คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 709 ฉินเหยียนประสบเหตุ
ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ บุปผาแห่งแสงและบุปผาแห่งความมืดคือสามพฤกษาที่มหัศจรรย์ในตำนาน เพียงได้ครอบครองหนึ่งในนั้นก็สามารถทำให้เจ้าของกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ และหากมีพวกมันทั้งหมดอยู่ในมือพร้อมกัน นั่นก็คือพลังอำนาจที่มากพอจะกวาดล้างไปทั่วทั้งดินแดน ยิ่งไปกว่านั้น หากพัฒนาพลังของพวกมันได้ต่อไป พวกมันก็จะมีพลังที่แกร่งกล้าอย่างที่สุด
เวลานี้สงครามก็ใกล้เข้ามาเต็มที บุปผาแห่งความมืดอยู่ในการครอบครองของฝ่ายมารและมันก็เกือบที่จะเจริญเติบโตเต็มวัยแล้ว ส่วนต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่และมันก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน นั่นหมายความว่าหลังจากนี้ ฝ่ายใดที่ได้บุปผาแห่งแสงไปครองจะมีความได้เปรียบอย่างมากในสงครามที่กำลังจะมาถึง
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ผู้คนในนครล่าฝันก็พยายามสืบข่าวคราวความคืบหน้าของเรื่องนี้ในขณะที่อสูรมายาของฉินอวี้โม่ก็จับตาดูความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในดินแดนเช่นกัน ทว่าพวกนางก็ไม่เคยพบเบาะแสใด พวกนางเคยสันนิษฐานไปว่าบุปผาแห่งแสงอาจไม่อยู่ในดินแดนนี้ด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าเมื่อบุปผาแห่งความมืดใกล้ที่จะเติบโตเต็มวัย จู่ ๆ ก็มีเบาะแสของบุปผาแห่งแสงปรากฏขึ้นมา…
หลังจากพักต่อในเมืองลั่วอวี่อีกหนึ่งวัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปตามทางที่ได้รับจากซิวเพื่อไปยังบริเวณที่มีเบาะแสของบุปผาแห่งแสงอย่างรวดเร็ว
กลิ่นอายของบุปผาแห่งแสงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกบนเกาะเล็ก ๆ ท่ามกลางทะเลไร้จุดจบที่มีชื่อว่า ‘เกาะไร้กังวล’
‘เกาะไร้กังวล’ ตั้งอยู่ในทางเหนือของทะเลไร้จุดจบซึ่งอยู่ไม่ไกลไปจากเกาะวายุนิ่งและห่างจากฐานทัพของฝ่ายมารไม่มากนักเช่นกัน
“นายหญิง ฮวาเหยียนอวี่นำคนกลุ่มหนึ่งตรงไปที่เกาะไร้กังวลในขณะที่คนอื่น ๆ กระจายตัวซุ่มอยู่ในเมืองต่าง ๆ รอบทะเลไร้จุดจบและบางส่วนก็กลับไปที่ฐานทัพของฝ่ายมารแล้ว ดูเหมือนว่าในการตามหาบุปผาแห่งแสงในครานี้ ผู้นำฝ่ายมารอาจจะเคลื่อนไหวออกมาด้วยตัวเอง”
ซิวสนทนากับฉินอวี้โม่ระหว่างทางเพื่ออธิบายสถานการณ์ความคืบหน้า มันยังคงติดตามกลุ่มของฮวาเหยียนอวี่ต่อไปโดยไม่กังวลว่าจะถูกค้นพบ
“เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ หากฮวาเฉินปรากฏตัวขึ้นมา เจ้าล่าถอยกลับมาหาข้าก่อน”
ฉินอวี้โม่กล่าวกำชับอสูรคู่กายทว่าไม่กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน ความแข็งแกร่งของซิวฟื้นฟูกลับคืนสู่ระดับสูงสุดแล้วและแกร่งกล้ายิ่งกว่าเมื่อพันปีก่อนเสียอีก หากฮวาเฉินปรากฏตัวและต้องประจันหน้ากัน ต่อให้เอาชนะไม่ได้ ซิวก็สามารถหลบหนีเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน
“ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจดี”
ซิวพยักศีรษะรับคำและเดินหน้าติดตามคณะของฮวาเหยียนอวี่ต่อไป
“นายหญิง ท่านจะเรียกกำลังเสริมจากนครล่าฝันรึไม่ ?”
มารยาเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ หากฮวาเฉินเคลื่อนไหวออกมาจริง ๆ ด้วยพลังอำนาจของพวกนาง การที่จะฉกฉวยเอาบุปผาแห่งแสงมาก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
“ไม่ ข้าไม่คิดที่จะต่อสู้และแย่งชิงกันอย่างซึ่ง ๆ หน้า”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวปฏิเสธ นางไม่คิดที่จะเปิดศึกกับฝ่ายมารอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ พวกนางเพิ่งได้ทราบเบาะแสของบุปผาแห่งแสงเท่านั้นและยังไม่แน่ชัดว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร เพราะเหตุนั้นจึงยังไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกคนจากนครล่าฝันให้รีบเดินทางมาที่นี่
“ไม่ต้องห่วง สหายอวี้โม่จะต้องได้บุปผาแห่งแสงมาอย่างแน่นอน”
ไป๋ฉี่มั่นใจในตัวฉินอวี้โม่อย่างมากและแน่นอนว่าเขาไม่กังวลสิ่งใดมากนัก
จากนั้นมนุษย์สองคนและบรรดาอสูรในคฤหาสน์เฟิงหัวก็ขับเคลื่อนตรงไปในทิศทางของเกาะไร้กังวล…
ณ นครล่าฝัน ฉินเทียนเรียกทุกคนมาประชุมหารือร่วมกัน
“คนของเกาะวายุนิ่งเพิ่งส่งข่าวมาหาพวกเรา พวกเขาพบเบาะแสของบุปผาแห่งแสงอยู่ในเกาะไร้กังวลซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา”
เนื่องจากมีสิ่งหลอมพิเศษอย่างอุปกรณ์สื่อสาร การสื่อสารและส่งข่าวระหว่างขุมกำลังใหญ่จึงสะดวกและรวดเร็วกว่าเดิมมาก เมื่อคนของเกาะวายุนิ่งค้นพบเบาะแสของบุปผาแห่งแสง พวกเขาก็รีบส่งข่าวแจ้งขุมกำลังพันธมิตรทันที
“เราควรส่งคนไปที่นั่นรึไม่ ?”
โอวหยางชิงเฟิงกล่าวถามด้วยท่าทีกระตือรือร้นอย่างชัดเจน
“ข้าคิดว่าไม่จำเป็น เสี่ยวโม่เอ๋อร์และโม่ฉือควรจะไปที่นั่นแล้ว พวกเขาควรจะรีบเดินทางไปทันทีที่ได้รับข่าว และด้วยความช่วยเหลือของเกาะวายุนิ่ง ทั้งสองก็น่าจะมีโอกาสฉกชิงบุปผาแห่งแสงนั่นมาได้ นครของเราอยู่ไกลจากทะเลไร้จุดจบมากนัก ต่อให้รีบมุ่งหน้าไปอย่างสุดความสามารถ มันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยเจ็ดวัน เกรงว่ากว่าจะไปถึง การต่อสู้ก็คงจะสิ้นสุดลงแล้ว”
ฉินอี้เฟยกล่าวแสดงความคิดเห็นของตนออกมา
“ข้าเห็นด้วยกับพี่อี้เฟย ด้วยความสามารถของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนของฝ่ายมารก็ลึกลับซ่อนเงื่อนเป็นที่สุด หากเราส่งคนไปที่นั่น พวกฝ่ายมารอาจจะถือโอกาสโจมตีนครล่าฝันของเราก็เป็นได้ เมื่อถึงตอนนั้น สถานการณ์ของพวกเราจะเลวร้ายลงมาก”
ฉีอวี้กล่าวขึ้นมาเช่นกัน หลังจากการสั่งสมประสบการณ์นานหลายปี เขาก็สุขุมและชาญฉลาดขึ้นมาก ความคิดความอ่านจึงเป็นผู้ใหญ่และมองการณ์ไกลกว่าก่อน
คนอื่น ๆ ไตร่ตรองครู่หนึ่งและเห็นด้วยกับวาจาของทั้งสอง หากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ พวกนางก็คงจะติดต่อมานานแล้ว
“เอาล่ะ ตกลงตามนี้ เราแยกย้ายกันไปจัดการเรื่องของตัวเองเถอะ ข้าก็จะส่งข่าวไปบอกพันธมิตรของเราว่าไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้”
ฉินเทียนกล่าวพลางพยักศีรษะเพื่อให้ทุกคนแยกย้ายกันไปและได้ส่งข่าวไปแจ้งกับเหล่าพันธมิตรในวิหารทมิฬ นครเวหารวมถึงขุมกำลังอื่น ๆ
เดิมทีวิหารทมิฬและขุมกำลังพันธมิตรก็วางแผนที่จะส่งคนไปที่เกาะไร้กังวลเช่นกัน ทว่าหลังจากได้รับข่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจของนครล่าฝันจากฉินเทียน พวกเขาเหล่านั้นก็ล้มเลิกความคิดและแยกย้ายกันไปจัดการเรื่องของตนเองต่อไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะส่งคนออกไปจับตาดูสถานการณ์ของทะเลไร้จุดจบเผื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ
…..
ในทะเลไร้จุดจบ ยิ่งมุ่งหน้าลึกเข้าไปในอาณาบริเวณของมันเพียงใด พลังวิญญาณของจอมยุทธ์ก็จะลดน้อยลงเท่านั้น และในทางกลับกัน พลังความมืดก็จะหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว อย่างไรก็ตาม ทั้งสองก็มีสภาพร่างกายที่พิเศษ ไม่ว่าพลังความมืดจะแกร่งกล้าเพียงใด มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกนางมากนัก
“นายหญิง เกาะไร้กังวลอยู่ในทางเหนือสุดของทะเลไร้จุดจบ ส่วนเกาะวายุนิ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ และฐานของฝ่ายมารก็อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ”
มารยาไม่ได้รับผลกระทบจากพลังความมืดเท่าใดนัก มันจึงสามารถแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจรอบตัวเพื่อตรวจหาทิศทางได้
“จับตาดูสถานการณ์โดยรอบไว้และดูว่ามีคนจากฝ่ายมารปรากฏตัวอยู่บ้างรึไม่”
ฉินอวี้โม่เอนพิงแขนหานโม่ฉือขณะอ่านตำราเล่มหนึ่งอย่างสบายใจ ๆ พร้อมกับสั่งการให้อสูรมายาทั้งหมดจับตาดูสถานการณ์โดยรอบไว้
“เฮ้ ! ดูเหมือนจะมีคนอยู่ตรงนั้น !”
หยกขาวพันปีซึ่งมีสายตายาวไกลมากที่สุดสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของผืนทะเลเบื้องหน้าและกล่าวขึ้นทันที ไม่ไกลจากคณะเดินทางในตอนนี้มีร่างของใครคนหนึ่งลอยตัวอยู่เหนือน้ำทะเล คนผู้นั้นกำลังนอนแผ่อยู่บนแผ่นไม้ขนาดใหญ่จึงไม่จมดิ่งลงใต้ทะเล
“นั่นจะต้องเป็นจอมยุทธ์จากแผ่นดินใหญ่ เราควรเข้าไปดูกันรึไม่ ?”
หลังจากสำรวจกลิ่นอายของคนผู้นั้น มันก็เอ่ยถามความคิดเห็นของฉินอวี้โม่
ทว่าขณะฉินอวี้โม่กำลังจะเอ่ยปากตอบนั้น เสียงที่ประหลาดใจก็ดังขึ้นมา
“นายหญิง คนผู้นั้นคือคนที่ท่านรู้จักดี นางคือพี่สะใภ้ของท่าน!”
ขณะเข้าไปใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าอสูรก็มองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน ผู้ที่ลอยอยู่เหนือน้ำมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินเหยียนที่ออกเดินทางท่องดินแดนกับฉินเฟิงก่อนหน้านี้
“รีบเข้าไปช่วยนางเร็วเข้า”
ฉินอวี้โม่ชะงักไปทันทีและรีบเก็บตำราในมือพร้อมยืนขึ้น เวลานี้ไป๋ฉี่ก็เหาะออกไปแล้วและรีบนำตัวฉินเหยียนเข้ามา
ลมหายใจของฉินเหยียนอ่อนแอพอสมควรซึ่งบ่งบอกว่านางได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ใบหน้าของนางก็ซีดเซียวและหมดสติไม่รู้ตัว
ฉินอวี้โม่ก็รีบก้าวเข้าไปหาและป้อนโอสถให้กับนางทันทีก่อนโอนถ่ายพลังมายาปริมาณมากเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย หลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป ฉินเหยียนก็ค่อย ๆ ได้สติลืมตาขึ้นมา
“อวี้โม่ ?”
เมื่อลืมตาและพบว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือฉินอวี้โม่และหานโม๋ฉือ นางก็ชะงักไปทันที
“พี่สะใภ้ เกิดอะไรขึ้น ?! เหตุใดท่านจึงลอยอยู่เหนือน้ำทะเล ? แล้วศิษย์พี่ของข้าล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่จับมือฉินเหยียนไว้แน่นและเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
ศิษย์พี่ฉินเฟิงของนางและฉินเหยียนข้ามผ่านอุปสรรคขวากหนามมากมายก่อนได้ลงเอยด้วยกัน หากมิใช่เพราะเกิดเรื่องบางอย่างที่ไม่คาดคิด ทั้งสองไม่มีทางแยกจากกันอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเหยียนก็ได้รับบาดเจ็บมากพอสมควร นางจึงคาดเดาว่าก่อนหน้านี้ฉินเหยียนและฉินเฟิงคงจะประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังมา
“อวี้โม่ รีบไปช่วยศิษย์พี่ของเจ้า !”
ฉินเหยียนเรียกสติกลับคืนมาและสีหน้าแสดงถึงความกังวลอย่างชัดเจนก่อนกล่าวอย่างอยู่ไม่ติดและพยายามลุกขึ้น
“รอบ ๆ นี้ไม่มีวี่แววของใครอื่นเลย เกรงว่าศิษย์พี่คงจะไม่อยู่ในบริเวณนี้ ท่านเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้พวกเราได้ทราบก่อนเถอะ จากนั้นเราจะได้วางแผนหาทางรับมือต่อไป”
ฉินอวี้โม่กล่าวเพื่อให้ฉินเหยียนสงบสติลงและมิให้นางกังวลจนเกินไป เห็นได้ชัดว่าหลังจากเดินทางออกมาด้วยกัน ฉินเหยียนและฉินเฟิงก็ได้เผชิญกับปัญหาบางอย่าง
ฉินเหยียนสงบสติอารมณ์ลงและเริ่มเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ทราบ
ก่อนหน้านี้ นางและฉินเฟิงเดินทางมาจนถึงอาณาบริเวณของทะเลไร้จุดจบ ในตอนแรกทั้งสองวางแผนจะไปที่เกาะวายุนิ่งเพื่อไปเดินเที่ยวชมธรรมชาติ ทว่าหลังจากเดินทางไปได้เพียงครึ่งทาง ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของบุปผาแห่งแสง
หลังจากยืนยันพิกัดของมันได้ ทั้งสองก็วางแผนที่จะไปที่นั่นเพื่อสำรวจดูสถานการณ์ คาดไม่ถึงเลยพวกนางว่าจะเคราะห์ร้ายและพบกับคนของฝ่ายมารในระหว่างทาง
แม้ว่าคนของฝ่ายมารจะอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ทว่าพวกเขาก็ไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก ด้วยพลังของฉินเหยียนและฉินเฟิง ทั้งสองจึงรับมือได้ไม่ยาก แต่ทว่า…ไม่คาดคิดเลยว่าการกระทำนั้นจะดึงดูดความสนใจของฝ่ายมารยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสสี่คนของฝ่ายมารก็นำกลุ่มคนเกือบร้อยชีวิตเข้ามาปิดล้อมคนทั้งสองไว้อย่างรวดเร็ว
ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสทั้งสี่อยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดในขณะที่ความแข็งแกร่งของคนอื่น ๆ นับร้อยคนก็อยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนเป็นอย่างต่ำ
ฉินเฟิงและฉินเหยียนได้ผนึกกำลังร่วมกันเพื่อประจันหน้ากับคนเหล่านั้นและสุดท้ายก็ฝ่าผ่านวงล้อมออกไปได้
ทว่าน่าเสียดายที่คนของฝ่ายมารมีฐานทัพอยู่ที่ทะเลไร้จุดจบและคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่า ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ พวกเขาจึงไล่ตามมาจนทัน
ฉินเหยียนและฉินเฟิงจึงต้องทุ่มเทต่อสู้อย่างสุดฝีมือกับคนของฝ่ายมารอีกครั้ง ทว่าในภายหลังเมื่อทราบว่าต่อสู้ยืดเยื้อกับอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว ฉินเฟิงจึงเสนอตัวรั้งท้ายไว้เพื่อให้ฉินเหยียนหลบหนีออกไปก่อนซึ่งส่งผลให้ทั้งสองต้องแยกจากกันในที่สุด
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของฝ่ายมารก็นำลูกน้องประมาณสิบคนไล่ตามฉินเหยียนต่อไป ทว่าคนอื่น ๆ ที่เหลือก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินเหยียนก็ต่อสู้กับคนเหล่านั้นอย่างเต็มที่ ถึงแม้นางพยายามอย่างสุดฝีมือและสังหารพวกเขาไปได้ ทว่าตัวนางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน อสูรพันธสัญญาของนางก็บาดเจ็บหนักจนหมดสติอยู่ในมิติเชื่อมอสูร หากมิใช่เพราะแผ่นไม้ดังกล่าวที่นางพบก่อนหมดสติไป เกรงว่าฉินเหยียนก็คงจะจมน้ำตายไปแล้ว
“คิดไว้ไม่มีผิด เป็นพวกฝ่ายมารจริง ๆ !”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคาดเดาไว้แล้วว่าน่าจะเป็นฝีมือของขุมกำลังมารร้าย การที่ฉินเหยียนและฉินเฟิงผู้ทรงพลังและมากความสามารถได้รับบาดเจ็บสาหัสในบริเวณของทะเลไร้จุดจบเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายมารเท่านั้น และตอนนี้คำตอบของฉินเหยียนก็ยืนยันข้อสันนิษฐานนั้นแล้ว
“พี่สะใภ้ ไม่ต้องห่วงหรอก ด้วยความสามารถของศิษย์พี่ เขาจะไม่เป็นอะไรแน่ บางทีเขาอาจจะกำจัดคู่ต่อสู้พวกนั้นไปได้และกำลังตามหาท่านอยู่ ท่านไปที่เกาะไร้กังวลกับเราก่อนเถอะ หากศิษย์พี่ตามหาท่านไม่พบ เขาจะต้องไปที่นั่นแน่ จากนั้นเราก็จะได้พบกับเขาอีกครั้ง”
ฉินอวี้โม่แตะหลังมือฉินเหยียนเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลมนางและเป็นการปลอบใจตัวเองไปพร้อม ๆ กัน ด้วยความสามารถของศิษย์พี่ฉินเฟิง ฉินอวี้โม่เชื่อว่าฝ่ายมารจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้แน่ และหากเขาตามหาฉินเหยียนไม่พบ เขาก็จะต้องไปที่เกาะไร้กังวลซึ่งมีร่องรอยของบุปผาแห่งแสงปรากฏขึ้นมาอย่างแน่นอน แม้ไม่มีเบาะแสใดในตอนนี้ ทว่าตราบใดที่พวกนางไปยังเกาะดังกล่าวและตราบใดที่ฉินเฟิงยังปลอดภัยดีดังที่คิดไว้ พวกนางจะได้พบกับเขาอย่างแน่นอน
“เข้าใจแล้ว”
ฉินเหยียนพยักศีรษะและพยายามสงบจิตสงบใจ ทว่านางก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ภายในใจลึก ๆ
.