คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 725 เจ้าคือคนทรยศ
ภายในห้องพักของเฟยเฟย อวี๋เสี่ยวอวิ๋นเดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยซุปไก่ร้อน ๆ
“หนูน้อยเฟยเฟย เจ้าคุ้นชินกับการอยู่ที่นครล่าฝันรึยัง ?”
นางเริ่มจากการเอ่ยถามด้วยท่าทางเป็นห่วงและจับมือเฟยเฟยนั่งลงที่โต๊ะ
“ท่านป้าอวิ๋น ข้ามีความสุขดีกับการอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ ทุกคนให้การต้อนรับข้าเป็นอย่างดี”
ทว่าเฟยเฟยก็ดึงมือตนเองออกจากมือของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอย่างรวดเร็วและยิ้มตอบอย่างสุภาพ
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี หากเจ้ามีเรื่องอะไรก็ไปหาเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้เสมอล่ะ”
เฟยเฟยมักวางตัวห่างเหินกับนางพอสมควรและไม่พยายามสนิทสนมด้วยเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม อวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ เฟยเฟยก็ปฏิบัติเช่นนี้กับทุกคน
“อีกอย่าง…นี่คือซุปไก่ที่ข้าต้มด้วยตัวเอง เจ้าลองชิมดูสิ ทุกคนต่างก็ยืนยันว่ามันอร่อยมาก”
นางเลื่อนถ้วยน้ำซุปไปตรงหน้าเฟยเฟยและกล่าวด้วยสีหน้าแววตาคาดหวัง
“เหอะ ไม่คิดเลยว่ายัยแก่นี่จะใส่ยาชนิดนั้นลงไปในซุปไก่ !”
เสียงแค่นในลำคอซึ่งบ่งบอกถึงความไม่พอใจดังขึ้นในโสตประสาทของเฟยเฟย และแน่นอนว่ามันคือเสียงของบุปผาแห่งแสงนั่นเอง
“ยาชนิดใดรึ ?”
เฟยเฟยหยิบถ้วยน้ำซุปขึ้นมาเล็กน้อยและเป่าเบา ๆ อย่างไม่รีบร้อนที่จะดื่มมัน
“หากเป็นตัวข้าในอดีตที่ได้รับยาชนิดนี้เข้ามา แก่นแท้ภายในของข้าก็คงจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าก็เข้าใกล้ช่วงโตเต็มวัยแล้วและเจ้าเองก็มีพลังพิเศษอยู่ในร่างกายเช่นกัน ยาชนิดนั้นจะไม่ส่งผลอะไรต่อข้าหรอก”
บุปผาแห่งแสงไม่คิดที่จะตอบคำถามของเฟยเฟยแต่อย่างใด นับว่าฝ่ายมารศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดีจนทราบว่ายาชนิดใดที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับแก่นแท้ของมันได้ น่าเสียดายที่บุปผาแห่งแสงในวันนี้แตกต่างไปจากบุปผาแห่งแสงที่ถูกบันทึกอยู่ในตำราจากอดีต ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสภาวะร่างกายที่พิเศษของเฟยเฟย ไม่ว่ายาดังกล่าวจะมีฤทธิ์ร้ายแรงเพียงใด มันก็จะไม่ส่งผลร้ายใด ๆ ต่อบุปผาแห่งแสง
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะดื่มมัน”
เฟยเฟยเข้าใจความหมายของบุปผาแห่งแสงและยกถ้วยน้ำซุปนี้ขึ้นดื่มอย่างช้า ๆ
“ท่านป้าอวิ๋น ซุปไก่ของท่านอร่อยมากเลยเจ้าค่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้ลิ้มรสซุปไก่ที่รสชาติดีถึงเพียงนี้”
หลังจากดื่มซุปร้อน ๆ ได้เพียงไม่กี่คำ เฟยเฟยก็อดเอ่ยชมออกมาไม่ได้ หากมิใช่เพราะมันมาจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมซึ่งทำให้นางเกิดความตะขิดตะขวงใจและอึดอัดเล็กน้อย กล่าวได้เลยว่าฝีมือการปรุงอาหารของนางก็ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
“ถ้าชอบก็ดื่มให้หมดเถิด หลังจากนี้ข้าจะต้มซุปให้เจ้าได้ดื่มทุกวันเลย”
เมื่อได้ยินวาจาของเด็กสาว อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็แสดงสีหน้าดีใจอย่างชัดเจน ทว่าแท้จริงแล้วสาเหตุที่นางพึงพอใจหาใช่คำชมเกี่ยวกับรสชาติของซุปถ้วยนั้น ทว่าเป็นเพราะนางทราบดีว่ามันจะส่งผลกระทบต่อบุปผาแห่งแสงที่อยู่ในร่างของเด็กสาวอย่างรุนแรง ตราบใดที่ไม่สามารถใช้พลังของบุปผาแห่งแสงได้ ถึงแม้นครล่าฝันจะได้ครอบครองมันไป พวกเขาก็จะมิใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายมารอย่างแน่นอน
“ขอบคุณท่านป้าอวิ๋นมากเจ้าค่ะ”
เฟยเฟยพยักศีรษะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนิทสนมและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้น
“เด็กน้อยเอ๋ย ไม่ต้องสุภาพอะไรนักหรอก ฮ่า ๆ ๆ”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นแตะมือเฟยเฟยเบา ๆ ขณะกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะเอ็นดู ในตอนนี้ทั้งสองดูเหมือนจะพูดคุยกันอย่างมีความสุข…
แผนการสมคบคิดในนครล่าฝันของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ในขณะที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็กลายเป็นนักแสดงมากฝีมือที่แสดงละครตบตานางได้อย่างแนบเนียน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในฟากของฝ่ายมารนั้นไม่มั่นคงเท่าไหร่นัก
เมื่อไม่สามารถตามหาบุปผาแห่งความมืดได้พบไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด หานโม่ฉือจึงวางแผนที่จะถอนตัวออกจากฐานทัพของฝ่ายมาร ทว่าก่อนจะไปจากที่นี่ เขาตั้งใจที่จะถามความสมัครใจของเหล่าสหายที่เป็นมิตรที่ดีของเขาตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เสียก่อนว่าพวกเขาต้องการไปด้วยกันหรือไม่
ในยามค่ำคืน เหล่าสหายหลายคนก็รวมตัวกันเช่นเคย
“ติงเหวิน หม่าเฟย สงครามระหว่างฝ่ายมารและดินแดนเทพมายาใกล้เข้ามาเต็มที เจ้าทั้งสองยังคิดที่จะอยู่ที่นี่และต่อสู้กับผู้คนในดินแดนอีกรึไม่ ?”
หานโม่ฉือกล่าวตรงเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม เขาทราบดีว่าทั้งติงเหวินและหม่าเฟยไม่ได้มีความจงรักภักดีต่อฝ่ายมาร สาเหตุที่พวกเขาอยู่ที่นี่มาจนถึงทุกวันนี้เป็นเพราะญาติพี่น้องและครอบครัวของพวกเขาอยู่ที่นี่เท่านั้น และทั้งสองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน
“ฉินฉือ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
ติงเหวินและคนอื่น ๆ ตกใจกับคำถามดังกล่าวไม่น้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยถามออกมา
หลายวันมานี้ เขาสนิทสนมกับ ‘ฉินฉือ’ มากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ไม่คิดว่าบุรุษผู้นี้จะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาทั่วไปของฝ่ายมาร เพียงแต่เขาไม่เคยเปิดเผยความคิดของตนออกมา
“แท้ที่จริงแล้วข้ามิใช่สมาชิกของฝ่ายมาร ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อสืบข่าวบางอย่างเท่านั้น ตอนนี้เมื่อข้าได้ทราบข่าวมามากพอแล้ว ข้าก็ตั้งใจจะไปจากที่นี่ พวกเจ้าเป็นสหายที่ดีกับข้าตลอดเวลาที่อยู่ ที่นี่ เชื่อเถอะว่าข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับพวกเจ้าและไม่อยากให้พวกเจ้าต้องสูญเสียชีวิตเพียงเพราะขุมกำลังที่พวกเจ้าไม่เต็มใจจะร่วมด้วย”
หานโม่ฉือไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนออกไปและกล่าวเพียงว่าเขามิใช่คนของฝ่ายมารและแฝงตัวเข้ามาที่นี่เพื่อสืบข่าวเท่านั้น
“ข้าก็พอจะคาดเดาได้ ในฐานะศิษย์คนหนึ่งของฝ่ายมาร มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฝ่ายมารเลย เจ้าพยายามสอบถามข้อมูลของฝ่ายมารมาตลอดและข้าก็นึกสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
ติงเหวินไม่มีท่าทีประหลาดใจและสีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยใจเย็น ในฐานะผู้อาวุโสสิบสองของฝ่ายมาร เขามิใช่คนเขลาเบาปัญญาอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่หานโม่ฉือพยายามสืบถามข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายมารหลายครั้งหลายครา เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติทว่าไม่เคยปริปากกล่าวสิ่งใดออกมา
“ฉินฉือ หากเจ้ามิใช่สมาชิกของฝ่ายมาร แล้วเจ้ามาจากขุมกำลังใดกัน ?”
หม่าเฟยเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ เขาสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนและย่อมอยากทราบว่าผู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาจากที่ใด
“หม่าเฟย เรื่องบางอย่างก็ไม่ควรที่จะรู้ลึกเกินไป”
ติงเหวินกล่าวแทรกหม่าเฟยและกวาดสายตามองทุกคนที่รวมตัวกัน
“หม่าเฟย พวกเจ้า หลบหนีออกไปพร้อมกับฉินฉือเถอะ”
หม่าเฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาและคนอื่น ๆ ในที่นี้ก็ล้วนเป็นสหายของหม่าเฟย พวกเขาไม่มีพันธะผูกพันใด ๆ และต่างก็มีเหตุผลของตนเองในการอยู่ร่วมกับฝ่ายมาร ในเมื่อตอนนี้สงครามครั้งสำคัญกำลังจะมาถึง ติงเหวินก็ไม่ต้องการให้คนเหล่านี้ต้องสูญเสียชีวิตไป
“ลูกพี่ลูกน้อง แล้วเจ้าล่ะ ?”
หม่าเฟยเริ่มเกิดความลังเลในใจขึ้นมา ทว่าเมื่อนึกถึงลูกพี่ลูกน้องอย่างติงเหวิน เขาก็ควบคุมความรู้สึกนั้นและเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้ว
“บิดามารดาและครอบครัวของข้าล้วนเป็นคนของฝ่ายมาร หากข้าแปรพักตร์และหลบหนีไป พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างหนักเป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงไปไม่ได้”
ติงเหวินส่ายศีรษะและกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกที่อึดอัดใจ ในความเป็นจริง เขาก็ไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของขุมกำลังมารร้ายมานานแล้ว
ฝ่ายมารดำรงอยู่เพื่อการล้างแค้นที่ฝังใจยาวนานมาตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนและต้องการโค่นล้มอำนาจของดินแดนเทพมายา แม้ติงเหวินจะเป็นผู้อาวุโสสิบสองของฝ่ายมาร ทว่าเขาก็ถือว่าเป็นคนของดินแดนเทพมายาเช่นกัน เขาไม่ต้องการเห็นดินแดนเทพมายาต้องล่มสลายไปและไม่ต้องการเป็นศัตรูกับผู้คนในดินแดนเทพมายา
แต่น่าเสียดายที่ครอบครัวทั้งหมดของเขาอยู่กับฝ่ายมาร เขาจึงหลบหนีออกไปไม่ได้เพื่อความปลอดภัยของคนเหล่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่ไปเช่นกัน แม้ฝ่ายมารจะทำเรื่องชั่วร้ายและน่ารังเกียจมากมาย ทว่าที่นี่ก็มีผู้คนมากมายที่เรารู้จักมาทั้งชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้สงครามประจันหน้ากับดินแดนเทพมายามาถึง ด้วยความแข็งแกร่งของเรา เราก็คงไม่มีบทบาทสำคัญอะไรนัก เมื่อถึงเวลานั้น เราก็สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างเต็มที่และหาทางที่จะไม่เข้าร่วมได้”
หลังจากได้ยินวาจาของติงเหวิน หม่าเฟยก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปจากฝ่ายมาร เขาทราบดีว่าเมื่อสงครามมาถึง อย่างมากพวกตนก็เป็นได้เพียงโล่กำบังกระสุนเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้น หากพวกเขาสามารถหาโอกาสซ่อนตัวได้ การเอาตัวรอดก็คงมิใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป
“พวกเราก็ไม่ไปเช่นกัน”
อีกสามคนก็ตัดสินใจอย่างหนักแน่นเช่นกัน พวกเขาติดตามหม่าเฟยมานาน และไม่ว่าหม่าเฟยตัดสินใจเช่นไร พวกเขาก็จะสนับสนุนการตัดสินใจนั้นอย่างไร้เงื่อนไข
“ฉินฉือ หาโอกาสหนีออกไปก่อนเถอะ ข้าได้ข่าวมาว่าบุปผาแห่งความมืดใกล้ที่จะโตเต็มวัยแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เจ้าอยากไป เจ้าก็คงจะไม่มีโอกาสอีก”
ติงเหวินมองหานโม่ฉือด้วยแววตามีความหมายและบอกให้เขาหาทางไปจากที่นี่โดยเร็ว
“เข้าใจแล้ว หลังจากนี้ข้าจะรีบหาโอกาสหลบหนีออกไป และเมื่อสงครามมาถึง ข้าจะบอกคนในดินแดนเทพมายามิให้โหดร้ายกับพวกเจ้าจนเกินไป”
หานโม่ฉือพยักศีรษะรับคำและตัดสินใจแล้วว่าจะหาทางปกป้องสหายเหล่านี้เมื่อสงครามมาถึง
หลังจากนั้น เมื่อท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงจนมืดสนิท ทุกคนก็เอนตัวลงเพื่อนอนพักผ่อน ทว่าใครคนหนึ่งกลับลุกขึ้นและออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ …
ทว่าหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาก่อนพยักศีรษะให้กันอย่างเข้าใจตรงกัน จากนั้นร่างของหานโม่ฉือก็พุ่งตรงออกไปและหายวับไปต่อหน้าทุกคน
คนอื่น ๆ ก็เอนตัวลงเพื่อนอนหลับเช่นเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ขอรับ มีบุคคลภายนอกอาศัยอยู่ในฐานทัพของเรา เขาแอบลักลอบเข้ามาสืบข่าวเกี่ยวกับฝ่ายมารและหลอกล่อให้ผู้อาวุโสสิบสองและหม่าเฟยแปรพักตร์ไปกับเขาด้วย”
เมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เสียงฝีเท้าของคนหลายคนก็ดังขึ้นหน้าบ้านพักและเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา
“เหอะ พวกคนจากดินแดนเทพมายาช่างอาจหาญยิ่งนักที่ส่งคนมาถึงฐานของเราเพื่อสืบข่าว การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการรนหาที่ตายเลยชัด ๆ !”
ปัง !
น้ำเสียงเยือกเย็นของผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายมารดังขึ้นอย่างชัดเจนและประตูห้องถูกผลักเปิดออกเสียงดัง
“ฉินฉือ โผล่หัวออกมาและยอมจำนนซะโดยดี อย่าให้ใครต้องเจ็บตัว”
น้ำเสียงคุ้นหูดังมาจากเมิ่งหยางผู้ซึ่งติดตามหม่าเฟยมาตลอดและมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับเขาอย่างมาก
“ท่านผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้นหรือ ?”
ติงเหวินวิ่งเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงดังเอะอะและท่าทางของเขางุนงงราวกับไม่ทราบมาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น
“ติงเหวิน ข้าได้ยินว่าเจ้าสมคบคิดกับคนนอกและต้องการที่จะเผยแพร่ความลับของฝ่ายมารไปสู่คนนอก เจ้ายังไม่คิดที่จะยอมรับสารภาพอีกรึ ?!”
ผู้อาวุโสคนนั้นตวาดเสียงดังด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและแรงกดดันแผ่ออกไปกดข่มติงเหวินทันที
“ผู้อาวุโสใหญ่ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าไม่เคยพบผู้ใดจากโลกภายนอกมาก่อน หากมีคนนอกแฝงตัวเข้ามาในฝ่ายมารของเราจริง ข้าก็ต้องรู้และจัดการกับคนผู้นั้นตั้งแต่แรกเห็น ข้าจะไปสมคบคิดร่วมมือกับเขาได้อย่างไรกัน ?”
ติงเหวินคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวออกไป
“นั่นสิ ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เราไม่เข้าใจเลยจริง ๆ คนนอกอะไรกัน ? เหตุใดพวกเราถึงไม่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ?”
หม่าเฟยและคนอื่น ๆ ลุกจากเตียงและเดินออกมาเช่นกัน พวกเขาชำเลืองมองเมิ่งหยางและแสดงสีหน้างุนงงไม่เข้าใจกับคำกล่าวหา
“ฉินฉือคือใคร ?”
สายตาของผู้อาวุโสใหญ่กวาดมองคนทั้งกลุ่มด้วยความลังเล เมื่อดูจากสีหน้าท่าทางของหม่าเฟยและคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนจริง ๆ
“ฉินฉือ…ในฝ่ายมารมีใครที่มีนามว่าฉินฉือด้วยหรือ ? เหตุใดข้าถึงไม่รู้จักกัน”
หม่าเฟยตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนกลายเป็นความฉงนสงสัย คนอื่น ๆ ก็มีท่าทางสับสนมึนงงไม่ต่างกันราวกับพวกเขาไม่เคยรู้จักบุคคลที่มีชื่อนั้นมาก่อน
“หม่าเฟย อย่าเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปหน่อยเลย ฉินฉือใช้เวลาอยู่ในฝ่ายมารของเรานานพอสมควรและหลายคนรู้จักเขา ตอนนี้การที่คิดจะเสแสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนผู้นั้น คิดว่าจะมีใครเชื่อเจ้างั้นรึ ?”
เมื่อเมิ่งหยางมองเห็นสีหน้าท่าทางของหม่าเฟยและคนอื่น ๆ ที่ดูสงบนิ่งและใจเย็นผิดปกติ เขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมาและตะโกนเสียงดังออกไปทันที
“เมิ่งหยาง เจ้าฝันร้ายมาหรืออย่างไรกัน ? หรือเพียงอิจฉาที่พวกเรามีความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ที่มากกว่าเจ้า ? เจ้าถึงได้สร้างตัวตนในจินตนาการขึ้นมาเองอย่างเป็นตุเป็นตะเช่นนี้”
หม่าเฟยมองเมิ่งหยางอย่างเย็นชา ก่อนหน้านี้หานโม่ฉือได้บอกกับเขาไว้ว่าจะมีคนทรยศในหมู่สหายคนสนิทของเขา แน่นอนว่าในตอนนั้นเขายังไม่ปักใจเชื่อทว่าตอนนี้เขาก็ได้เห็นกับตาตนเองแล้ว โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าและไม่มีทางปล่อยให้แผนการชั่วร้ายของเมิ่งหยางประสบผลสำเร็จ
“เมิ่งหยาง หรือเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าตำหนิต่อว่าเจ้าที่เจ้าไม่ตั้งใจฝึกยุทธ์ฝึกวิชา เจ้าจึงได้หาเรื่องใส่ร้ายพวกเราเช่นนี้รึ ?”
ติงเหวินก็กล่าวออกมาเช่นกันซึ่งทำให้ผู้อาวุโสใหญ่นึกสงสัยในวาจาของเมิ่งหยางมากขึ้น