุนิ่งไปหลายคน
ซ้ำร้ายยังมีอสูรบางตัวที่อาจหาญถึงขั้นโจมตีเกาะวายุนิ่งราวกับต้องการจะเขมือบกินเกาะวายุนิ่งให้ได้
แน่นอนว่ารองผู้นำของเกาะวายุนิ่งก็ได้ส่งยอดฝีมือทั้งหมดของเกาะวายุนิ่งออกไปรับมือและต่อสู้กับอสูรเหล่านั้นอย่างไม่ปรานี ทว่าท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โดยรวมได้
อสูรเหล่านั้นเหมือนว่าจะบ้าคลั่งและเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง พวกมันไม่รักตัวกลัวตายและยังคงเปิดฉากโจมตีมนุษย์ทุกชีวิตที่ขวางหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
โชคดีที่วันนี้ผู้นำเกาะวายุนิ่ง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหลอมอุปกรณ์เสร็จสิ้นและออกมาได้ทันเวลาพอดี มิฉะนั้น เขาไม่ทราบเลยว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
หลังจากได้ฟังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากรองผู้นำชิงตาน สีหน้าของฉินอวี้โม่ก็กลายเป็นจริงจังทันที
ดินแดนเทพมายาเต็มไปด้วยอสูรมายาจำนวนมากทว่าไม่เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นมาก่อน แม้เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไล่ล่าพวกอสูรและจับพวกมันบางส่วนมาเป็นอสูรของตน ทว่าโดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีการต่อสู้ที่รุนแรงจนเกินไป สถานการณ์ในตอนนี้ราวกับอสูรเหล่านั้นถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่างและดูคล้ายคลึงกับเทศกาลอสูรล้อมเมืองที่ฉินอวี้โม่เคยได้เข้าร่วมในดินแดนหวนหลิงก่อนหน้านี้
“เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวอวี้ พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ?”
ฉินอวี้โม่สอบถามอสูรของตนทันที นางต้องการทราบว่าพวกมันได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับอสูรบ้าคลั่งเหล่านั้นหรือไม่
เสี่ยวเฮยหันมองหน้ากับอสูรอื่น ๆ ก่อนส่ายหน้าอย่างเข้าใจตรงกัน พวกมันไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลา นี่คงจะเป็นฝีมือของพี่ชายของข้าที่ต้องการกดดันให้ข้าออกไป”
ขณะพยายามวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น จู่ ๆ ซิวก็ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน สีหน้าของมันในตอนนี้แสดงถึงความจริงจังและมันคาดเดาความเป็นมาของสถานการณ์นี้ได้ในทันที
ซิวคาดเดาไม่ผิดเลยสักนิด ความคลุ้มคลั่งของเหล่าอสูรที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของผู้นำเผ่าอสูรตนปัจจุบันเพื่อกดดันให้ซิวกลับไปที่เผ่าอสูรอย่างแท้จริง
มันสัมผัสได้ถึงพลังของซิวก่อนหน้านี้และตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก มันจึงส่งสมาชิกในเผ่าอสูรออกไปสืบหาว่าซิวอยู่ที่ใด ทว่าไม่ค้นพบเบาะแสใดๆ ในฐานะผู้นำเผ่าอสูรในปัจจุบัน แน่นอนว่ามันมีความสามารถในการบัญชาการพวกอสูรได้ หลังจากที่ติดต่ออสูรทั่วทั้งดินแดนเทพมายาและยังไม่ได้รับเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับซิวอีก มันจึงอดที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้
ด้วยความกังวลว่าซิวจะซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและอาจต้องการซุ่มจู่โจมมันโดยไม่รู้ตัว หลังจากคิดหาทางออก มันจึงตัดสินใจเลือกใช้วิธีนี้ ตราบใดที่อสูรทั่วทั้งดินแดนเทพมายาคลุ้มคลั่งขึ้นมาและสร้างปัญหาความวุ่นวายให้กับผู้คนในทั้งดินแดน ซิวก็จะอยู่เฉยไม่ได้และต้องออกมาแสดงตัวในที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น มันจะหาทางกำจัดซิวและกำจัดภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของตนไปอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มันไม่ทราบเลยก็คือก่อนหน้านี้ซิวอยู่กับฉินอวี้โม่และเก็บตัวอย่างสงบซึ่งไม่ได้รับข่าวเหล่านี้แม้แต่น้อย กว่าซิวจะทราบเรื่อง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็ดำเนินมานานกว่าครึ่งเดือนแล้วและดินแดนเทพมายาก็เรียกได้ว่ากลายเป็นความยุ่งเหยิงไม่น้อย
แน่นอนว่าความโกลาหลของดินแดนเทพมายาทำให้ขุมกำลังชั่วร้ายอย่างฝ่ายมารและนิกายหงส์มังกรมีความสุขอย่างมาก ฝ่ายนิกายหงส์มังกรถึงขั้นแพร่ข่าวออกไปว่านี่คือคำบัญชาจากสวรรค์เพื่อกดดันให้ดินแดนเทพมายายอมจำนนต่อฝ่ายมาร มิฉะนั้นมันจะเป็นการละเมิดคำสั่งสวรรค์และจะถูกลงทัณฑ์ในที่สุด
แน่นอนว่าหลายคนในดินแดนไม่สนใจแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่เชื่อคำประกาศของนิกายหงส์มังกรและแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับพวกเขาเพื่อให้ได้รับความกรุณาจากสวรรค์
“พี่ชายของเจ้ากระสับกระส่ายจนอยู่ไม่ติดจริง ๆ !”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย็นชา ไม่คิดเลยว่าพี่ชายของซิวจะมีจิตใจที่ชั่วร้ายถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อล่อลวงให้ซิวแสดงตัว มันก็ไม่ลังเลที่จะจุดชนวนสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรในดินแดนเทพมายา หากไม่รีบจัดการกับปัญหานี้และทำให้เผ่าอสูรมาอยู่กับฝ่ายตน เมื่อใดที่เผ่าอสูรยอมจำนนต่อฝ่ายมารขึ้นมา เผ่าอสูรจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อดินแดนเทพมายาอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉินอวี้โม่และซิวจะต้องออกเดินทางไปเยือนเผ่าอสูรเสียที
“หากต้องการทำให้อสูรในดินแดนเทพมายาสงบลง ข้าต้องไปที่เผ่าอสูรด้วยตัวเอง ในเมื่อพี่ชายของข้าคิดจะกดดันให้ข้าแสดงตัว ข้าก็จะไปที่นั่น อยากเห็นนักว่ามันจะวางกับดักอะไรรอข้าอยู่ที่นั่นบ้าง !”
ซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เมื่อนึกถึงพี่ชายที่คิดชั่วร้ายกับตนตั้งแต่พันปีก่อน จิตสังหารของซิวก็แผ่ออกไปทันที ถึงเวลาแล้วที่มันจะต้องกำจัดและโค่นล้างพี่ชายผู้นี้ไปจากเผ่าอสูรเสียที !
.