คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 696 สืบทอดตำแหน่งผู้นำ
ในอีกฟากหนึ่ง ซิวกลับคืนร่างมนุษย์และลอยลงเหยียบบนพื้นตรงหน้าเจ๋อหลิว
ในตอนนี้ใบหน้าของซิวดูซีดเซียวเล็กน้อยซึ่งบ่งบอกได้ว่าเมื่อครู่มันใช้พลังไปมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม เมื่อยืนเผชิญหน้ากับเจ๋อหลิวอีกครา แรงกดดันเพียงอย่างเดียวที่แผ่ออกไปก็มากพอที่จะทำให้เจ๋อหลิวหมดกำลังใจที่จะต่อสู้
“พี่ชายของข้าเอ๋ย เจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องชดใช้แล้ว !”
ซิวกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยวาจาที่เปี่ยมด้วยจิตสังหารแรงกล้า มันไม่มีความรู้สึกที่ดีกับพี่ชายแต่อย่างใดและเจ๋อหลิวก็ทำสิ่งชั่วร้ายมามากมายนัก ต่อให้ซิวสังหารมันเสีย บิดามารดาผู้ล่วงลับก็ไม่ควรที่จะกล่าวโทษมัน
“ฮ่า ๆ ๆ ทำไมกัน…เพราะเหตุใดเจ้าจึงแข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก ? ทั้งที่เราเป็นลูกของท่านพ่อท่านแม่เหมือนกัน เหตุใดเจ้าถึงได้รับสายเลือดบริสุทธิ์ของเทพอสูรทว่าข้าเป็นได้เพียงมังกรทองเก้าเล็บทั่วไป ! ข้าไม่ยอมรับ ข้าไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด ! หากข้ามีสายเลือดเทพอสูร ข้าจะไม่ด้อยกว่าเจ้าแน่ ๆ !”
เจ๋อหลิวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้หัวใจของมันเต็มไปด้วยความสับสนและความไม่เต็มใจ
เห็นได้ชัดว่าตัวมันและซิวเป็นบุตรของบิดามารดาเดียวกันและมันก็เกิดก่อนซิวถึงสองปี
อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจหาคำตอบได้เลยว่าเหตุใดตนจึงไม่ได้รับสืบทอดสายเลือดเทพอสูร ทว่ากลับเป็นซิวที่ได้สิ่งนั้น ในเมื่อมันเป็นพี่ชายคนโต เจ๋อหลิวเชื่อว่าตนควรเป็นผู้ที่ได้สืบทอดสายเลือดเทพอสูร มันเชื่อว่าตนควรที่จะได้พลังอำนาจและความสำเร็จทั้งหมดที่ต้องการ !
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจและไม่มีคำตอบว่าเหตุใดจึงเป็นข้า ทว่าบางครา…ข้าก็อิจฉาเจ้าเหลือเกิน”
ซิวสบตาเจ๋อหลิวที่ราวกับเสียสติไปแล้วและจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาโดยไม่คิดที่จะรีบร้อนสังหารอีกฝ่าย
“อิจฉาข้างั้นรึ ? เจ้าจะมาอิจฉาอะไรข้า ?”
เมื่อได้ยินวาจาของซิว เจ๋อหลิวก็อดแสยะยิ้มอย่างประชดประชันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดของมันก็ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับซิวแม้แต่อย่างเดียว แล้วซิวจะอิจฉามันเรื่องใด ?
“ข้าได้สืบทอดสายเลือดเทพอสูรก็จริง ทว่าข้าก็ต้องสืบทอดความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงในฐานะเทพอสูรเช่นกัน แท้จริงแล้วข้าหวังเพียงจะได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่ตั้งแต่เล็กจนโตและได้รับความรักที่เต็มเปี่ยมจากพวกท่าน ตอนเด็กเจ้าคงจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ และไร้กังวล เจ้าคงได้รับความรักความฟูมฟักจากท่านพ่อท่านแม่โดยไม่ต้องคิดเรื่องใดให้ปวดหัว ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงสิ่งใด สำหรับข้า…สิ่งเหล่านั้นเป็นได้เพียงภาพความฝันเท่านั้น…
เนื่องจากเป็นผู้สืบทอดสายเลือดเทพอสูร แน่นอนว่าข้าก็จดจำความลำบากลำบนที่ผ่านมาทั้งหมดได้ นับตั้งแต่วัยเด็ก ข้าต้องฝึกฝนบ่มเพาะพลังและไม่กล้าที่จะประมาทกับสิ่งใด ข้าตระหนักถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่มีและเข้าใจสิ่งที่จะต้องเผชิญอีกมากในอนาคต ความเจริญรุ่งเรืองและการล่มสลายของทั้งเผ่าอสูรอยู่ในมือของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องทนต่อแรงกดดันมากเพียงใด ?…
การที่ข้าทำพันธสัญญาเป็นอสูรคู่กายของมนุษย์ นั่นก็หมายถึงอิสรภาพที่ข้าต้องสูญเสียไป ข้าเกือบต้องตายไปในสงครามครั้งประวัติศาสตร์เมื่อพันปีก่อน และหลังจากนั้นข้าก็ยังต้องเฝ้ารออีกนานกว่าพันปีกว่าจะได้พบกับนายคนปัจจุบันอีกครั้ง…
ระยะเวลากว่าพันปีแห่งความโดดเดี่ยว พันปีของการที่ความแข็งแกร่งค่อย ๆ สลายหายไป ระยะเวลายาวนานเช่นนั้นเป็นความทุกข์ทรมานที่เจ้าไม่มีทางเข้าใจ…
การถูกเลือกโดยสายเลือดเทพอสูรมิใช่สิ่งที่เจ้าวาดฝันไว้ ต่อให้มีสายเลือดและความแข็งแกร่งที่ทรงพลังแล้วอย่างไร ? สำหรับข้า…มันเทียบไม่ได้กับการได้ใช้เวลากับคนที่ข้ารักเลยสักนิด !”
ซิวยิ้มอย่างขมขื่น มันรู้สึกอิจฉาพี่ใหญ่ของตนอย่างแท้จริง เจ๋อหลิวได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระในวัยเด็กโดยไม่ต้องแบกรับความกดดันใด ๆ มันอิจฉายิ่งนักที่เจ๋อหลิวได้ใช้เวลากับบิดามารดาที่รักและสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการได้
สายเลือดของเทพอสูรคือสัญลักษณ์ของพลังอำนาจอย่างแท้จริง ทว่ามันก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่คนธรรมดาไม่อาจแบกรับ หากเป็นไปได้ ซิวก็ไม่ต้องการสืบทอดสายเลือดเทพอสูร เพียงได้ใช้ชีวิตอยู่กับบิดามารดาอย่างมีความสุขเช่นเดียวกับเจ๋อหลิว ซิวก็ไม่ต้องการสิ่งใดมากมาย เพียงได้ทำในสิ่งที่ต้องการก็เป็นความสุขมากพอแล้ว
หลังจากได้ยินวาจาของซิว ทุกคนโดยรอบก็รู้สึกสะเทือนใจกับชะตากรรมของมันยิ่งนัก ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สบตากันอย่างเข้าใจ ทั้งสองเข้าใจความคิดของกันและกันเป็นอย่างดี
ทั้งสองมีความคิดเช่นเดียวกันกับซิว หากเปรียบเทียบกับครอบครัว ญาติพี่น้องและบรรดามิตรสหาย พลังอำนาจ สถานะและความมั่งคั่งของพวกนางก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย สาเหตุที่พวกนางพัฒนาตนจนแข็งแกร่งขึ้นก็เพียงเพื่อปกป้องครอบครัวและมิตรสหาย รวมถึงปกป้องสิ่งที่พวกนางรักเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดอีก
เห็นได้ชัดว่าเจ๋อหลิวไม่เข้าใจความหมายของซิว ตอนนี้มันอยู่ในสภาวะที่คลุ้มคลั่งเล็กน้อย มันเพียงส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อและกล่าว “ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องมาโกหกข้าหรอก หากข้าได้สืบทอดสายเลือดเทพอสูร ข้าจะเป็นที่เคารพของทุกคนและมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด และแน่นอนว่าข้าจะไม่พ่ายแพ้ต่อเจ้าแน่ ! อสูรแก่ทั้งสองนั่นมีความคิดที่ผิดประหลาดซึ่งถ่ายทอดสายเลือดเทพอสูรให้กับเจ้าทั้งที่ข้าไม่ได้อะไรเลย แม้ในฐานะบุตรที่เกิดก่อน ต่อให้ข้าจะได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของเผ่าอสูร ข้าก็ทำให้อสูรพวกนั้นเชื่อฟังข้าจากใจจริงไม่ได้ด้วยซ้ำ !”
เจ๋อหลิวเชื่อว่าหากตนได้สืบทอดสิ่งที่ซิวมองว่าเป็นคำสาปและได้เป็นเทพอสูร มันก็คงได้รับความเคารพจากอสูรทั้งหมด บรรดาอสูรคงจะไม่ขัดคำสั่งของมันและไม่รู้สึกว่าตำแหน่งผู้นำอสูรของมันไม่คู่ควร !
“ฮ่า ๆ ๆ คิดว่าพลังอำนาจเพียงอย่างเดียวจะทำให้อสูรทั้งเผ่าจำนนต่อเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”
ทันใดนั้น ซิวก็หัวเราะเสียงดังลั่นด้วยความคิดที่ว่าเจ๋อหลิวตรงหน้าช่างโง่เขลาอย่างแท้จริง
“แล้วมันไม่ใช่รึ ? ดินแดนแห่งนี้คือดินแดนที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพสูงสุด ด้วยพลังอำนาจที่แท้จริง แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดที่จะกล้าขัดคำสั่งของเจ้าแน่ !”
เมื่อได้ยินวาจาของซิว เจ๋อหลิวก็กล่าวตอบโต้ทว่าหัวใจเกิดความสับสนไม่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ต่อให้เจ้ามีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าผู้คนทั้งดินแดนแล้วอย่างไรกัน ? สิ่งที่เจ้าจะได้รับก็มีเพียงการจำนนแบบจอมปลอมเท่านั้น หากอยากให้ผู้อื่นเคารพและยอมจำนนต่อเจ้าอย่างแท้จริง เสน่ห์เฉพาะตัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด !”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น ซิวก็อดหันไปมองฉินอวี้โม่ไม่ได้ นางมีทั้งจิตใจที่ดีและเสน่ห์ความเป็นผู้นำเฉพาะตัวซึ่งโน้มน้าวใจมันจนต้องการเป็นสหายและจำนนต่อนางอย่างแท้จริง
ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่สำคัญก็จริง ทว่าหัวใจที่ดีก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
“ฮ่า ๆ ๆ สิ่งต่าง ๆ ที่เจ้าเคยทำมาในฐานะผู้นำเผ่าอสูร เจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ด้วยการกระทำเหล่านั้น หากพวกอสูรยอมจำนนต่อเจ้าจากใจจริง นั่นก็คงเป็นเรื่องที่แปลกมาก !”
ซิวแสยะยิ้มเย้ยหยัน ในความเป็นจริง ช่วงเวลาที่เจ๋อหลิวเป็นผู้นำเผ่าอสูรตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าอสูรและมนุษย์ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่ปฏิบัติต่ออสูรเหล่านั้นดั่งสหายร่วมทางทว่ากดขี่ข่มเหงเช่นลิ่วล้อที่ด้อยกว่า หากกล่าวว่าอสูรเหล่านั้นเคารพผู้นำอย่างเจ๋อหลิว มันก็คงเป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างที่สุด !
“คิดดูเถอะ ตอนที่ท่านพ่อเป็นผู้นำเผ่า ท่านทำอะไรเพื่อเผ่าอสูรของเราบ้าง เจ้าน่าจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่เป็นที่เคารพของอสูรตัวอื่น ๆ !”
ซิวกล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินกลับไปหาฉินอวี้โม่
เดิมทีมันวางแผนที่จะสังหารเจ๋อหลิวเพื่อสะสางปัญหาทุกอย่าง ทว่าตอนนี้มันตระหนักแล้วว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ถึงอย่างไรเจ๋อหลิวก็เป็นพี่ชายของมัน ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่บิดามารดาของมันจะตายไป ซิวก็ได้ให้สัญญาไว้ว่าจะไว้ชีวิตพี่ชายใจชั่วของตน
ต่อให้จะมิใช่การทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของบิดามารดา ซิวก็ไม่อาจสังหารเจ๋อหลิวได้เลย
“นายหญิง ข้าฆ่ามันไม่ได้ ข้าเคยให้สัญญากับพ่อแม่ของข้าไว้ว่าจะไม่ฆ่ามัน”
ซิวกล่าวบอกกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงสั้น ๆ โดยหวังว่าทั้งสองจะเข้าใจ
“ตราบใดที่สถานการณ์ของเผ่าอสูรคลี่คลายแล้ว ไม่ว่าจะฆ่ามันหรือไม่ก็มิใช่เรื่องที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากท่าทางของเจ๋อหลิวในตอนนี้ ข้าเชื่อว่ามันคงไม่ก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายใดในอนาคตอีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างปลอบใจ นางเข้าใจดีว่าในบางครา การสะสางปัญหามิได้หมายความว่าจะต้องสังหารผู้นั้นเสมอไป เจ๋อหลิวได้ชดใช้สิ่งที่ทำพอสมควรแล้วและไม่จำเป็นต้องสังหารมันอีก
“ขอบคุณนายหญิงที่เข้าใจ”
ซิวยิ้มอีกครั้งก่อนชำเลืองมองเจ๋อหลิวโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
“กิเลน เจ้ารับหน้าที่จัดการคนผู้นี้ก็แล้วกัน นำตัวเขาไปที่ชนเผ่าเอลฟ์ ข้าเชื่อว่าราชินีเอลฟ์จะต้องชอบของขวัญชิ้นนี้เป็นแน่”
ฉินอวี้โม่ชี้ไปที่ตู้จ้งซึ่งยังแสดงสีหน้าขอร้องอ้อนวอนอยู่บนพื้นพร้อมกับสั่งการกับกิเลนอัคคี
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก ข้าจะให้เจ้านี่พาไป”
กิเลนอัคคียิ้มร่าและเดินตรงเข้าไปหาตู้จ้งเพื่อปิดผนึกพลังของเขาไว้
“เจ้ามังกรเหมันต์ นำตัวคนผู้นี้ไปส่งที่ชนเผ่าเอลฟ์ จากนั้นก็กลับมาหาพวกเรา”
กิเลนอัคคีเรียกมังกรเหมันต์ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของหานโม่ฉือออกมาและถ่ายทอดคำสั่งทันที
เวลานี้มังกรเหมันต์ไม่มีความเย่อหยิ่งหรือทะนงตนเหมือนในอดีตอีกต่อไป หากแต่แทนที่ด้วยความเชื่อฟังเมื่อถูกควบคุมโดยกิเลนอัคคีและไม่มีความคิดที่จะต่อต้านหรือขัดขืนอีกต่อไป
“ขอรับ ท่านกิเลน”
มังกรเหมันต์พยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนคว้าร่างตู้จ้งและหายวับไปตรงหน้าทุกคน
ฉินอวี้โม่ไม่ขัดขวางแต่อย่างใด ในตอนนี้มังกรเหมันต์มีความแข็งแกร่งในระดับนภาเซียนขั้นสูงสุดแล้ว ไม่อาจทราบได้เลยว่ากิเลนอัคคีบ่มเพาะฝึกฝนมันมาอย่างไร
“ซิว ต่อไปเจ้าวางแผนที่จะรับตำแหน่งผู้นำเผ่าอสูรรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปหาซิวและเอ่ยถามเบา ๆ เผ่าอสูรต้องการผู้นำที่ดีและด้วยพลังอำนาจของซิว มันก็เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นอย่างแน่นอน
“ไม่ ข้าจะเดินทางไปที่ชนเผ่ามายากับท่าน ที่นี่มีผู้ดูแลที่เหมาะสมอยู่แล้ว”
ซิวส่ายศีรษะปฏิเสธ มันไม่เคยสนใจตำแหน่งนี้เลยสักนิด หากดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของเผ่าอสูร แล้วมันจะมีความสุขของการได้ใช้เวลาร่วมกับฉินอวี้โม่ได้อย่างไร ?
“ท่านเทพอสูร ไม่มีปัญหาหากว่าท่านจะให้ผู้อื่นดูแลสถานการณ์ของเผ่าอสูร ทว่าพวกเรายังหวังว่าท่านจะดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของเราได้ มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะทำให้อสูรทั้งหมดรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ !”
มังกรทองแปดเล็บ—ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าอสูรกล่าวข้อเสนอของตนออกมา
“ใช่แล้ว ท่านเทพอสูรขอรับ เผ่าอสูรของเรามิอาจอยู่โดยไร้ผู้นำได้ ได้โปรดรับตำแหน่งผู้นำเถอะขอรับ สำหรับการจัดการดูแลความเรียบร้อยในแต่ละวัน ท่านจะแต่งตั้งหน้าที่ให้กับผู้ใดก็ได้”
หงส์เพลิง—ผู้อาวุโสรองของเผ่าอสูรกล่าวเสริม
ความแข็งแกร่งของอสูรทั้งสองก็ถือว่าแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ พวกมันทั้งสองไม่เห็นด้วยกับการกระทำหลายอย่างของเจ๋อหลิวและไม่มีความเคารพใด ๆ ให้กับเจ๋อหลิว ตอนนี้ในเมื่อซิวกลับมาแล้ว พวกมันจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าซิวจะรับตำแหน่งผู้ปกครองของเผ่าอสูรเพื่อเป็นการเชื่อมให้อสูรทั้งหมดในเผ่าปรองดองกันอีกครั้ง
“ซิว เผ่าอสูรต้องการผู้นำคอยปกครองชี้ทางจริง ๆ ข้าดีใจมากที่เจ้าอยากติดตามไปกับข้า อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องจัดการให้สถานการณ์ที่นี่คลี่คลายเสียก่อน เราจึงจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร้ความกังวล เจ้ารับตำแหน่งผู้นำเผ่าไปเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวโน้มน้าวใจซิวให้ตระหนักว่ามีเพียงซิวเท่านั้นที่มีทั้งพลังและความสามารถในการโน้มน้าวใจให้เผ่าอสูรดำเนินไปอย่างราบรื่น สำหรับสงครามประจันหน้าฝ่ายมารในอนาคตข้างหน้า เผ่าอสูรจะต้องมีผู้นำที่คอยออกคำสั่งและดูแลความเรียบร้อยของสถานการณ์โดยรวม และผู้นำที่เหมาะสมที่สุดก็จะต้องเป็นซิวเท่านั้น !
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะรับตำแหน่งผู้นำของเผ่าอสูรในนาม อย่างไรก็ตาม ข้าคงต้องฝากเรื่องการจัดการต่าง ๆ ให้เป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้าจะปล่อยให้เผ่าอสูรและเหล่าผู้อาวุโสดูแลสถานการณ์เผ่าอสูรของเราให้ราบรื่น”
ซิวไม่ปฏิเสธอีกต่อไปและตอบตกลงอย่างมีเงื่อนไข
“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดเจ้าก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ !”
จู่ ๆ เจ๋อหลิวซึ่งนิ่งเงียบไปก่อนหน้านี้ก็มองตรงไปที่ซิวและหัวเราะลั่นด้วยแววตาความรู้สึกที่ซับซ้อน
“ท่านพ่อท่านแม่…ข้าขอโทษ ข้าจะชดใช้ความผิดด้วยชีวิตเอง !”
หลังจากกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เจ๋อหลิวก็เตรียมควักแกนชีวิตของตนออกมา !
.