คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 699 การตัดสินใจของฉินเหยียน
บรรยากาศในตอนนี้เรียกได้ว่าตึงเครียดอย่างยิ่ง
ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงกำลังเผชิญหน้ากับฉินมู่ยวี่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยนัก ฝ่ายของนางมีกันเพียงสองคนเท่านั้นในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนนับร้อยคนและทุกคนล้วนมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเหยียนและฝูหยาจือก็ยังอยู่ในการควบคุมของฉินมู่ยวี่ส่งผลให้ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงกังวลที่จะทำสิ่งใดบุ่มบ่ามออกไป
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็เคยคิดว่าสิ่งใดกันที่จะทำให้ฉินเหยียนกล้าทรยศหักหลังข้า ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”
ฉินมู่ยวี่แสยะยิ้มและกล่าวพลางชำเลืองมองไปที่ฉินเฟิง
ฉินเหยียนและฉินเฟิงมีความผูกพันใกล้ชิดกันมาตั้งแต่วัยเด็ก หากทั้งสองจะมีความรักต่อกันก็มิใช่สิ่งที่จะทำให้ฉินมู่ยวี่แปลกใจ นางเพียงไม่คิดเลยว่าฉินเหยียนที่ประพฤติตัวดีมาเสมอจะคิดทรยศนางเพื่อบุรุษเพียงคนเดียว
ฉินมู่ยวี่ไม่เคยตกหลุมรักผู้ใดมาก่อนตลอดชีวิตที่ผ่านมา แน่นอนว่านางย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกที่ลึกซึ้งและซับซ้อนอย่าง ‘ความรัก’ ตลอดชีวิตที่ผ่านมามากกว่าพันปี นางไม่เคยมีความรู้สึกโอนอ่อนหรือหวั่นไหวใด ๆ
“ฉินมู่ยวี่ เจ้าจับตัวผู้อาวุโสฝูหยาจือและฉินเหยียนไว้ก็เพื่อกดดันให้พวกข้าปรากฏตัวมิใช่รึ ? ตอนนี้ข้ามาถึงที่นี่แล้ว มาสู้กับข้าเถอะ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นโดยไม่มีสีหน้าตึงเครียดหรือกังวลใด ๆ ฉินมู่ยวี่ทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อบีบบังคับให้นางต้องแสดงตัว และในเมื่อมาเยือนถึงถิ่นของอีกฝ่ายแล้ว แน่นอนว่านางก็วางแผนที่จะต่อสู้ประจันหน้ากับฉินมู่ยวี่โดยตรง
“ฉินอวี้โม่ !”
ฉินมู่ยวี่มองตรงมาที่ฉินอวี้โม่และขมวดคิ้วเล็กน้อย ต้องกล่าวเลยว่าแม้เคยพบหน้ามาก่อนหน้านี้แล้ว นางก็ยังแอบรู้สึกริษยาทุกคราที่ได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ผู้นี้
และการที่ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็คือชิงเหอในอดีต ความจริงข้อนี้ก็ทำให้ฉินมู่ยวี่ไม่อยากเชื่อเลยสักนิด
เมื่อพันปีก่อน นางได้พบกับชิงเหอผู้เป็นสหายคนสนิทของฉินเฟยเหยียนซึ่งยอดเยี่ยมโดดเด่นในทุกด้านไม่ต่างจากเทพมายาจนทำให้นางรู้สึกริษยาขึ้นมา ในตอนแรก นางเคยแสดงความเป็นมิตรกับชิงเหอหลายคราและต้องการเป็นมิตรสหายที่ดีด้วย ทว่าชิงเหอกลับไม่เคยเปิดใจและไม่เคยมองตนเช่นนั้น หลังจากสงครามครานั้น นางเชื่อมาตลอดว่าทั้งชิงเหอและฉินเฟยเหยียนเสียชีวิตไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าชิงเหอจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งและเปลี่ยนแปลงตัวตนอย่างสิ้นเชิง ซ้ำร้ายยังกล่าวอีกว่าฉินเฟยเหยียนยังมีชีวิตอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น ชิงเหอที่กลายเป็นฉินอวี้โม่ในตอนนี้ก็ทั้งเก่งกาจและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อพันปีก่อนเสียอีก เรียกได้ว่านางแทบจะเป็นตัวตนที่รวมข้อดีทุกอย่างของชิงเหอและฉินเฟยเหยียนเข้าด้วยกัน เวลานี้ฉินมู่ยวี่ก็อิจฉาริษยาเป็นที่สุดไม่ว่าจะเป็นในแง่ของพรสวรรค์ รูปลักษณ์หรือความแข็งแกร่ง
“ฉินอวี้โม่ หากเจ้ามีเวลาพัฒนาตนเองอีกละก็ แม้แต่ข้าก็ยังต้องหวาดหวั่น ทว่าตอนนี้เจ้ายังเป็นลูกนกที่ไม่สามารถสยายปีกได้อย่างเต็มที่ ข้าจะฆ่าเจ้าและครอบครองกายเทพมายามาเป็นของข้าเสีย ในเมื่อเจ้ากล่าวว่าฉินเฟยเหยียนยังไม่ตาย ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะฆ่าสหายรักของนางที่เรียกได้ว่าเป็นผู้สืบทอดกายวิเศษจากนาง อยากเห็นนักว่าเมื่อได้ทราบเช่นนี้แล้วนางจะปรากฏตัวอีกรึไม่ !”
ฉินมู่ยวี่แผ่จิตสังหารรุนแรงออกไปอย่างไม่ปิดบัง ฉินอวี้โม่ผู้นี้ทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามที่ใหญ่หลวง ไม่ว่าอย่างไร นางจะต้องปลิดชีวิตสตรีผู้นี้ให้ได้เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในอนาคตอีก
“โอ้ งั้นรึ ? นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมีฝีมือพอรึเปล่า !”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอและไม่รู้สึกหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ต่อให้เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ นางก็มั่นใจว่าจะหลบหนีเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน วันนี้นางยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่งซึ่งก็คือการหาทางช่วยฉินเหยียนและฝูหยาจือ ตราบใดที่ช่วยทั้งสองได้สำเร็จ ฉินมู่ยวี่ก็จะไม่มีสิ่งใดที่ใช้ข่มขู่พวกนางได้อีกต่อไป
“แม้ผ่านมาเป็นพันปี เจ้าก็ยังทะนงตนไม่เปลี่ยน !”
ฉินมู่ยวี่แสยะยิ้มและกล่าวต่อ “คิดว่าข้าจะสู้กับเจ้างั้นรึ ? ฉินเหยียนและฝูหยาจือยังอยู่ในกำมือของข้า หากเจ้าคิดจะช่วยทั้งสองละก็ ฉินอวี้โม่…เจ้าจงปิดผนึกพลังของตนเองซะและปล่อยให้ข้าจัดการกับเจ้า มิฉะนั้น…ข้าก็ไม่รับประกันความปลอดภัยของคนทั้งสอง !”
ฉินมู่ยวี่มิได้เกรงกลัวในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ เพียงแต่จอมยุทธ์มากพรสวรรค์ผู้นี้ก็ซ่อนไพ่ตายอีกมากที่นางมิอาจรู้ เพราะเหตุนั้น หากประชันฝีมือกันจริง ฉินมู่ยวี่จึงไม่มั่นใจในชัยชนะเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น การที่พลังของเทพอสูรถูกปลุกขึ้นมาแล้ว นั่นก็หมายความว่าพลังของซิวจะต้องฟื้นฟูกลับคืนสู่ความแข็งแกร่งสูงสุดอย่างแน่นอน หากต้องต่อสู้กันจริง ต่อให้ฝ่ายของฉินมู่ยวี่จะมีจำนวนมากกว่าและทรงพลังกว่าก็ยังไม่สามารถรับประกันชัยชนะได้
“เหอะ ฉินอวี้โม่ ฉินเฟิง ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ข้าบอกไปอย่างชัดเจนตั้งแต่คราก่อนแล้วว่าเราจะเป็นศัตรูกันเสมอ ข้ายอมรับว่าข้าเคยชอบและหลงใหลในตัวฉินเฟิง ทว่าตอนนี้ข้าไม่มีความรู้สึกนั้นอีกต่อไปแล้ว สาเหตุที่ข้าปกป้องผู้อาวุโสฝูหยาจือมาตลอดหลายปีนี้ ข้าเพียงคิดว่าผู้อาวุโสฝูหยาจือดูแลข้ามาอย่างดีตั้งแต่วัยเด็กก็เท่านั้น”
ทันใดนั้น ฉินเหยียนก็แค่นเสียงและกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวผิดปกติราวกับต้องการประกาศจุดยืนของความสัมพันธ์ระหว่างตนกับฉินอวี้โม่และฉินเฟิงให้ชัดเจน
“โอ้ ? เจ้าไม่รักฉินเฟิงแล้วงั้นรึ ? ฮ่า ๆ ๆ”
ฉินมู่ยวี่หัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินวาจาของฉินเหยียน ไม่ว่าจะใช้น้ำเสียงชัดเจนหนักแน่นเพียงใด นางก็ไม่เชื่อวาจาของฉินเหยียนแม้แต่น้อย
“ท่านอาจารย์ ข้าไม่รักเขาแล้วจริง ๆ ในชีวิตนี้ ข้าจะไม่มีทางเป็นภรรยาของเขา หากข้าทำผิดคำสาบานนี้ ข้าขอให้สวรรค์เบื้องบนลงโทษข้า !”
ฉินเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เด็ดขาด นางไม่ต้องการเป็นภาระของฉินเฟิง หากไม่สามารถลงเอยด้วยกันได้ นางก็ยอมให้ฉินเฟิงสังหารตนเสียจะดีกว่า ทว่าไม่ต้องการให้เขาต้องสูญเสียชีวิตของตนเองเพื่อนาง
เมื่อได้ยินวาจาหนักแน่นของนาง สีหน้าของฉินเฟิงก็เหยเกไปชั่วขณะ เขาทราบดีว่าเหตุใดฉินเหยียนจึงทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม การกล่าวคำสาบานเช่นนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ครองรักกันในชีวิตนี้
“ศิษย์พี่ฉินเฟิง ไม่ต้องห่วง ฉินเหยียนเพียงกล่าวว่าจะไม่เป็นภรรยาของท่านเท่านั้น ไม่ได้กล่าวว่านางและท่านจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ หากท่านไม่รังเกียจ หลังจากสะสางเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย ท่านและนางจะได้ครองรักกันอย่างมีความสุขแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าวปลอบใจฉินเฟิงเบา ๆ เพราะหากทั้งสองไม่ถือสา เพียงแค่การที่ไม่ได้มีสถานะสามีและภรรยาก็ไม่มีทางขัดขวางความรักของทั้งสองได้ ตราบใดที่ทั้งสองรักกัน นางเชื่อว่าฉินเฟิงและฉินเหยียนจะได้ครองรักอยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้เลยจริง ๆ !”
ฉินมู่ยวี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง นางทราบดีว่าความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคงที่สุดและไม่สามารถเชื่อถือยึดมั่นได้ ตอนนี้การที่ฉินเหยียนประกาศตัดสัมพันธ์กับฉินเฟิงอย่างไม่ลังเล เกรงว่าคงจะเป็นเพราะนางทราบดีว่าวันนี้ฉินเฟิงคงจะต้องตายไปอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเลือกที่จะตัดขาดความสัมพันธ์และเอาตัวรอด
ด้วยความที่ไม่เข้าใจในเรื่องอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน แน่นอนว่าฉินมู่ยวี่ก็ไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าฉินเหยียนทำสิ่งนี้เพราะเหตุใด
“ท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายและตอนนี้ข้าไม่มีหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้อีกแล้ว หากมีชีวิตหน้า ข้าก็จะไม่ขอเป็นลูกศิษย์ของท่านอีกต่อไป ข้าเพียงหวังว่าจะได้เป็นคนธรรมดาและได้ครองรักอย่างมีความสุขกับบุรุษที่ข้ารักไปตลอดชีวิต”
ฉินเหยียนมองฉินเฟิงด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ และทันใดนั้น นางก็หยิบกระบี่เล่มคมออกมาและตั้งท่าเตรียมแทงเข้าตรงหัวใจของตนเอง ดูเหมือนว่านางคิดที่จะสะสางปัญหาทุกอย่างด้วยความตายของตน
“ไม่นะ !”
ฉินเฟิงโพล่งออกไปทันที ทว่าเขาก็อยู่ห่างจากฉินเหยียนมากเกินไป ต่อให้เขาจะพยายามเข้าไปช่วย มันก็คงจะสายเกินไป
สีหน้าของฉินอวี้โม่เองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน นางคิดไม่ถึงเลยว่าฉินเหยียนจะตัดสินใจเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ฉินเหยียนไม่ลังเลที่จะฆ่าตัวตายเพียงเพราะไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของฉินเฟิง
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของฉินมู่ยวี่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ในความจริง นางสามารถหยุดฉินเหยียนได้ ทว่านางกลับเลือกที่จะไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ
สำหรับนาง ฉินเหยียนเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็มิใช่สิ่งที่นางจะต้องสนใจ
ฉินเหยียนเป็นศิษย์ที่ติดตามนางมานานหลายปี ทว่านางกลับไม่มีความรู้สึกผูกพันใด ๆ หากมิใช่เพราะต้องการใช้ฉินเหยียนเป็นเครื่องมือข่มขู่ฉินอวี้โม่และฉินเฟิง นางก็คงจะสังหารศิษย์ผู้นี้ไปนานแล้ว
แต่ทว่า…ทันทีที่กระบี่ในมือของฉินเหยียนกำลังจะแทงเข้าในร่าง จู่ ๆ โครงร่างหนึ่งก็ปรากฏข้างกายนางอย่างไม่มีที่มา เจ้าของร่างนี้ก็คือสตรีงดงามที่ดูสง่างามและสุขุม ความงดงามสะดุดตาทำให้นางดูราวกับเทพธิดามาจุติตรงหน้าทุกคน
“อ๊ะ…เจ้าเด็กโง่เอ๋ย เหตุใดจึงตัดสินใจทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้”
สตรีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ และการเคลื่อนไหวของฉินเหยียนก็หยุดชะงักไป จากนั้นกระบี่ในมือของนางก็เปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่านก่อนสลายหายไปกลางอากาศ
เมื่อเห็นร่างนั้น ฉินอวี้โม่และอีกหลายคนก็ตกตะลึงไปทันที สตรีผู้นี้…พวกนางล้วนเคยพบหน้ามาก่อน…
ในอีกฟากหนึ่งของชนเผ่ามายา หลังจากแยกกับฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและกิเลนอัคคีรวมถึงอสูรมายาอีกจำนวนหนึ่งก็แอบลักลอบเข้ามาจนถึงบริเวณจุดศูนย์กลางของชนเผ่ามายา
หากหานโม่ฉือคาดการณ์ไม่ผิด ฝูหยาจือคงจะถูกกักขังอยู่ในพื้นที่เขตต้องห้ามสักแห่งหนึ่งภายในชนเผ่ามายา
พลังอำนาจของหานโม่ฉืออยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดและพลังของกิเลนอัคคีและอสูรตัวอื่น ๆ ก็ไม่ธรรมเลยเช่นกัน แม้มีผู้พิทักษ์คุ้มกันกระจายตัวอยู่เป็นจำนวนมากระหว่างทาง พวกเขาก็หลบเลี่ยงมาได้อย่างสบาย ๆ
เมื่อเข้าใกล้เขตต้องห้ามของชนเผ่ามายา หานโม่ฉือก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นายท่าน ในเขตต้องห้ามแห่งนี้ดูเหมือนจะมีข่ายอาคมซับซ้อนอยู่มาก รวมถึงค่ายกลบางอย่างเช่นกัน ข้าเชื่อว่าผู้ที่สร้างเขตหวงห้ามแห่งนี้ขึ้นมาจะต้องไม่ธรรมดาแน่”
กิเลนอัคคีแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจโดยรอบและค้นพบสถานการณ์ของมัน พื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้เต็มไปด้วยค่ายกลและข่ายอาคมหลากหลายประเภทซึ่งผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด หากบุกฝ่าเข้าไปอย่างไร้แผนการ คนผู้นั้นจะต้องเผชิญกับอันตรายมากมายอย่างแน่นอน
“ใช่ ข้าก็รู้สึกได้เช่นกัน ผู้อาวุโสฝูหยาจือจะต้องอยู่ในเขตต้องห้ามนี้แน่ หากต้องการจะช่วยเหลือเขา เราต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและก้าวเข้าไปในข่ายอาคมอย่างไม่ลังเล
ตราบใดที่ช่วยฝูหยาจือได้สำเร็จ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลต่อการรับมือกับฉินมู่ยวี่อีกต่อไป ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงรับหน้าที่เบี่ยงเบนความสนใจของฉินมู่ยวี่ในขณะที่เขารับหน้าที่ช่วยฝูหยาจือให้ได้โดยใช้เวลาน้อยที่สุด
หานโม่ฉือชำนาญด้านค่ายกลหลากหลายรูปแบบและทราบเกี่ยวกับศาสตร์การวางข่ายอาคมมากพอสมควร เมื่อก้าวเข้าไปในช่วงแรก ๆ แน่นอนว่าทั้งค่ายกลและข่ายอาคมไม่สามารถสร้างปัญหาใดให้กับเขาและเขาก็ข้ามผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเข้าไปใกล้เพียงใด การเชื่อมโยงประสานกันระหว่างค่ายกลและข่ายอาคมก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ข่ายอาคมและค่ายกลกับดักต่าง ๆ ก็จะทรงพลังมากขึ้นเช่นกัน
ในทุกย่างก้าวของหานโม่ฉือ เขาจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างดีเพื่อป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้นได้
โชคดีที่เขาอยู่กับฉินอวี้โม่มาตลอดหลายปีและมีโอกาสศึกษาทักษะการวางข่ายอาคมเป็นจำนวนมาก เพราะเหตุนั้น การฝ่าผ่านข่ายอาคมเหล่านี้จึงมิใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถของเขา
หลังจากเดินตรงเข้าไประยะหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่มหาศาลอย่างยิ่ง อย่างน้อยพลังนั้นก็อยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดซึ่งไม่ด้อยไปกว่าเขาเท่าใดนัก หลังจากไตร่ตรองดู เขาก็คิดได้ว่าพลังดังกล่าวน่าจะมาจากผู้พิทักษ์ของพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันมิให้คนนอกย่างกรายเข้ามาได้
“กรรร !”
ด้วยเสียงคำรามดังสนั่น บุรุษร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าหานโม่ฉือและจ้องหน้าเขาด้วยแววตาดุดันขณะคำรามออกมา
บุรุษผู้นั้นมีความสูงมากกว่าสองเมตรและใบหน้าของเขาก็สกปรกจนไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจน ทว่าดวงตาสีแดงก่ำและกล้ามเนื้อกำยำของเขาก็แสดงให้เห็นว่าเขามิใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน
ราวกับว่าเขาไม่มีจิตนึกคิดแต่อย่างใดขณะปล่อยเสียงคำรามเหมือนอสูรและจ้องหน้าหานโม่ฉือด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
“นายท่าน ดูเหมือนว่าจิตของคนผู้นี้จะถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเขาก็เหมือนจะผ่านการกลายพันธุ์บางอย่างซึ่งทำให้มีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าคนทั่วไป นี่คงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากแน่ ๆ !”
ทันทีที่สิ้นเสียงเตือนของกิเลนอัคคี บุรุษผู้นั้นก็พุ่งโจมตีเข้าใส่หานโม่ฉือ !
.