คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 693 มุ่งหน้าสู่เผ่าอสูร
หลังจากหารือสิ่งต่าง ๆ กับผู้นำเกาะวายุนิ่งและตกลงกันว่าทั้งสองฝ่ายจะแจ้งข่าวให้อีกฝ่ายทราบทันทีที่เกิดเรื่องใดขึ้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมด้วยเหล่าอสูรมายาก็เตรียมเดินทางออกจากเกาะวายุนิ่ง
สถานการณ์ของพวกอสูรในตอนนี้เลวร้ายยิ่งนัก หากไม่สามารถคลี่คลายปัญหาที่เผ่าอสูรและทำให้ดินแดนเทพมายากลับคืนสู่ความสงบดังเดิม มันจะส่งผลกระทบต่อคนทั้งดินแดนอย่างแน่นอน
เพียงเดินมาถึงใกล้บริเวณชายฝั่งของเกาะวายุนิ่ง ฉินอวี้โม่และคณะก็มองเห็นอสูรมายาจำนวนหนึ่งที่ห้อมล้อมเกาะแห่งนี้ไว้แล้วและแววตาของพวกมันดุดันเกรี้ยวกราดอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นอสูรที่บินอยู่บนท้องฟ้าเหนือชายฝั่ง แหวกว่ายในท้องทะเลหรือวิ่งไปมาบนพื้นดิน ท่าทางการแสดงออกของพวกมันทั้งหมดก็ดูราวกับเสียสติขณะรอให้มนุษย์เข้ามาใกล้และกลายเป็นเหยื่อของตน
“เหอะ พวกแมลงตัวเล็ก ๆ ริอาจขวางทางข้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้รึ !”
ซิวแค่นเสียงเย็นชา การกระทำของพี่ชายมันในครานี้ทำให้มันโกรธแค้นอย่างที่สุด หากประจันหน้ากันอีกครา มันจะไม่ใจอ่อนหรือแสดงความปรานีอย่างแน่นอน
แรงกดดันอันทรงพลังแผ่จากร่างของซิวออกไปเป็นวงกว้าง ทันใดนั้น อสูรบ้าคลั่งเหล่านั้นก็ล้มทรุดลงบนพื้นดินและสั่นเทิ้ม แรงกดดันของเทพอสูรมิใช่สิ่งที่อสูรในระดับของพวกมันจะต้านทานได้แม้แต่น้อย
“พี่ซิวเริ่มน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว !”
เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ อดถอนหายใจให้กับความทรงพลังของซิวไม่ได้ หากมิใช่เพราะมีนายคนเดียวกันกับซิว ด้วยสายเลือดและความแข็งแกร่งของอสูรเหล่านี้ พวกมันก็ไม่มีทางต้านทานแรงกดดันจากซิวได้และคงต้องแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดไปนานแล้ว
“บอกข้ามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
แรงกดดันทรงพลังของซิวกดข่มอสูรเสียสติทั้งหมดครู่ใหญ่จนพวกมันค่อย ๆ เรียกสติกลับคืนมาได้บ้าง เวลานี้อสูรที่เคยแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดล้วนมองตรงมาที่ซิวด้วยแววตาหวาดหวั่นและตื่นตระหนก
“ท่านเทพอสูร เราไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ราวกับว่าจู่ ๆ อสูรทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น เราก็มิใช่อสูรทรงพลังหรือแกร่งกล้า จิตวิญญาณและสตินึกคิดจึงถูกควบคุมได้ง่ายและทำสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองลงไปราวกับเสียสติ”
อสูรตัวหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นปลาปากแหลมเอ่ยด้วยสีหน้าฉงนงุนงงและกังวลเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้พวกมันทั้งหมดเป็นอสูรมายาที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ มีคนเพียงน้อยนิดที่จะไปหาเรื่องกวนใจพวกมันและพวกมันก็ไม่เคยคิดโจมตีมนุษย์ก่อนเช่นกัน ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ จู่ ๆ พวกมันก็รู้สึกราวกับถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่างและเปิดฉากโจมตีเข้าใส่เกาะวายุนิ่งอย่างไม่รู้ตัวและมิอาจหยุดยั้งได้ หากมิใช่เพราะแรงกดดันอันทรงพลังของเทพอสูรเมื่อครู่ที่ทำให้พวกมันได้สติกลับคืนมา เกรงว่าต่อให้ต่อสู้กับมนุษย์จนตัวตาย พวกมันก็คงไม่รู้สึกอะไรเป็นแน่ !
“ท่านเทพอสูร ช่วยพวกเราชาวอสูรด้วยเถิด ! เราไม่อยากให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่และไม่อยากสู้กับเหล่ามนุษย์ แม้แรงกดดันของท่านจะทำให้สติรับรู้ของพวกเรากลับมาได้เป็นการชั่วคราว ทว่าในระยะยาวเราก็ยังถูกควบคุมอยู่ดี”
ปลาทูน่าปากแหลมคุกเข่าและกล่าววาจาวิงวอน มันยังมีสหายอสูรสายพันธุ์เดียวกันอีกเป็นจำนวนมาก และตอนนี้พวกมันทั้งหมดก็ต่อสู้กับมนุษย์อย่างไม่รักตัวกลัวตาย หากไม่มีผู้ใดที่ช่วยพวกมันสะสางสถานการณ์ความวุ่นวายนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เกรงว่าอีกไม่นานสายพันธุ์ปลาทูน่าอย่างพวกมันจะต้องสูญพันธุ์ไปอย่างแน่นอน
อสูรอื่น ๆ ก็คุกเข่าลงเพื่ออ้อนวอนต่อเทพอสูรเช่นกัน แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดเทพอสูรจึงปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่อย่างกะทันหัน ทว่าพวกมันก็ทราบดีว่าผู้เดียวที่จะช่วยพวกมันจากเหตุการณ์ร้ายครานี้ได้ก็คือเทพอสูรผู้สูงส่งในตำนานผู้นี้
เหล่าอสูรมายาในโลกของอสูรล้วนทราบอยู่บ้างแล้วว่าผู้นำเผ่าอสูรในตอนนี้มิใช่ผู้นำที่พวกมันคาดหวัง ในอดีต มันใช้วิธีการไม่ซื่อบางอย่างเพื่อยึดตำแหน่งผู้นำเผ่าอสูรมาเป็นของตน ไม่มีผู้ใดทราบว่าเทพอสูรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริงอยู่ที่ใด ทว่าตอนนี้ในเมื่อเทพอสูรที่เคยหายสาบสูญปรากฏตัวแล้ว พวกมันก็ย่อมฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เทพอสูรผู้นี้
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่มีทางทนมองดูเผ่าอสูรของเราที่ค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปหรอก !”
ซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แม้มันจะกลายเป็นอสูรคู่กายของฉินเฟยเหยียนตั้งแต่เด็กส่งผลให้ไม่มีความใกล้ชิดหรือผูกพันกับเผ่าอสูรมากนัก อย่างไรก็ตาม มันก็คือเทพอสูรและมีความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับ หากจะให้ทนมองอสูรล้มตายไปเรื่อย ๆ มันก็มิอาจทนอยู่เฉยได้อย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ ตลอดช่วงหลายวันข้างหน้า พวกเจ้าจงแสร้งแสดงว่าโจมตีเกาะวายุนิ่งทว่าแท้จริงแล้วคอยปกป้องมัน เมื่อข้าไปถึงเผ่าอสูรและทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะทำให้เจ้าและสหายทั้งหลายกลับคืนสู่ชีวิตปกติอย่างแน่นอน !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าอสูรหลายชีวิตก็พยักหน้าอย่างมีความหวังและเปิดทางให้คณะของซิวทันที
เมื่อมีซิวผู้แกร่งกล้าร่วมเดินทาง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็คลายกังวลลงมาก เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาอย่างไม่จำเป็น พวกนางก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเผ่าอสูรอย่างรวดเร็ว
ระหว่างเดินทาง แน่นอนว่าพวกนางได้พานพบอสูรมายาคลุ้มคลั่งจำนวนมาก อสูรบางตัวพยายามเข้าโจมตีฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ทว่าแรงกดดันจากซิวก็ทำให้พวกมันหัวหดถอยกลับไปโดยที่ไม่ทันได้ต่อสู้และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ภายในชั่วพริบตา อีกสิบวันผ่านก็ไปอย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่และคณะก็เข้ามาใกล้กับบริเวณทางเข้าของเผ่าอสูรแล้ว
เผ่าอสูรอยู่ในมิติพิเศษเช่นเดียวกับชนเผ่าเอลฟ์ ผู้ที่ต้องการเข้าไปในเผ่าจะต้องได้รับการอนุญาตจากอสูรจำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่พิทักษ์คุ้มหน้าอยู่ด้านหน้าจึงจะผ่านเข้าไปทางค่ายกลเคลื่อนย้ายได้
ด้วยการนำทางของซิว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมด้วยอสูรมายากลุ่มใหญ่ก็มาถึงบริเวณของค่ายกลเคลื่อนย้ายซึ่งถูกตั้งอยู่ในภูเขาแห้งแล้งที่มีการสัญจรไปมาเพียงประปราย
ทันทีที่มาถึงทางเข้า พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันทรงพลังสามชนิดที่กดข่มเข้ามาอย่างรุนแรงจนทำให้บรรยากาศโดยรอบอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้ใดกันที่ริอาจบุกรุกเข้ามาที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายของเผ่าอสูร !”
แรงกดดันเหล่านี้มาจากอสูรดุร้ายขนาดใหญ่สามตัว พวกมันก็คืออสรพิษแปดหัว ขุยหนิวและสิงโตเพลิงทองซึ่งเป็นผู้พิทักษ์คุ้มกันประจำค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งนี้
* ขุย หรือ ขุยหนิว (夔, 夔牛) ตามตำนานของจีนแล้ว ขุย คือสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง มีลักษณะตัวเป็นวัว สีเทา แต่มีเพียงขาเดียว เวลาปรากฏกาย จะมีพายุและฝนกระหน่ำ
อสูรดุร้ายทั้งสามนี้ทรงพลังอย่างยิ่งและมีพลังอยู่ในระดับนภาเซียนขั้นสูงสุด พวกมันเป็นอสูรที่มีลักษณะอารมณ์รุนแรงและโหดเหี้ยม หลังจากถูกควบคุมโดยเทพอสูร พวกมันก็ได้ปฏิญาณตนว่าจะคุ้มกันค่ายกลเคลื่อนย้ายของเผ่าอสูร นอกเหนือจากบรรดาอสูรก็ไม่มีผู้ใดที่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปได้ แม้แต่พี่ชายของซิวซึ่งเป็นผู้นำของเผ่าอสูรในปัจจุบันก็ยังต้องเกรงใจอสูรทั้งสามนี้พอสมควร
“เหอะ เจ้าทั้งสามช่างริอาจยิ่งนัก กล้าที่จะขัดขวางแม้กระทั่งข้าผู้นี้ !”
ด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ดังขึ้นมา ร่างของซิวก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอสูรทั้งสามทันที
ในเวลานี้ อสูรดุร้ายทั้งสามก็อยู่ในร่างมนุษย์ ขุยหนิวเป็นบุรุษชราสวมเสื้อคลุมสีดำ อสรพิษแปดหัวเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีแววตาชั่วร้ายและสิงโตเพลิงทองก็อยู่ในร่างของบุรุษหนุ่มรูปงาม
เมื่อเห็นซิวปรากฏตัวตรงหน้าอย่างกะทันหัน พวกมันก็ตกตะลึงทันที
“ท่านซิว เป็นท่านจริง ๆ ด้วย !”
ขุยหนิวกล่าวขึ้นก่อนใครและจดจำซิวได้ตั้งแต่แวบแรก ในอดีตที่ผ่านมา พวกมันทั้งสามเคยร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับซิวอย่างดุเดือด ทว่าท้ายที่สุดพวกมันก็ยังต้องพ่ายแพ้ต่อซิวผู้ทรงพลัง นับจากนั้นมา อสูรทั้งสามต่างก็ยอมจำนนและเคารพนับถือซิวอย่างสุดหัวใจ
“ท่านซิว จากที่คนอื่น ๆ กล่าวมา…มิใช่ว่าท่านล่มสลายไปตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนหรือ ?”
สิงโตเพลิงทองผู้ตรงไปตรงมากล่าวขณะมองซิวด้วยแววตาประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
“เหอะ คิดว่าข้าจะล้มตายไปได้ง่าย ๆ รึ !”
ซิวแค่นเสียงและกล่าวต่อ “เกรงว่าผู้ที่บอกพวกเจ้าเช่นนั้นจะกลัวว่าตนเองจะไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำของเผ่าอสูร มันจึงได้บอกว่าข้าตายไปแล้ว ในการต่อสู้เมื่อพันปีก่อน ข้าบาดเจ็บสาหัสและต้องพักรักษาตัวอย่างยาวนาน จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ารู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างกับเผ่าอสูรจึงตัดสินใจกลับมาดูด้วยตาตัวเอง !”
ซิวกล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปอย่างคร่าว ๆ และไม่ปิดบังความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มีต่อการกระทำของผู้นำเผ่าอสูรในปัจจุบัน
“ท่านซิว บรรพชนเทพมายาสิ้นชีวิตไปแล้วมิใช่หรือ ? แล้วท่านที่เป็นอสูรคู่กายของนางรอดมาได้อย่างไรกัน ?”
อสรพิษแปดหัวยังมีความสงสัยอยู่ในใจ มันไม่มั่นใจว่าผู้ที่ปรากฏตัวตรงหน้าตนในตอนนี้จะใช่เทพอสูรตัวจริงหรือเป็นผู้อื่นปลอมตัวมา ?
“อสรพิษแปดหัว ผ่านมานานนับพันปี เจ้ายังรอบคอบไม่เปลี่ยนเลย เพียงแต่บางสิ่งบางอย่างสามารถตบตาได้ ทว่าบางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถตบตากันได้จริง ๆ เจ้าคิดหรือว่าจะมีใครที่ปลอมตัวเป็นข้าผู้นี้ได้ ?!”
ซิวกล่าวขึ้นเบาๆ ทว่าแรงกดดันจากร่างของมันแผ่ตรงไปกดข่มอสูรทั้งสามจนพวกมันแข้งขาอ่อนแรงและสั่นเทา
“ท่านซิว พวกเราจะกล้าสงสัยท่านได้อย่างไรเล่า ?! รีบถอนแรงกดดันของท่านด้วยเถอะ !”
สิงโตเพลิงทองกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอนและพวกมันไม่ต้องการต้องปะทะฝีมือกับซิวอีกแม้เพียงครั้งเดียว ตลอดพันปีที่ผ่านมา แม้ความแข็งแกร่งของพวกมันจะพัฒนาเพิ่มขึ้น อสูรทั้งสามก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของซิว พวกมันไม่ต้องการให้เรื่องที่น่าอับอายเช่นเมื่อพันปีก่อนต้องเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง
ซิวพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจและถอนแรงกดดันของตนเอง เวลานี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปรากฏกายข้างซิวแล้วและมองดูอสูรทรงพลังทั้งสามพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายทรงพลังที่มาจากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ อสูรดุดันทั้งสามก็สงบนิ่งและวางตัวดีในทันที สำหรับนายของซิว พวกมันไม่กล้าทำสิ่งใดให้ขุ่นเคืองใจเป็นธรรมดา ส่วนความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ด้อยกว่าพวกมันทั้งสามอย่างแน่นอน อีกทั้งเขายังดูเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมากจนพวกมันไม่กล้าคิดท้าทายเขา
“พวกเจ้าทั้งสามอยู่ที่นี่มานานกว่าพันปีแล้ว อยากจะได้อิสรภาพกลับคืนมารึไม่ ?”
ซิวกวาดสายตามองอสูรทั้งสามก่อนคลี่ยิ้มและเอ่ยถาม อสูรทั้งสามมีพลังอำนาจที่แกร่งกล้าอย่างมากและมีความสามารถเกินกว่าจะทำหน้าที่คุ้มกันค่ายกลเคลื่อนย้ายในที่แห่งนี้ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกมันควรจะทำพันธสัญญากับมนุษย์แล้วและเชื่อว่าอสูรทั้งสามจะกลายเป็นตัวช่วยที่ดีได้
“ท่านช่วยเราได้รึ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของซิว ประกายความหวังก็ปรากฏในแววตาของทั้งสามทันที พวกมันติดอยู่กับหน้าที่นี้มาเป็นเวลานานและแน่นอนว่าต้องการได้อิสรภาพกลับคืนมา หากได้อิสรภาพเพื่อทำในสิ่งที่ต้องการและสามารถไปในที่ที่ต้องการเช่นในอดีต พวกมันก็ย่อมยินดีทำทุกอย่างที่จำเป็น
“แต่ว่า…เราสาบานตนไปแล้วว่าจะคุ้มกันค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ไปตลอดชีวิต ?”
ขุยหนิวขมวดคิ้วและเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ คำสาบานที่มันเคยให้ไว้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเมิดได้ มิฉะนั้นจะต้องลงเอยกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่แหลกสลาย !
“ฮ่า ๆ ๆ อย่าลืมว่าข้าเป็นใคร พวกเจ้าสาบานตนต่อเทพอสูร หลังจากข้าสืบทอดสถานะเทพอสูรเต็มตัว แน่นอนว่ามันสามารถลบล้างได้ พวกเจ้าเพียงต้องให้คำตอบกับข้าว่าต้องการหรือไม่”
ซิวยิ้มอย่างมั่นใจ มันยังจำคำปฏิญาณของอสูรทั้งสามเมื่อพันปีก่อนได้ดี ราวกับว่าบิดาของมันคาดเดาถึงเหตุการณ์เช่นวันนี้ไว้แล้วจึงได้ซ่อนช่องโหว่ที่มีทางแก้ไขไว้ในการปฏิญาณตนดังกล่าว
“ท่านซิว หากท่านมีเงื่อนไขอะไรก็บอกมาตรง ๆ เถอะ !”
อสรพิษแปดหัวชาญฉลาดเป็นที่สุด มันคาดเดาได้ว่าซิวจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างจึงกล่าวถามออกไปตามตรง
ขุยหนิวและสิงโตเพลิงทองก็มองตรงมาที่ซิวและรอฟังเงื่อนไขเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ หากต้องกลายเป็นอสูรมายาของมนุษย์ พวกเจ้าจะเต็มใจรึไม่ ?”
หากอสูรดุร้ายทว่าทรงพลังเหล่านี้ได้กลายเป็นอสูรมายาในกองทัพอสูรของฉินอวี้โม่ ความแข็งแกร่งและพลังของนางจะพัฒนาขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน ในความจริง ความคิดนี้แทบจะผุดขึ้นมาในหัวของซิวทันที