คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 695 ความทรงพลังของเทพอสูร
“ฉินอวี้โม่ เราได้พบกันอีกแล้ว !”
บุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งมองตรงมาที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพลางกล่าวด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง ! นายน้อยแห่งฝ่ายมาร !”
บุรุษที่ปรากฏตัวตรงหน้ามิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเฉินซิน—นายน้อยฝ่ายมารที่แฝงตัวเข้าไปอยู่ในสมาคมช่างหลอมของดินแดนเทพมายาอย่างยาวนานและเป็นศิษย์เอกที่อดีตประธานสมาคมช่างหลอมเฉินโหยวรักเสมือนบุตรชาย
“ฮ่า ๆ ๆ คงไม่คิดสินะว่าข้าจะมาอยู่ที่เผ่าอสูรได้ !”
เฉินซินหัวเราะเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก
ในเมืองซิ่งหัวครานั้น ฉินอวี้โม่คือคู่แข่งของเขาซึ่งแสดงผลงานได้อย่างเจิดจรัสและทำลายแผนการของฝ่ายมารจนพังไม่เป็นท่า สมาคมช่างหลอมจึงไม่ได้รับผลกระทบและความเสียหายใด ๆ จากสิ่งที่เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็บดขยี้ความมั่นใจของเขาจนแหลกละเอียดและทำให้เฉินซินนึกสงสัยในความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของตนเอง
หากมิใช่เพราะบิดาของเขาที่มอบความรู้ความเข้าใจและสิ่งของล้ำค่าบางอย่างจนพลังของเขาพัฒนาขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าเขาคงไม่สามารถฟื้นฟูความมั่นใจของตนเองกลับคืนมาได้อีก
“นภาเซียนขั้นสูงสุด บิดาของเจ้าดูจะลงทุนกับเจ้ามากทีเดียว !”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายในตอนนี้ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยวาจาเหน็บแนมออกมา
แรกเริ่มเดิมที ในตอนที่เผชิญหน้ากันในเมืองซิ่งหัว ความแข็งแกร่งของเฉินซินอยู่เพียงขอบเขตพสุธาเซียนเท่านั้น ทว่าตอนนี้จู่ ๆ เขาก็ก้าวเข้ามาในขอบเขตนภาเซียนและยังบรรลุขั้นสูงสุดอีกด้วย ต้องกล่าวเลยว่าทั้งดินแดนเทพมายามีจอมยุทธ์นภาเซียนเพียงไม่มากนัก และหากเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุด มันก็มีอยู่เพียงหยิบมือ
การที่เฉินซินบรรลุพลังขอบเขตนี้ได้อย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยเลยว่านี่จะต้องเป็นเพราะฝีมือของผู้นำฝ่ายมารที่ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อช่วยให้เฉินซินพัฒนาขึ้นมาได้
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ายังฉลาดไม่เปลี่ยนเลย”
เฉินซินหัวเราะเบา ๆ เขาต้องยอมรับเลยว่าแม้ฉินอวี้โม่จะทำให้เขาขุ่นเคืองใจและผิดหวังในตนเอง เขาก็ยังรู้สึกชื่นชมในความสามารถของนาง
“ข้าว่าเจ้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกข้าจะดีกว่า เรายังพอจะเป็นมิตรสหายกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสถานะและความแข็งแกร่งของเจ้า หากอยู่ร่วมกับขุมกำลังของเรา เจ้าจะมีโอกาสได้แสดงศักยภาพของเจ้าออกมาอย่างเต็มที่ !”
เขาอดกล่าวเชื้อเชิญนางไม่ได้ ต่อให้ทราบว่าถึงอย่างไรฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่มีทางยอมจำนนต่อฝ่ายมารของตน เฉินซินก็มิอาจปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปเฉย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจำเป็นต้องตอบคำถามนี้ด้วยรึ ?”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวต่อ “การที่เจ้าพาคนจำนวนมากมาที่เผ่าอสูรเช่นนี้ เกรงว่าคงมาเพราะข้าและอสูรมายาของข้าสินะ ?”
ก่อนมาเยือนเผ่าอสูร นางและหานโม่ฉือได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว พวกนางคิดอยู่เสมอว่าฝ่ายมารจะต้องติดต่อกับเผ่าอสูรและคงรอพวกนางมาติดกับดักที่นี่
“ในเมื่อคาดเดาได้ตั้งแต่ต้น แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงมาที่นี่อีก ?”
เฉินซินก็มองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยความฉงนสงสัย ในเมื่อชาญฉลาดและคาดการณ์แผนการของพวกตนได้ก่อน แล้วเหตุใดทั้งสองจึงมาที่เผ่าอสูรโดยไม่ลังเลเช่นนี้ ? เพื่อความถูกต้องชอบธรรมอย่างนั้นหรือ ?
“ฮ่า ๆ ๆ คนอย่างพวกเจ้าคงไม่มีทางเข้าใจความหมายของสหายร่วมเป็นร่วมตายและความถูกต้องชอบธรรมหรอก !”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มอย่างเย็นชา นางรับปากซิวตั้งแต่ต้นและให้คำมั่นว่าจะมาที่เผ่าอสูรกับมัน ต่อให้ต้องข้ามผ่านท้องทะเลที่เต็มไปด้วยกระบี่และคมดาบนับไม่ถ้วน นางก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“จะมัวเสียเวลาพูดคุยไปทำไมกัน จัดการพวกมันเสียเถอะ !”
ตู้จ้งที่เข้าร่วมกับฝ่ายมารและหลบหนีจากการต่อสู้ในชนเผ่าเอลฟ์ก่อนหน้านี้กล่าวขึ้นจากด้านข้างซึ่งดึงดูดสายตาของฉินอวี้โม่ได้ทันที ไม่คิดเลยว่าเขาจะเข้าร่วมแผนการในครานี้และมาที่เผ่าอสูรเช่นกัน
“เหอะ คราก่อนข้าปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ ทว่าครานี้ข้าจะจับตัวเจ้าและส่งกลับไปที่ชนเผ่าเอลฟ์เพื่อให้ยินเอ๋อร์จัดการกับเจ้า !”
ฉินอวี้โม่มองตู้จ้งด้วยหางตาขณะกล่าวอย่างเย็นชา ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าโผล่หัวมาให้นางเห็นอีกครั้งเช่นนี้ นางก็จะจับตัวเขาและส่งตัวกลับไปที่ชนเผ่าเอลฟ์เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับหลัวจื๋อยิน
“คุยโวโอ้อวดอย่างไม่กระดากปาก !”
ตู้จ้งไม่มีสีหน้าเกรงกลัวแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าฝ่ายของตนครานี้มีทั้งความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าและจำนวนที่มากกว่า ต่อให้ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและซิวแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่มีทางที่จะรับมือกับฝ่ายมารได้
ยิ่งไปกว่านั้น อสูรมายาทั้งหมดก็ถูกฝ่ายของพวกเขาควบคุมไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร กองทัพอสูรมายาของฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางทัดเทียมได้กับกองทัพของอสูรทั้งเผ่าได้
“เจ๋อหลิว คิดว่าหากใช้พลังของบุปผาแห่งความมืดเพื่อควบคุมจิตใจของเหล่าอสูรแล้ว เจ้าจะสามารถควบคุมพวกมันได้อย่างสมบูรณ์งั้นรึ ?”
ทันใดนั้น ซิวก็กล่าวขึ้นเสียงเบาขณะมองเจ๋อหลิวพี่ชายของตนด้วยแววตาเย้ยหยัน
“เหอะ พลังของบุปผาแห่งความมืดมิใช่สิ่งที่เจ้าจะจินตนาการได้ ซิว…ต้องยอมรับเลยว่าทั้งความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเจ้าเหนือกว่าข้ามาก ทว่าในฐานะเทพอสูร ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่มีทางทนมองอสูรพวกนี้ตายต่อหน้าได้แน่ !”
เจ๋อหลิวแค่นเสียงเย็นชาและเวลานี้มันก็ไม่หวาดหวั่นเช่นกัน นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญ เพราะถึงอย่างไรในฐานะเทพอสูร ซิวก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงและมันไม่มีทางปล่อยให้อสูรหลายชีวิตต้องตายไปอย่างแน่นอน !
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าประเมินพลังของเทพอสูรต่ำเกินไปแล้ว !”
ทันใดนั้น ซิวก็หัวเราะเยือกเย็นและแววตาบ่งบอกถึงความเย้ยหยันอย่างชัดเจน
ร่างของมันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลับคืนร่างอสูรที่แท้จริงของตนเอง เวลานี้มังกรทองสิบเล็บในตำนานที่ร่างกายครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งท้องฟ้าปรากฏตัวต่อสายตาของทุกคน
“นี่มันพลังของเทพอสูร เทพอสูรปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว !”
เสียงที่ราวกับมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณดังขึ้นในหูของทุกคน จากนั้นทั้งมนุษย์และอสูรทุกชีวิตก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่กดทับลงมา
พลังนั้นแกร่งกล้าอย่างมหาศาลและต่อให้สิ่งมีชีวิตนั้นจะมีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดก็ยังต้องรู้สึกใจสั่นขึ้นมา
แน่นอนว่าฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันดังกล่าวมากที่สุดคือเหล่าอสูร ในเวลานี้ราวกับว่าสติของพวกมันที่สูญเสียไปจะฟื้นกลับขึ้นมา พวกมันคุกเข่าลงบนพื้นโดยไม่รู้ตัวและหมอบคลานขณะเงยหน้ามองซิวที่อยู่กลางอากาศด้วยแววตาเคารพ
“จิ๊จิ๊จิ๊ เทพอสูรช่างทรงพลังอย่างแท้จริง แม้ความแข็งแกร่งของข้าจะไม่ด้อยไปกว่าซิว ทว่าแรงกดดันนี้ก็ทำให้ข้าหวั่นใจจริง ๆ !”
กิเลนอัคคีอดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้และความรู้สึกตกตะลึงทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ เทพอสูรเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานอย่างแท้จริง
“พี่ซิวทรงพลังเกินไปแล้ว !”
เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่ซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวโดยไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าออกมาข้างนอก พวกมันและซิวเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่เช่นเดียวกัน ทว่าถึงอย่างนั้นแรงกดดันที่ซิวแผ่ออกมาในตอนนี้ก็ยังเกินกว่าระดับที่พวกมันจะต้านทานได้
แสงสว่างเจิดจ้าแผ่มาจากร่างของซิวดุจดั่งเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้เหล่าอสูรแสดงท่าทีเคารพนับถืออย่างชัดเจน เวลานี้จิตสำนึกที่เคยถูกครอบงำโดยบุปผาแห่งความมืดก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวหายดี
แม้ในสถานที่อื่น ๆ ข้างนอกเผ่าอสูร อสูรมายาคลุ้มคลั่งทุกชีวิตก็ได้รับอิทธิพลจากสิ่งนี้เช่นกัน พวกมันคุกเข่าลงตาม ๆ กันและหันหน้ามองไปยังทิศทางของซิวในขณะที่หัวใจเต็มไปด้วยความเกรงขาม
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?!”
สีหน้าของเจ๋อหลิวในตอนนี้ฉายแววความหวาดหวั่นอย่างชัดเจนและแข้งขาของมันสั่นเทาอ่อนแรง
แรงกดดันอันทรงพลังจากร่างของซิวน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด แม้ในฐานะผู้นำเผ่าอสูรในปัจจุบัน มันก็ไม่ช่วยให้เจ๋อหลิวต้านทานได้
“นี่คืออำนาจบารมีของท่านเทพอสูรซิว จิ๊จิ๊ ถึงเวลาที่เจ้าโง่เง่านั่นจะต้องตายเสียที !”
ณ ทางเข้าของเผ่าอสูรในตอนนี้ อสูรดุร้ายทั้งสามก็นั่งพูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ล้นหลามขณะพยายามต้านทานพลังของเทพอสูรอย่างสุดความสามารถ พลังมหาศาลนี้น่าหวาดหวั่นจนเกินไป แม้เป็นอสูรโบราณที่อยู่มานานนับพันปี พวกมันทั้งสามก็มิอาจต้านทานได้
พลังอันยิ่งใหญ่ของเทพอสูรนี้คือสาเหตุที่พวกมันทั้งสามเคารพต่อซิวอย่างที่สุด ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลของเทพอสูร พลังในการต่อสู้ของพวกมันก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ !
“เจ๋อหลิว เจ้าประเมินพลังของเทพอสูรต่ำเกินไปจริง ๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้ในโลกภายนอก ข้าจะไม่สามารถกระตุ้นพลังที่แท้จริงของเทพอสูรได้ ทว่าตอนนี้ในเมื่อข้ากลับมาที่นี่ ที่นี่ก็เป็นโลกของข้าแล้ว ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้นำของเผ่าอสูร เจ้าก็ไม่มีความสามารถที่จะควบคุมเหล่าอสูรได้ ทว่าสำหรับข้า มันเป็นเรื่องที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุนั้น แม้ผ่านมาเนิ่นนานถึงตอนนี้ ประชากรอสูรจำนวนมากในเผ่าก็ยังไม่ยอมรับสถานะผู้นำของเจ้า เพราะไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ เจ้าก็ยังด้อยกว่าข้าเสมอ !”
เสียงของซิวดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างชัดเจนและแผ่แรงกดดันโจมตีเจ๋อหลิวอย่างรุนแรง
ตุบ !
ท้ายที่สุดเจ๋อหลิวก็ไม่อาจต้านทานแรงกดดันอันทรงพลังของซิวได้อีกต่อไปและเข่าทรุดลงกระแทกพื้น ใบหน้าของมันในตอนนี้ซีดเผือดและพลังในการต่อสู้หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที แม้ด้วยพลังในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดและสายเลือดมังกรทองเก้าเล็บ ทว่าสุดท้ายมันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของซิว
“คารวะท่านเทพอสูร !”
“คารวะท่านเทพอสูร !”
“คารวะท่านเทพอสูร !”
…..
เสียงยกย่องสรรเสริญดังขึ้นเรื่อย ๆ และอสูรเกือบทุกชีวิตยอมรับในตัวตนของเทพอสูรอย่างแท้จริง
ในทางกลับกัน เหล่าคนจากฝ่ายมารต่างก็ขุ่นเคืองใจและหงุดหงิดเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้
พวกเขาคิดว่าตนเองเตรียมกับดักรอฉินอวี้โม่และพวกไว้อย่างดีแล้วซึ่งมั่นใจมากว่าจะจัดการกับอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน ไม่คิดเลยว่าในวันนี้เผ่าอสูรจะกลับกลายเป็นเหมือนบ้านเกิดของพวกนาง อสูรมายาทั้งเผ่าที่เคยอยู่ใต้การควบคุมของพวกเขาเรียกสติกลับคืนมาได้และจับจ้องตรงมาที่ฝ่ายของตนอย่างไม่วางตา
และตอนนี้ก็กลับกลายเป็นฝ่ายของพวกเขาที่ถูกล้อมรอบเสียแทน
“นายน้อยขอรับ ตอนนี้สถานการณ์พลิกผันแล้ว เราถอนกำลังกันก่อนเถอะ !”
ผู้อาวุโสของฝ่ายมารกระซิบกระซาบข้างหูเฉินซินเพื่อเสนอให้หลบหนีไปก่อน
เฉินซินขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือผู้ซึ่งยังมีสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเขาก็กัดฟันกรอดและพยักศีรษะเบา ๆ
เขาตระหนักดีว่าแผนการของฝ่ายตนล้มเหลวอีกคราและต้องพ่ายแพ้ต่อฉินอวี้โม่อย่างน่าเจ็บใจ
เขาไม่รอช้าและหยิบยันต์เคลื่อนย้ายที่ได้มาจากผู้นำฝ่ายมารออกมาก่อนฉีกมันออกเป็นชิ้น ๆ
“ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว…ก็ทิ้งบางคนไว้ที่นี่ก่อนเถอะ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ และร่างของหานโม่ฉือก็หายวับไปจากข้างกายนาง
เพียงครู่เดียว ใครคนหนึ่งที่มีสภาพน่าเวทนาก็ปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็กลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้ง
“ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ ท่านจอมยุทธ์หานโม่ฉือ ให้อภัยข้าเถอะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าสาบานว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองและทำตัวดี ๆ ข้าจะไม่ทำสิ่งใดที่เป็นภัยหรือคิดร้ายต่อท่านจอมยุทธ์ทั้งสองอีกต่อไป !”
ใบหน้าของตู้จ้งซีดเผือด หานโม่ฉือมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวจนเกินไปและเขาไม่มีความสามารถที่จะต่อต้านได้เลย เพียงก้าวช้าไปเพียงชั่วอึดใจ เขาก็ถูกหานโม่ฉือจับตัวไว้ทันและพลาดโอกาสในการหลบหนีด้วยยันต์เคลื่อนย้ายจนตกมาอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่าย
ตู้จ้งทราบดีว่าหากถูกส่งตัวกลับไปที่ชนเผ่าเอลฟ์ เขาจะไม่ได้พบกับจุดจบที่ดีแน่ ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงขอร้องอ้อนวอนให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือให้อภัยและเมตตาเขา หากทั้งสองตัดสินใจปล่อยตนไป เขาก็จะรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ไปได้
“จิ๊จิ๊ เมื่อครู่นี้เจ้ายังยโสโอหังอยู่มิใช่รึ ?”
ฉินอวี้โม่ส่งเสียงในลำคอเมื่อเห็นความน่าสมเพชของตู้จ้ง
ตู้จ้งผู้นี้รอดชีวิตมาได้ตลอดเพราะการติดตามฝ่ายมาร ทว่าการกระทำของเขาก็ช่างโง่เขลายิ่งนัก หากเขาเก็บตัวอยู่กับขุมกำลังมารร้ายระหว่างช่วงที่ผ่านมา เขาก็คงมีชีวิตได้นานกว่านี้ ในเมื่อคิดยั่วยุพวกนางอีกครั้ง มันก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย !
“ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ ข้าผิดไปแล้ว ทุกอย่างในอดีตที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเอง ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ตราบใดที่ท่านปล่อยข้าไป ข้าจะยอมทำทุกอย่าง !”
ตู้จ้งคุกเข่าและกล่าววาจาอ้อนวอนด้วยแววตาน่าสงสารโดยหวังว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะไว้ชีวิตตน
.