คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 720 แฟนตัวยงจากฝ่ายมาร
ทันทีที่อุปกรณ์สื่อสารดังขึ้น ฉินอวี้โม่ก็ชำเลืองมองมันและทราบได้ว่าจะต้องเป็นข่าวจากหานโม่ฉือ
หลังจากเชื่อมต่อกัน เสียงของหานโม่ฉือก็ดังขึ้น
“โม่เอ๋อร์ ข้าได้ข่าวเรื่องท่านแม่ยายจากฝ่ายมาร”
ณ ฐานทัพของฝ่ายมาร หานโม่ฉือปลอมตัวกลายเป็นบุรุษหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งและผนึกพลังของตนเองไว้จนมีระดับพลังที่ต่ำลง เวลานี้เขาพักอยู่ในบ้านหลังหนึ่งโดยมีเสี่ยวม่านและหานอวี้คุ้มกันด้านนอก
“ท่านแม่ของข้าถูกคนของฝ่ายมารจับตัวไปจริง ๆ รึ ?!”
ฉินอวี้โม่พอจะคาดเดาเรื่องนี้มาก่อนแล้วทว่าข่าวจากหานโม่ฉือได้ยืนยันมันให้ชัดเจนมากขึ้น
“โม่ฉือ เล่ามาก่อนเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภรรยาผู้พลัดพรากของตน ฉินเทียนก็เริ่มกังวลและอยู่ไม่ติด เขารับอุปกรณ์สื่อสารมาจากฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลใจ
“ท่านพ่อตา ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าได้ข่าวว่าท่านแม่ยายถูกจับตัวมาที่ฐานของฝ่ายมารจริง เพียงแต่เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันบางอย่างขึ้นเสียก่อนและตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป”
หานโม่ฉือเข้าใจความรู้สึกของฉินเทียนเป็นอย่างดีและรีบกล่าวอธิบายทันที
อันที่จริง เขาเองก็ได้ข่าวเรื่องนี้มาโดยบังเอิญ…
ในการแอบลักลอบเข้าไปในฝ่ายมาร หานโม่ฉือได้พยายามทำตัวไม่โดดเด่นและเปลี่ยนอาภรณ์เป็นเครื่องแต่งกายแบบศิษย์ธรรมดาทั่วไปและแทรกซึมเข้าในฝูงชนได้อย่างแนบเนียน
ในช่วงวันแรก ๆ เขาก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับฝ่ายมารเจ็ดถึงแปดส่วนแล้วและได้พบกับสหายที่เข้ากันได้จำนวนหนึ่ง
เมื่อวานนี้ พวกเขาก็รวมตัวกันเพื่อดื่มสังสรรค์หลังจากการฝึกวิชาและมีผู้อาวุโสสิบสองของฝ่ายมารเข้ามาร่วมวงด้วย
ในบรรดากลุ่มสหายที่หานโม่ฉือทำความรู้จัก หนึ่งในนั้นเป็นญาติของผู้อาวุโสสิบสอง และเมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังดื่มสังสรรค์กัน ผู้อาวุโสสิบสองจึงเข้ามาร่วมวงด้วย
“ลูกพี่ลูกน้อง เหตุใดฝ่ายมารของเราจึงมีสตรีน้อยนัก ?”
ญาติของผู้อาวุโสสิบสองมีนามว่า ‘หม่าเฟย’ ผู้มีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบต้น ๆ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงวัยรุ่นที่มีอารมณ์พลุ่งพล่าน
เขาเป็นคนที่มีนิสัยใจคอดีพอสมควรและสนิทสนมกับหานโม่ฉือมากที่สุด และข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายมารส่วนใหญ่ที่หานโม่ฉือได้ทราบก็มาจากหม่าเฟยผู้นี้
“นี่เป็นเรื่องธรรมดา…ฝ่ายมารของเราอยู่ที่เกาะนี้มานานและมีผู้คนจำนวนไม่มากนัก ท่านผู้นำเคยอธิบายว่าบนเกาะแห่งนี้มีแต่จอมยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ซึ่งในดินแดนนี้ สตรีที่มีพรสวรรค์โดดเด่นก็มีอยู่น้อยนัก และต่อให้มีจริง ๆ พวกนางก็ไม่ต้องการเข้าร่วมกับฝ่ายมารของเรา ด้วยเวลาที่ผ่านมา จำนวนสตรีของที่นี่จึงลดน้อยลงเรื่อย ๆ”
ติงเหวิน—ผู้อาวุโสสิบสองกล่าวอย่างจนปัญญา เขามีอายุเพียงยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปีเท่านั้นและสาเหตุที่เขาได้เป็นผู้อาวุโสก็เพราะเขามีความเข้าใจที่พิเศษเกี่ยวกับพลังความมืด ในฝ่ายมารมีสตรีเพียงไม่มากซึ่งเป็นสิ่งที่จนปัญญาและไร้ทางออกสำหรับหลายคน และนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาอยู่เป็นโสดลำพังมาจนถึงทุกวันนี้
“นั่นสิ จะมีสตรีสักกี่นางที่ทั้งแกร่งกล้าสามารถและมากพรสวรรค์อย่างจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่—หนึ่งในผู้นำของนครล่าฝัน”
หลังจากฟังวาจาของติงเหวิน หม่าเฟยก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน ทว่าเขาก็กล่าวถึงฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“ข้าจำได้ว่าท่านผู้นำก็หวาดหวั่นต่อฉินอวี้โม่ผู้นั้นไม่น้อยเลย คราก่อนคุณหนูของเราก็พ่ายแพ้ต่อนาง ฉินอวี้โม่ทรงพลังถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?”
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาไม่เคยออกจากฐานของฝ่ายมารมาก่อนและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่อย่างจำกัดเท่านั้น เพราะเหตุนั้นเขาจึงสงสัยยิ่งนักว่านางเป็นอย่างไรกันแน่และหวังว่าสักวันจะได้มีโอกาสเห็นความงดงามของนางด้วยตาตัวเอง
“ชู่วว์~ ลดเสียงของเจ้าลง หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูคุณหนู เจ้าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่”
หม่าเฟยทำท่าทางเบาเสียงให้กับบุรุษผู้นั้นเพื่อมิให้เขาส่งเสียงดังจนเกินไป
กล่าวได้ว่าชื่อของ ‘ฉินอวี้โม่’ เป็นคำต้องห้ามสำหรับฝ่ายมาร หากมีผู้ใดเอ่ยชมนางและฮวาเหยียนอวี่บังเอิญมาได้ยินเข้า ผู้ที่กล่าวเช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก
“คุณหนูของเราริษยาที่ฉินอวี้โม่งดงามทรงเสน่ห์และมากพรสวรรค์กว่านาง อีกทั้งก็เป็นเพราะบุรุษที่มีนามว่าหานโม่ฉือนั่นที่ทำให้นางชิงชังฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม แม้ข้าจะเป็นสมาชิกของฝ่ายมาร ข้าก็ต้องยอมรับเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นั้นเหนือชั้นกว่าคุณหนูของเรามากจริง ๆ”
ผู้อาวุโสสิบสองติงเหวินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อถึงย้อนไปถึงคราสุดท้ายที่เขาได้พบสตรีผู้นั้น หัวใจของเขาก็ปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย
“ลูกพี่ลูกน้อง ในคราล่าสุดที่เจ้าได้ไปที่เกาะไร้กังวล เจ้าได้พบกับจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ด้วยรึ ?!”
เมื่อได้ยินวาจาที่ฟังดูมีความหมายของลูกพี่ลูกน้อง หม่าเฟยก็ถึงกับเอียงตัวเข้ามาใกล้และกล่าวด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
“แท้จริงแล้วฉินอวี้โม่งดงามเพียงใดกัน ? นางงดงามกว่าคุณหนูของเราหรือไม่ ?”
ติงเหวินพยักศีรษะและกล่าวอย่างจริงจัง “แม้คุณหนูของเราจะงดงามอย่างยิ่ง ทว่าต่อหน้าฉินอวี้โม่ นางก็พ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ หากจะกล่าวว่าฉินอวี้โม่ผู้นั้นเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในดินแดนนี้ มันก็มิใช่คำกล่าวเกินจริงเลย ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ของนางเท่านั้น ทว่ากลิ่นอายความสูงส่งและความสง่างามที่แผ่ออกมานั้นก็ดึงดูดใจผู้คนได้ง่าย ๆ”
คราก่อนที่เขาได้เข้าร่วมการต่อสู้ที่เกาะไร้กังวลกับฝ่ายมารคนอื่น ๆ เมื่อฮวาเฉิน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ติดอยู่ในสภาวะชะงักงันไร้ผู้ชนะ เขาก็มีโอกาสได้ยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของนางอย่างชัดเจน ติงเหวินเคยเห็นสตรีงามมาแล้วนับไม่ถ้วนและคุณหนูของพวกเขาฝ่ายมารก็งดงามยิ่งกว่าสตรีเหล่านั้นทุกคน อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับฉินอวี้โม่ มันก็ยังมีความห่างชั้นอีกมากราวกับเป็นการเปรียบเทียบนางฟ้านางสวรรค์กับสตรีทั่วไป…
กลิ่นอายสง่างามกอปรกับใบหน้างดงามราวเทพเซียนที่สั่นคลอนทั้งใต้หล้า ไม่ว่าบุรุษใดก็มิอาจต้านทานได้
“ข้าอยากเห็นใบหน้าของนางนัก”
หลังจากได้ยินวาจาของติงเหวิน หม่าเฟยก็กล่าวด้วยความอิจฉาขณะมองดูสีหน้าหลงใหลของลูกพี่ลูกน้อง
แม้ขุมกำลังมารร้ายจะเป็นปฏิปักษ์ต่อดินแดนเทพมายา นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์ชื่นชมผู้อื่น และแน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็คือหนึ่งในนั้น
คนอื่น ๆ ก็พยักศีรษะอย่างเห็นด้วยซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาก็ต้องการเห็นฉินอวี้โม่ด้วยตาของตัวเองเช่นกัน
“ฉินฉือ เจ้าไม่อยากเห็นฉินอวี้โม่ผู้นั้นรึ?”
เมื่อเห็นว่าหานโม่ฉือนิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใด หม่าเฟยก็เดินเข้าไปหาและเอ่ยถามพลางตบไหล่เบา ๆ
ตัวตนของหานโม่ฉือในตอนนี้ก็คือ ‘ฉินฉือ’ ซึ่งเป็นศิษย์ทั่วไปของฝ่ายมารและมีความแข็งแกร่งในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุด
“ข้าก็อยากเห็น เพียงแต่ข้าอยากรู้มากกว่าว่าบิดามารดาแบบใดกันที่จะให้กำเนิดบุตรสาวที่น่าทึ่งเช่นนั้นได้…”
หานโม่ฉือก็แอบคิดในใจ หากมิใช่เพราะฝ่ายมาร ตอนนี้เขาก็คงจะได้อยู่กับฉินอวี้โม่และได้เห็นใบหน้างดงามนั้นทุกวี่ทุกวัน การที่เขากล่าวตอบออกไปเช่นนั้นก็เพื่อลองเชิง เขาจดจำได้ดีว่ามารดาของฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นแม่ยายของเขายังคงหายตัวไปและมีความเป็นไปได้มากว่านั่นจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายมาร
“บิดาของฉินอวี้โม่ก็คือฉินเทียน เขาอยู่ที่นครล่าฝันและเป็นคนมากฝีมือเช่นกัน ทว่าข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมารดาของนาง การที่ให้กำเนิดบุตรสาวที่เพียบพร้อมไร้ที่ติเช่นนั้น เชื่อว่ามารดาของฉินอวี้โม่ก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน”
หม่าเฟยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและตอบคำถามของหานโม่ฉือโดยไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรอยู่
“ข้าพอจะทราบเกี่ยวกับมารดาของฉินอวี้โม่อยู่บ้าง”
ติงเหวินครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าววาจาที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที
“ข้าได้ยินมาจากบิดาของข้าอีกทีหนึ่ง ตอนที่ข้ายังเด็ก เมื่อสิบกว่าปีก่อนท่านผู้นำได้พาตัวสตรีคนหนึ่งกลับมาและกล่าวกันว่าสตรีนางนั้นคือมารดาของฉินอวี้โม่”
เขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยบังเอิญเมื่อบิดาของเขาหารือกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ
เมื่อมากกว่าสิบปีก่อน ฮวาเฉินพาตัวสตรีนางหนึ่งกลับมาที่นี่และรูปลักษณ์ของนางนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเลย เดิมทีเขาก็ไม่ทราบว่าสตรีผู้นั้นเป็นใคร ทว่าหลังจากสืบถามจากผู้อื่น เขาก็ได้ทราบว่านางคือมารดาของฉินอวี้โม่
“อะไรนะ ? ท่านผู้นำพาตัวมารดาของฉินอวี้โม่มาที่นี่งั้นรึ ?!”
หม่าเฟยอดโพล่งออกไปด้วยความตกใจไม่ได้ เขาไม่เคยทราบถึงเรื่องนี้มาก่อน
“เจ้ากลัวคนข้างนอกจะไม่ได้ยินเสียงเจ้ารึไง ?!”
ติงเหวินเคาะศีรษะลูกพี่ลูกน้องของตนเบา ๆ และกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น หลังจากนั้น สตรีนางนั้นก็หายตัวไปและไม่ได้อยู่ในเกาะของเราอีกต่อไป มิฉะนั้นท่านผู้นำก็คงใช้นางข่มขู่ฉินอวี้โม่ไปนานแล้ว”
เขาไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตอนนั้นและสืบทราบมาเพียงเท่านี้ สำหรับเบาะแสอื่น ๆ นอกจากฮวาเฉินก็มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายมารเท่านั้นที่ทราบ
หลังจากฟังวาจาของติงเหวิน ทุกคนก็นิ่งเงียบและไม่ทราบว่าควรกล่าวสิ่งใดต่อ
“พวกเจ้าคิดว่าฉินอวี้โม่ทราบถึงเรื่องนี้รึไม่ ?”
หานโม่ฉือกล่าวอย่างแนบเนียนโดยไม่กระตุ้นความสงสัยของผู้ใด
“ข้าก็ไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ท่านผู้นำก็กำลังวางแผนที่จะให้ใครสักคนปลอมตัวเป็นมารดาของฉินอวี้โม่เพื่อไปที่นครล่าฝันและรอโอกาสที่เหมาะสม”
ติงเหวินส่ายศีรษะทว่าสิ่งที่เขากล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัวทำให้หานโม่ฉือขมวดคิ้วทันที
“ลูกพี่ลูกน้อง…”
หม่าเฟยและคนอื่น ๆ ถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินและชะงักค้างไปชั่วขณะ
“อุ๊บ นี่ข้าหลุดปากบอกแผนการของท่านผู้นำไปได้อย่างไรกัน พวกเจ้าจงจำไว้…ห้ามใครกล่าวถึงเรื่องในวันนี้กับผู้ใดโดยเด็ดขาด หากท่านผู้นำรู้เข้า พวกเราตายแน่ !”
ติงเหวินเรียกสติกลับคืนมาและสีหน้าถอดสีเล็กน้อย เขาปากไวเกินไปและเผลอหลุดปากเรื่องแผนการของผู้นำฝ่ายมารโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อกวาดสายตามองรอบ ๆ และพบว่าทุกคนล้วนเป็นสหายหรือคนที่ไว้วางใจได้ของฝ่ายมาร เขาจึงมั่นใจว่าจะไม่มีผู้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป
“ลูกพี่ลูกน้อง ไม่ต้องห่วง พวกเราจะไม่มีทางพูดอะไรแน่”
หม่าเฟยพยักศีรษะรับคำทันทีและเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างดี
หานโม่ฉือเองก็พยักศีรษะเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ เพื่อยืนยันว่าเขาจะปิดปากเงียบ
“เอาล่ะ พวกเจ้าควรดื่มกันให้น้อยลง ข้าขอตัวก่อน”
หลังจากเปลี่ยนเรื่องและสนทนากันต่อไปพักหนึ่ง ผู้อาวุโสสิบสองติงเหวินก็ลุกขึ้นและจากไป
“พวกเจ้าเคยคิดรึไม่…เหตุใดเราจึงต้องเข้าร่วมกับฝ่ายมารและตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้คนในแผ่นดินใหญ่ ?”
ใครคนหนึ่งเอ่ยด้วยความสงสัยและไม่มั่นใจนัก จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาและไม่ต้องการสู้รบกับฝ่ายของฉินอวี้โม่อีกต่อไป
“ไม่มีทางเลือก ญาติพี่น้องและคนในครอบครัวของเราส่วนใหญ่อยู่กับฝ่ายมาร เพราะเหตุนั้นเราจึงเลือกยืนอยู่กับฝ่ายมารได้เพียงเท่านั้น”
หม่าเฟยตบไหล่บุรุษผู้นั้นเบา ๆ เพื่อพยายามปลอบใจเขา หม่าเฟยเข้าใจความคิดของคนผู้นั้นดี แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับทุกคนในแผ่นดินใหญ่เช่นกัน น่าเสียดายเหลือเกินที่เขาเกิดมาโดยมีพันธะติดพันกับฝ่ายมารและนั่นทำให้เขาไม่มีสิทธิ์เลือกทางเดินของตนเองได้
หานโม่ฉือก็ฟังบทสนทนาของคนเหล่านั้นด้วยความเข้าใจและไม่กล่าวสิ่งใด อย่างไรก็ตาม เขาก็แอบตัดสินใจบางอย่าง บางทีเขาก็ควรที่จะคิดหาวิธีช่วยเหลือคนเหล่านี้…
หลังจากที่ได้รับข่าวจากหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่และฉินเทียนก็เกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
ด้วยการที่ได้รับข่าวเกี่ยวกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น แน่นอนว่าทั้งสองก็มีความสุขขึ้นมา การที่นางมิได้อยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายมารทำให้ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทว่า…ในครานั้นเกิดเรื่องใดกันแน่ ? แล้วตอนนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่ใด ? ความสงสัยที่ยังมีอีกมากมายทำให้หัวใจของทุกคนเต็มไปด้วยความกังวลที่ไร้จุดสิ้นสุด…