คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 698 บุกเข้าไปอย่างเปิดเผย
หลังจากการเฝ้ารอและเดินทางนานเจ็ดวัน ในที่สุดฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็ได้พบกันในเมืองวารี
“ศิษย์พี่ ไม่ต้องห่วงไปเจ้าค่ะ คงไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นหรอก”
เมื่อเห็นฉินเฟิงที่มีสีหน้ากังวลเล็กน้อย ฉินอวี้โม่ก็กล่าวปลอบเพื่อให้ความรู้สึกที่ปั่นป่วนของเขาสงบลง สำหรับลักษณะนิสัยของฉินมู่ยวี่ ฉินอวี้โม่เชื่อว่านางจะไม่สังหารฉินเหยียนและฝูหยาจือ หากไม่ทำให้นางรู้สึกกดดันจนเกินไป ฉินเหยียนและฝูหยาจือก็จะไม่เป็นอันตราย
“ข้ารู้ว่าฉินมู่ยวี่คงจะไม่ทำอะไรพวกเขา เพียงแต่ข้ากังวลว่าท่านพ่อบุญธรรมและฉินเหยียนจะคิดทำอะไรวู่วาม !”
ตอนนี้ฉินเฟิงยังคงขมวดคิ้วมุ่น เขารู้จักฉินเหยียนเป็นอย่างดี สตรีที่มั่นใจในตัวเองและทะนงตนเช่นนางจะยอมตกเป็นเครื่องมือของฉินมู่ยวี่ในการข่มขู่คนที่นางรักได้อย่างไร ?
“ไม่ต้องห่วง เชื่อมั่นในตัวพวกเขาเถอะ”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เข้าใจความกังวลของฉินเฟิงและได้เพียงกล่าวปลอบใจเพื่อให้ฉินเฟิงสบายใจมากขึ้น
“อย่าเพิ่งคิดมากเกินไปเลย ตอนนี้เราต้องเข้าไปในชนเผ่ามายาก่อนและคิดวางแผนต่อไป ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะช่วยทั้งสองได้อย่างปลอดภัย”
หานโม่ฉือกล่าวเพื่อมิให้ฉินเฟิงและฉินอวี้โม่คิดมากจนนำไปสู่ความสับสนและความกังวลใจเกินเหตุ
ฉินเฟิงและฉินอวี้โม่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และควบคุมความรู้สึกที่กังวลปั่นป่วนให้คงที่ จากนั้นทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างรวดเร็วและหารือถึงแผนการที่จะปฏิบัติใช้หลังจากเข้าไปในชนเผ่ามายา
ฝูหยาจือและฉินเหยียนถูกกักขังไว้ในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งภายในชนเผ่ามายา เวลานี้พลังของทั้งสองก็ถูกผนึกไว้โดยฉินมู่ยวี่จนไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป
“เสี่ยวเหยียน ข้าขอโทษด้วย ข้าทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน”
ฝูหยาจือกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงและมีบาดแผลอยู่ทั่วร่างกายซึ่งมาจากการที่ฉินมู่ยวี่ทรมานเขามานานหลายปี หากมิใช่เพราะจิตที่มุ่งมั่นและแกร่งกล้า เกรงว่าเขาคงไม่อาจอดทนมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
“ท่านลุงฝูหยาจือ ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ ข้าสัญญากับพี่เฟิงไว้ว่าต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”
ฉินเหยียนยิ้มบาง ๆ อย่างที่พบเห็นได้ยาก หัวใจของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งนัก
นางให้คำมั่นกับฉินเฟิงไว้ว่าจะช่วยดูแลและปกป้องให้บิดาบุญธรรมของเขาปลอดภัย ทว่าในตอนนี้ไม่เพียงแต่ฝูหยาจือเท่านั้นที่อยู่ในอันตราย ทว่านางกลับปกป้องตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น เชื่อว่าฉินมู่ยวี่จะต้องใช้ตนและผู้อาวุโสฝูหยาจือเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ฉินเฟิงและฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
ฉินเหยียนทะนงตนมาเสมอและไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ได้ วันที่นางกลายเป็นนักโทษที่ถูกกักขังโดยอาจารย์ที่เคารพมาตลอดและรอให้ฉินเฟิงมาช่วยชีวิต
“เสี่ยวเหยียน อย่าเลย…อย่าคิดเช่นนั้น รออยู่ที่นี่อย่างใจเย็นเถอะ รอให้เฟิงเอ๋อร์มาถึงที่นี่ !”
ราวกับคาดเดาความคิดของฉินเหยียนได้ ผู้อาวุโสฝูหยาจือยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวปลอบใจนาง
“ท่านลุงฝูหยาจือ ข้า…”
ฉินเหยียนต้องการตอบบางอย่างกลับไปเมื่อได้ยินวาจาของฝูหยาจือ ทว่าเพียงเมื่อเอ่ยปาก นางก็ไม่อาจสรรหาคำพูดใดได้ เวลานี้หัวใจของนางมีความคิดที่จะปลิดชีวิตตนเองอยู่จริง ๆ นางไม่ต้องการให้ฉินเฟิงได้เห็นด้านที่ย่ำแย่ที่สุดของตนและจะไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือให้ฉินมู่ยวี่ใช้เพื่อข่มขู่ฉินเฟิง
“เด็กโง่เอ๋ย ข้ารู้ว่าเจ้าและฉินเฟิงรักกันมาก หากเฟิงเอ๋อร์มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ เจ้าคิดว่าเขาจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นจงอย่าคิดว่าจะหนีปัญหาได้หากเจ้าตายไป เพราะถ้าเจ้าตาย เฟิงเอ๋อร์จะต้องคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นท่าทางของฉินเหยียนที่ต้องการกล่าวบางอย่าง ฝูหยาจือก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวเสริมออกไป
เมื่อฉินเหยียนและฉินเฟิงยังเยาว์วัย เขาได้มองดูทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน แน่นอนว่าเขาทราบดีถึงความรู้สึกในใจของคนทั้งสอง
เพียงแต่ว่า…ด้วยจุดยืนที่ช่างแตกต่างกัน ทั้งสองจึงต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ ทว่าตอนนี้ฉินเหยียนก็ประกาศจุดยืนของตนและแตกหักกับฉินมู่ยวี่แล้ว เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับจุดยืนที่ต่างกันอีกต่อไป
ตราบใดที่สะสางเรื่องวุ่นวายในชนเผ่ามายาได้ ทั้งสองก็จะได้ใช้ชีวิตและครองรักกันอย่างมีความสุข เวลานี้ หากฉินเหยียนฆ่าตัวตายเพียงเพราะความคิดชั่ววูบ ฉินเฟิงจะต้องเสียสติและคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน
เพราะเหตุนั้น ฝูหยาจือจึงมีความคิดหนึ่งอยู่ในใจ หากมีใครสักคนที่ต้องตาย เขาก็จะยอมเป็นคนนั้นและเลือกที่จะตายเสียเอง ในฐานะบิดาบุญธรรม นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาจะทำให้กับฉินเฟิงได้
เมื่อได้ยินวาจาของฝูหยาจือ ความคิดฆ่าตัวตายของฉินเหยียนก็ค่อย ๆ หายไป นางไม่ต้องการทำให้ฉินเฟิงไม่มีความสุขและไม่ต้องการให้เขาเสียสติเพราะความเศร้าเสียใจ ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ต้องการเห็นด้วยตัวเองว่าตนมีความสำคัญเพียงใดในหัวใจของฉินเฟิง
“ท่านลุง ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากพยักศีรษะและสงบสติอารมณ์ลง ฉินเหยียนก็ตั้งตารอให้ฉินเฟิงมาช่วยชีวิตของพวกตน
แม้ฉินมู่ยวี่จะกักขังทั้งสองไว้ ทว่านางก็แทบไม่ส่งผู้ใดมาทรมานพวกนาง ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ฉินเหยียนและฝูหยาจือก็ไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าตนถูกขังอยู่ในส่วนใดของชนเผ่ามายา
ในตอนนี้หัวใจของทั้งสองได้เพียงวิงวอนด้วยหวังว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะหาที่นี่พบและช่วยชีวิตพวกตนออกไปให้ได้
ในขณะเดียวกันนั้น ฉินอวี้โม่และคณะก็มาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำทางไปสู่ชนเผ่ามายา จากนั้นพวกนางก็ไม่พยายามหลบซ่อนและเลือกที่จะมุ่งหน้าตรงเข้าไปในชนเผ่ามายาอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ หานโม่ฉือก็ยังคงอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวและไม่ออกมาข้างนอก ครานี้ภารกิจของเขาคือการแยกตัวออกไปช่วยเหลือฝูหยาจือและฉินเหยียน ในขณะที่ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงจะพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของฉินมู่ยวี่
หลังจากข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็ปรากฏตัวในชนเผ่ามายา
ในเวลานี้ หานโม่ฉือก็แยกตัวออกจากฉินอวี้โม่และฉินเฟิงเพื่อตามหาตำแหน่งของฉินเหยียนและฝูหยาจืออย่างเงียบ ๆ
จากนั้นฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็พบเมืองที่อยู่ใกล้เคียงก่อนเปิดเผยสถานะของตนกับชาวเมืองอย่างใจเย็นและบอกให้พวกเขาแจ้งเรื่องนี้ให้ฉินมู่ยวี่ทราบ
“ไปบอกฉินมู่ยวี่ว่าฉินอวี้โม่และฉินเฟิงอยู่ที่นี่แล้ว !”
เมื่อได้ยินชื่อของคนแปลกหน้าทั้งสอง เจ้าเมืองของเมืองเล็ก ๆ แห่งนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะก่อนสีหน้ากลายเป็นความหวาดหวั่น เขาไม่กล้ารีรอและมุ่งหน้าตรงไปแจ้งข่าวให้ฉินมู่ยวี่ทราบอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็พักผ่อนอยู่ในเมืองที่มีชื่อว่า ‘เมืองเมี่ยว’ อย่างสบายใจเพื่อรอให้ฉินมู่ยวี่ส่งคนมาหาตน
เวลานี้ ข่าวเรื่องเทพมายาคนใหม่ปรากฏตัวในชนเผ่ามายาก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งชนเผ่ามายาอย่างรวดเร็วราวไฟป่า…
“ฮ่า ๆ ๆ ต้องยอมรับว่าเจ้าพวกนั้นกล้าหาญมากทีเดียว ไม่คาดคิดว่าจะบุกเข้ามาที่นี่อย่างยโสโอหังยิ่งนัก !”
ฉินมู่ยวี่หัวเราะอย่างเย้ยหยันเมื่อได้รับข่าวว่าคนทั้งสองมาถึง นางไม่รอช้าและนำทางทุกคนมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเมี่ยวทันที นอกจากนี้นางยังสั่งให้คนพาตัวฉินเหยียนออกมาเพื่อนำตัวไปที่เมืองเมี่ยวเช่นกัน นางก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าฉินเฟิงจะเลือกใครระหว่างฉินเหยียนและฝูหยาจือ
“จิ๊จิ๊จิ๊ ฉินอวี้โม่ ฉินเฟิง พวกเจ้าช่างกล้านัก !”
เมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนของฉินอวี้โม่และฉินเฟิงภายในจวนเจ้าเมืองเมี่ยว ฉินมู่ยวี่ก็แสยะยิ้มออกมา คนทั้งสองต่างก็ปล่อยตัวสบาย ๆ ภายในจวนเจ้าเมืองและถึงขั้นดื่มสุรากันเล็กน้อยโดยไม่มีท่าทีหวาดหวั่นต่อนางเลย
“โอ้ ? หากไม่กล้ามากพอ ข้าจะเอาคืนเจ้าอย่างสาสมได้อย่างไรล่ะ ! เจ้าคนทรยศ !”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ขณะมองตรงไปที่ฉินมู่ยวี่ผู้ซึ่งยังงดงามและไม่อาจละสายตาเช่นเดิม จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นเบา ๆ “ฉินมู่ยวี่ เมื่อพันปีก่อน เจ้าคิดว่าเจ้าชนะจริง ๆ หรือ ?”
จู่ ๆ นางก็นึกอยากเยาะเย้ยฉินมู่ยวี่ขึ้นมา บุคคลทรยศผู้นี้คิดว่าตนคว้าชัยชนะได้อย่างแท้จริง เพียงแต่นางคงคิดไม่ถึงเลยว่าฉินเฟยเหยียนยังไม่ตายด้วยซ้ำ
หากมิใช่เพราะเหตุการณ์ชี้เป็นชี้ตายที่ฉินมู่ยวี่ทำให้ฉินเฟยเหยียนต้องเผชิญเมื่อพันปีก่อน เกรงว่าอดีตเทพมายาก็คงไม่มีโอกาสทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตราชาเซียนและไปจากดินแดนเทพมายาแห่งนี้ ซึ่งกล่าวได้ว่าแท้ที่จริงแล้วผู้ที่พ่ายแพ้ในสงครามเมื่อพันปีก่อนก็คือฉินมู่ยวี่ผู้นี้นั่นเอง
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินเฟยเหยียนตายไปแล้วและชนเผ่ามายาก็ตกเป็นของข้ามานานนับพันปี หากข้ามิใช่ผู้ชนะแล้วใครกันที่เป็นผู้ชนะ ?”
ฉินมู่ยวี่นั่งลงอย่างสบาย ๆ หากผู้ใดไม่ทราบเรื่องราวความเป็นมาที่แท้จริงก็คงคิดไปได้ว่านาง ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงเป็นสหายเก่าแก่ที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานและกำลังรำลึกความหลังในอดีต
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าคิดว่าเจ้าฆ่าเฟยเหยียนได้สำเร็จจริง ๆ รึ ?”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “ฉินมู่ยวี่…เจ้าคิดว่าข้าดูเหมือนใครบางคนหรือไม่? เจ้าลองนึกดูดี ๆ”
เมื่อพันปีก่อน ชิงเหอและฉินมู่ยวี่ก็เคยได้พบหน้ากันหลายครั้งหลายครา แม้จะไม่สนิทสนมกัน ทว่าหากกล่าวเตือนสติ นางเชื่อว่าฉินมู่ยวี่ก็น่าจะนึกถึงความทรงจำในอดีตได้ไม่ยาก
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ฉินมู่ยวี่ก็เพ่งมองดูใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณา หลังจากไตร่ตรองเพียงครู่เดียว ในที่สุดสตรีคนหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของนาง
สตรีผู้นั้นคือสหายของฉินเฟยเหยียนและเป็นคนที่ทำให้นางอิจฉาริษยามาเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น สตรีผู้นั้นก็มีบุรุษรูปงามและทรงพลังคอยติดตามอยู่ข้างกายซึ่งทำให้ฉินมู่ยวี่อิจฉาตาร้อนยิ่งกว่าเดิม เดิมทีนางก็ต้องการสร้างไมตรีสานความสัมพันธ์กับบุรุษผู้นั้นเช่นกัน ทว่าตนกลับไม่เคยอยู่ในสายตา
“ชิงเหอ เป็นเจ้านั่นเอง !”
ขณะมองดูสีหน้าเรียบเฉยของฉินอวี้โม่ ฉินมู่ยวี่ก็อดลุกขึ้นและชี้หน้าพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่นและแตกตื่นไม่ได้
“ถูกต้อง ข้าเอง ! ฉินมู่ยวี่ เจ้าลองคิดดูสิว่าเหตุใดข้าจึงยังมีชีวิตอยู่ ? และเหตุใดข้าจึงมีกายเทพมายาอยู่กับตัว ? หากมิใช่เพราะสิ่งที่ฉินเฟยเหยียนตั้งใจไว้ มันจะบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า ?”
ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ และจ้องมองฉินมู่ยวี่ด้วยแววตาเหน็บแนมถากถาง
“ฉินเฟยเหยียนยังไม่ตาย !”
เพียงนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ สีหน้าของฉินมู่ยวี่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนผู้นั้นคือคนที่นางหวาดกลัวมากที่สุดและเป็นคนที่นางชิงชังมากที่สุดเช่นกัน ตลอดเวลานานนับพันปีที่ผ่านมา นางคิดมาเสมอว่าคนผู้นั้นได้ตายไปแล้ว หากจะกล่าวว่าความจริงมิใช่เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
“ใช่แล้ว…นางยังไม่ตาย ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้สำเร็จและขึ้นไปอยู่ในดินแดนระดับสูง การกระทำของเจ้าในครานั้นทำให้นางต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่และช่วยให้นางข้ามผ่านขีดจำกัดของตนเองไปได้ เรียกได้ว่าการกระทำของเจ้าในครานั้นช่วยให้นางแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น !”
ด้วยความตั้งใจที่จะทำร้ายจิตใจของฉินมู่ยวี่ ฉินอวี้โม่จึงกล่าวสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างเรียบเฉยและแฝงด้วยความหมายที่ย้ำเตือนว่าฉินมู่ยวี่ไม่มีทางเทียบชั้นหรือเหนือกว่าฉินเฟยเหยียนได้ ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็ตาม
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ อย่าพยายามโกหกข้าเลย ! หากนางยังไม่ตายจริง ๆ นางจะเสียกายเทพมายาไปได้อย่างไร ! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้…เว้นเพียงแต่ว่าเจ้าของเดิมตายไปเท่านั้น ผู้สืบทอดคนใหม่จึงจะมีสิทธิ์ครองกายเทพมายาได้!”
ฉินมู่ยวี่ใจเย็นลง นางทราบว่าไม่มีทางที่ฉินเฟยเหยียนจะเอาตัวรอดจากอาการบาดเจ็บแสนสาหัสเมื่อพันปีก่อนได้ นางตายแล้วแน่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็แค่พยายามโกหกเพื่อทำให้ข้าตื่นกลัว !
“เหอะ ! อย่าพูดพล่ามไร้สาระไปเลย ในเมื่อพวกเจ้าริอาจมาถึงชนเผ่ามายาของข้าเพื่อรนหาที่ตาย อย่าหาว่าข้าโหดร้ายก็แล้วกัน !”
แปะ แปะ !
นางแค่นเสียงเย็นชาก่อนปรบมือส่งสัญญาณ จากนั้นฉินเหยียนก็ถูกพาตัวออกมา
“ฉินเหยียน !”
เมื่อเห็นหน้าฉินเหยียน ฉินเฟิงก็อดเอ่ยตะโกนออกไปด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
ฉินเหยียนมองตอบเขาด้วยแววตาความรู้สึกที่ซับซ้อนทว่าไม่เอ่ยปากกล่าวสิ่งใด
“ฉินมู่ยวี่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวอะไรกับฉินเหยียน มาสู้กับข้าจะดีกว่า !”
ฉินเฟิงมองฉินมู่ยวี่ด้วยแววตาแข็งกร้าวและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยจิตสังหารแรงกล้า เขารู้สึกผิดกับฉินเหยียนอย่างที่สุดและเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้นางต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้…
.