คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 736 ผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซิน
หัวใจของสมาชิกฝ่ายมารหลายคนสั่นคลอนด้วยความลังเล แท้ที่จริงแล้วพวกเขาก็ไม่ชื่นชอบชีวิตก่อนหน้านี้เท่าใดนัก ในฐานะศิษย์ของขุมกำลังมารร้าย กล่าวได้ว่าชีวิตของพวกเขาน่าหดหู่ไม่น้อยเลย หากสามารถเลือกทางเดินได้เอง พวกเขาก็ต้องการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา ๆ ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องสงครามหรือถูกลงโทษเพียงเพราะทำผลงานได้ไม่ดีพอ
เมื่อเห็นสีหน้าที่บ่งบอกความลังเลอย่างชัดเจนของศิษย์หลายคน สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ก็เหยเกไปเล็กน้อย
“ติงเหวิน การที่เจ้าจงใจชักจูงให้ศิษย์ของฝ่ายมารคิดคดทรยศเช่นนี้ ที่แท้เจ้าก็แปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับนครล่าฝันนานแล้วสินะ”
ผู้อาวุโสใหญ่ก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาและพยายามเปลี่ยนใจมิให้ศิษย์ของฝ่ายมารคิดถอนตัวกันออกไป
“ต่อให้จะใช่หรือไม่ใช่ แล้วอย่างไรกัน ? ผู้อาวุโสใหญ่…ทุกคนทราบดีว่าชีวิตในฝ่ายมารของเราเป็นอย่างไร ต่อให้ข้ายอมจำนนต่อนครล่าฝัน แล้วอย่างไรเล่า ? อย่างน้อยที่สุด ทุกคนที่อยู่ในดินแดนเทพมายาก็สามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างปกติ ไม่เหมือนพวกเราที่ทำได้เพียงอาศัยอยู่ในเกาะเล็ก ๆ นั่น มันช่างน่าเวทนาเป็นที่สุด !”
ติงเหวินไม่สนใจคำกล่าวหาของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาก็ตัดสินใจไปแล้วและไม่สามารถควบคุมความคิดของคนอื่นได้ ถึงอย่างไร เขาก็ได้ปรึกษาหารือกับบรรดาญาติพี่น้องและสหายก่อนหน้านี้แล้วและพวกเขาก็ยินดีที่จะทรยศฝ่ายมารและเข้าร่วมกับฝ่ายดินแดนเทพมายา ไม่ว่าผู้ใดจะตัดสินใจเช่นไร มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อเขา
“นั่นสิ ความรู้สึกนั้นคงเหมือนกับการถูกขังอยู่ในกรงโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมา”
เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงก็เดินออกมาด้วยกันก่อนที่เยว่ชิงเฉิงจะกล่าวด้วยวาจาเย้ยหยันและมองผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายมารด้วยความรังเกียจ
“ตาเฒ่าเอ๋ย ถ้าอยากจะอยู่และตายไปพร้อมกับฝ่ายมารก็เชิญตามสบายเถอะ ทว่าการที่คนอื่น ๆ ยินดีที่จะตัดขาดจากกลุ่มชั่วร้ายและก้าวเข้าสู่กลุ่มที่มีอนาคต เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปบังคับพวกเขาได้หรอก”
จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับติงเหวิน “ท่านคือติงเหวินสินะ ข้าเคยได้ยินคุณชายโม่ฉือกล่าวถึงท่าน ท่านและหม่าเฟย รวมถึงญาติสนิทมิตรสหายคนอื่น ๆ ต้องการจะเข้าร่วมกับพวกเรานครล่าฝันรึไม่ ?”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวเชิญชวนออกไปโดยตรง ก่อนเริ่มสงครามครานี้ หานโม่ฉือก็ได้บอกพวกนางไว้แล้วว่าจะต้องจับตาดูสมาชิกของฝ่ายมารอย่างติงเหวินและหม่าเฟยไว้ และอย่าทำร้ายพวกเขาเด็ดขาด เมื่อยืนยันได้ว่านี่คือติงเหวินและหม่าเฟย นางจึงเข้ามาหาและชวนพวกเขาเข้าร่วมนครล่าฝันด้วยตัวเองซึ่งทำให้หัวใจของสมาชิกฝ่ายมารหลายคนสั่นไหวไปตาม ๆ กัน
“แน่นอนว่าต้องยินดีเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าฉินฉือครานั้นจะเป็นหานโม่ฉือ เป็นเกียรติของพวกเราจริง ๆ ที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา”
ก่อนที่ติงเหวินจะเอ่ยตอบ หม่าเฟยก็อดกล่าวออกไปไม่ได้ เมื่อยืนยันได้ว่าฉินฉือคือหานโม่ฉือจริง ๆ เขาก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าใครอื่น ต้องกล่าวเลยว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจากนครล่าฝันเป็นบุคคลที่เขาชื่นชมคลั่งไคล้เป็นอย่างมาก เพียงคิดว่าก่อนหน้านี้ได้อยู่อาศัยกับบุคคลที่ชื่นชมมานานกว่าสิบวันและได้เข้าร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เขาก็ตื่นเต้นและดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่
“พวกเราก็ยินดีเช่นกัน”
คนอื่นอีกหลายคนที่รู้จักกับหานโม่ฉือก็กล่าวด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
ในดินแดนเทพมายา หานโม่ฉือเป็นที่ชื่นชมของบุรุษหนุ่มจำนวนมากและฉินอวี้โม่ก็เป็นที่ชื่นชมของสตรีมากมายไม่ต่างกัน แน่นอนว่าสำหรับทั้งสองคนที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมจนได้รับความนิยมชมชอบจากคนมากมายนี้ ผู้คนจำนวนมากย่อมภาคภูมิใจที่จะได้เข้าร่วมกับกองกำลังของนครล่าฝัน เมื่อได้ทราบว่าผู้ที่ชวนตนเข้าร่วมฝ่ายนครล่าฝันคือตัวหานโม่ฉือเอง เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตอบรับอย่างไม่รีรอ
การที่เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงเป็นตัวแทนของหานโม่ฉือในการเชื้อเชิญครานี้ แล้วพวกเขาจะไม่ตื่นเต้นกันได้อย่างไร ?
“ท่านจอมยุทธ์ หากพวกเราเลือกที่จะกลับตัวกลับใจ พวกเราจะเข้าร่วมกับนครล่าฝันได้ด้วยหรือไม่ ?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของฝ่ายมารอดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ แท้ที่จริงแล้วเขาลังเลไม่น้อยเลยทีเดียว หากเทียบกับฝ่ายมารที่เปรียบเสมือนดั่งความมืดมิดที่ไร้แสงสว่าง แน่นอนว่าดินแดนเทพมายาย่อมดึงดูดใจพวกเขาได้มาก
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา และก็ไม่ใช่เพียงแค่นครล่าฝันเท่านั้น ทว่าทุกคนสามารถเลือกเข้าร่วมกับขุมกำลังอื่นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แต่ละขุมกำลังจะมีการประเมินคุณสมบัติกันก่อนและจะเข้าร่วมได้ก็ต่อเมื่อผ่านการประเมินเหล่านั้น”
เยว่ชิงเฉิงพยักศีรษะและกล่าวเสริมต่อ พวกนางและขุมกำลังอื่น ๆ ได้มีการหารือกันก่อนหน้านี้แล้วว่าหากคนของฝ่ายมารยอมจำนน พวกเขาจะสามารถเข้าร่วมกับขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายได้ เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นจะต้องผ่านการประเมินสำหรับความผิดที่เคยก่อไว้ในอดีตเสียก่อน หากเคยก่ออาชญากรรมร้ายแรงเช่นการปล้นฆ่าหรือรังแกผู้อ่อนแอ คนผู้นั้นก็จะไม่สามารถเข้าร่วมขุมกำลังใหญ่ได้…
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ยอมจำนนเช่นกัน”
ผู้อาวุโสคนเดิมกล่าวออกมาโดยตรงและนอกจากเขาก็ยังมีอีกหลายคนที่กล่าวขึ้นพร้อมกันเพื่อบ่งบอกว่าตนเองเลือกยอมจำนนต่อดินแดนเทพมายา
“พวกเจ้า…”
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่จากฝ่ายมารในตอนนี้แสดงถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่คิดเลยว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของฝ่ายมารจะแปรพักตร์และเลือกจำนนต่อขุมกำลังของดินแดนเทพมายาอย่างง่ายดายเช่นนี้
“ตาแก่ หากไม่อยากเข้าร่วมกับพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็มาเป็นคู่ต่อสู้ให้กับข้าเถอะ !”
เสียงของฉินเทียนดังขึ้นในหูของผู้อาวุโสใหญ่ก่อนที่เจ้าของเสียงจะพุ่งตรงเข้ามาปรากฏตัวตรงหน้า จากนั้นเขาก็ไม่รอช้าและปลดปล่อยการโจมตีออกไปทันที
นอกเหนือจากฮวาเฉิน ผู้อาวุโสใหญ่คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายมาร ตราบใดที่กำจัดเขาได้ มันก็จะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อฝ่ายมารอย่างแน่นอน
“เหอะ ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คิดว่าเจ้าจะเป็นคู่มือให้กับข้าได้งั้นรึ !”
ผู้อาวุโสใหญ่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เกรงกลัว จากนั้นเขาก็ติดชะงักอยู่ในการต่อสู้กับฉินเทียนไปพักใหญ่
ในอีกฟากหนึ่งของสมรภูมิรบ ฉินอวี้โม่และฮวาเหยียนอวี่ก็ต่อสู้กันมาระยะหนึ่งแล้ว
ฉินอวี้โม่ไม่คิดที่จะยั้งมือแม้แต่น้อยและปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้น ภายในเวลาเพียงไม่นาน ฮวาเหยียนอวี่ก็ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำและอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาไม่น้อย
“ฮวาเหยียนอวี่ ดูเหมือนความแข็งแกร่งของเจ้าจะไม่ดีเลิศเหมือนอย่างที่อวดอ้าง !”
ในขณะที่ปลดปล่อยการโจมตีและกล่าวเยาะเย้ยนั้น พลังวิญญาณของฉินอวี้โม่ก็เพิ่มสูงขึ้นจนถึงสภาวะสูงสุดเพื่อคอยสอดส่องป้องกันรอบด้าน แม้ชนเผ่าอู่ซินจะมีสมาชิกไม่มากนักทว่าทุกคนล้วนเชี่ยวชาญในทักษะที่ลึกลับและแปลกประหลาด หากประมาทเกินไปละก็ เกรงว่านางอาจจะติดกับดักของคนเหล่านั้นได้
“เจ้าเองก็ไม่ต่างกัน ลือกันว่าความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ในระดับสูงสุดของดินแดนแล้วและสามารถประจันหน้ากับท่านพ่อได้ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน เห็นทีมันคงจะมิใช่เรื่องจริง”
ฮวาเหยียนอวี่ไม่เปิดเผยช่องโหว่ใด ๆ ในขณะพยายามป้องกันตัว ทว่าสมาธิของนางก็เหมือนจะจดจ่ออยู่กับอะไรบางอย่าง
“ตอนนี้แหละ !”
เมื่อฉินอวี้โม่กำลังจะโจมตีอีกครั้ง จู่ ๆ ฮวาเหยียนอวี่ก็เปล่งเสียงขึ้นมา
จากนั้นร่างสองร่างก็ตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่อย่างฉับพลัน
ก่อนหน้านี้ทั้งสองร่างซ่อนตัวอยู่กลางอากาศราวกับล่องหนไร้ตัวตนซึ่งทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะระบุตำแหน่งของพวกเขาได้
ด้วยคมกระบี่เล่มยาวในมือทั้งสองข้าง พวกเขาก็พยายามจ้วงแทงตรงไปที่ฉินอวี้โม่จากทั้งสองทิศทาง
เคร๊ง !
ภาพที่คาดหวังไว้ไม่เกิดขึ้นและกระบี่ของคนทั้งสองก็แทงทะลุได้เพียงอากาศ ทว่าในเวลานี้ร่างของทั้งสองก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
“จิ๊จิ๊ คิดไว้แล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องเล่ห์กลบางอย่างไว้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าชนเผ่าอู่ซินเป็นคนที่ทุกคนต้องคอยระแวดระวังจริง ๆ ทว่าหลังจากวันนี้…ชนเผ่าอู่ซินจะไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไป”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นเหนือศีรษะของคนทั้งสองก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกได้เพียงประกายของกระบี่ที่พุ่งผ่านร่างไปในชั่วพริบตา จากนั้นทั้งสองก็กระอักเลือดออกมากลางอากาศก่อนที่ร่างจะร่วงหล่นลงไปกับพื้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
ฮวาเหยียนอวี่ตกใจจนโพล่งออกไปทันที ทั้งสองซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนมาตั้งแต่ต้นโดยมีเป้าหมายที่จะลอบสังหารฉินอวี้โม่ในขณะที่ไม่ทันได้ตั้งตัว หากไม่มีวิธีการพิเศษบางอย่าง แม้แต่นางเองก็ไม่มีทางระบุได้ว่าทั้งสองอยู่ที่ใด ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่านางเบี่ยงเบนความสนใจของฉินอวี้โม่ไว้ แล้วเหตุใดฉินอวี้โม่จึงหลบหลีกการโจมตีของทั้งสองและสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ?
“ฮวาเหยียนอวี่ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ แม้พวกเจ้าชนเผ่าอู่ซินจะมีวิชาหลบซ่อนตัวที่ล้ำเลิศ ทว่ามันก็มีจุดบอดที่สำคัญเช่นกัน เพียงระวังตัวให้มากขึ้นและเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า ข้าก็สามารถรับมือกับมันได้อย่างง่ายดาย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างมั่นใจและกล่าววาจาที่เรียกได้ว่าเป็นการโจมตีจิตใจของฮวาเหยียนอวี่อย่างจัง แม้ว่าวิธีรับมือของนางอาจฟังดูง่าย ทว่านางทราบดีว่าการหลบหลีกการโจมตีของคนทั้งสองมิใช่เรื่องง่ายเลย หากมิใช่เพราะนางแผ่พลังวิญญาณออกไปอย่างเต็มพิกัดและคอยเฝ้าระวังตัวอยู่ตลอด คงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสัมผัสถึงพลังที่ผันผวนในอากาศและหลบหลีกการโจมตีของทั้งสอง
“เหอะ ต่อให้หนีรอดไปจากพวกเขาได้ มันก็ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะหนีรอดไปจากไพ่ตายอีกใบของข้า !”
ฮวาเหยียนอวี่แค่นเสียงดังและจู่ ๆ ร่างของนางก็หยุดเคลื่อนไหว
จากนั้น ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่ทะลุทะลวงเข้ามาในความคิดจิตใจของตนราวกับต้องการควบคุมจิตของนางไว้จนเกิดความรู้สึกเจ็บปวดจี๊ดขึ้นมา
“บึซซซ…”
เสียงสั่นสะเทือนบางอย่างดังขึ้นมาในศีรษะของนางซึ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ในเวลานี้ บางสิ่งบางอย่างกำลังโจมตีส่วนลึกในจิตวิญญาณของนางและพลังวิญญาณที่ทรงพลังก็พยายามทำลายสติรับรู้ของนาง ราวกับว่าอีกไม่นานนางจะกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
“นี่คือไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดของชนเผ่าอู่ซินอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่พยายามควบคุมสติของตนเองไว้ให้มั่นขณะกล่าวออกไป นางทราบมาก่อนแล้วว่าชนเผ่าอู่ซินมีวิชาพลังวิญญาณที่พิเศษอยู่ มันสามารถทะลวงเข้าสู่จิตใจของเป้าหมายและโจมตีได้โดยตรง ตอนนี้นางได้เผชิญแล้วว่ามันทรงพลังและไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ คาดว่าหากคนของชนเผ่าอู่ซินใช้วิธีนี้ พวกเขาก็สามารถควบคุมเป้าหมายที่มีจิตวิญญาณอ่อนแอได้ไม่ยาก
น่าเสียดายที่จิตวิญญาณของฉินอวี้โม่แกร่งกล้าเกินไปและแตกต่างจากคนทั่วไปถึงหลายเท่า แน่นอนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับนางมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น
พลังวิญญาณของนางก็แผ่ออกไปปะทะกับพลังวิญญาณดังกล่าว จากเดิมที่มันพยายามกลืนกินพลังวิญญาณของนาง ทว่ากลับกลายเป็นพลังวิญญาณของฉินอวี้โม่ที่ครอบงำมันไปแทน
อึดใจต่อมา เสียงดังประหลาดเมื่อครู่นี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“พรวดดด !”
ภายในถ้ำไม่ไกลออกไป บุรุษชราคนหนึ่งกระอักเลือกคำโตออกมาและใบหน้าแดงก่ำของเขากลายเป็นซีดเผือดในทันที
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าวิชาโจมตีทางวิญญาณที่ศึกษามานานหลายปีของตนจะถูกทำลายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ พลังวิญญาณอันทรงพลังเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยไปทันที แม้วิชาโจมตีทางวิญญาณของชนเผ่าอู่ซินจะทรงพลังอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขาก็ต้องเผชิญกับผลสะท้อนกลับที่รุนแรงเช่นกันหากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้ามากกว่า
เดิมทีบุรุษชราซ่อนตัวภายในถ้ำและวางแผนที่จะโจมตีฉินอวี้โม่ด้วยวิชาโจมตีทางวิญญาณในช่วงเวลาสำคัญ ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะพลิกผันและเขาต้องรับผลสะท้อนกลับอันรุนแรงจนส่งผลให้พลังวิญญาณได้รับความเสียหายอย่างหนักและความแข็งแกร่งลดน้อยลงมาก เกรงว่าแม้แต่ผู้ที่มีพลังในขอบเขตพสุธาเซียนก็สามารถเอาชนะตัวเขาในเวลานี้ได้
“ผู้อาวุโสใหญ่แห่งชนเผ่าอู่ซิน ที่แท้เจ้าก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่เอง”
เมื่อเขาเช็ดเลือดที่เปื้อนมุมปากและกำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปพักฟื้น สตรีสองนางก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
แน่นอนว่าสตรีทั้งสองมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นมารยาและเสี่ยวม่านที่ได้รับคำสั่งจากฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ว่าให้จับตาดูความผิดปกติในบริเวณโดยรอบ เดิมทีพวกมันสัมผัสได้ถึงความผันผวนในอากาศอย่างผิดปกติและได้สะกดรอยตามจนมาถึงที่นี่ และเมื่ออสูรทั้งสองได้เห็นบุรุษชราที่เผชิญกับผลสะท้อนกลับจากการโจมตีของตนเอง ทั้งสองก็มั่นใจได้ทันทีว่าบุรุษชราผู้นี้คือผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินและเป็นไพ่ตายสุดท้ายของฮวาเหยียนอวี่
“พวกเจ้าพบข้าได้อย่างไร…”
ผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินถอนหายใจอย่างจนปัญญาเมื่อเห็นอสูรทั้งสองปรากฏตรงหน้า เขาทราบมาก่อนแล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่เก่งกาจและมากความสามารถ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่านางจะเตรียมความพร้อมไว้จนถึงขั้นนี้ เกรงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำมาก่อนหน้านี้ก็เพื่อที่จะหลอกล่อเขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินให้เผยตัวออกมา ครานี้คาดการณ์ได้ว่าฝ่ายของพวกเขาคงจะเผชิญกับความโชคร้ายมากกว่าความโชคดี
“มากับพวกข้า”
มารยาแผ่พลังวิญญาณออกไปและควบคุมตัวบุรุษชราไว้ทันที จากนั้นนางก็สะบัดมือเล็กน้อยและส่งผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว