คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 737 ความเปลี่ยนแปลงของบุปผาแห่งความมืด
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็ได้รับข่าวคืบหน้าจากมารยาและเสี่ยวม่านผ่านทางกระแสจิตและทราบว่าทั้งสองจับตัวผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินมาได้แล้ว
“ฮวาเหยียนอวี่ เจ้ากำลังรอผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าอู่ซินอยู่สินะ ?”
นางมองตรงไปที่คู่ต่อสู้และยกยิ้มมุมปากก่อนกล่าวขึ้นเบา ๆ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?!”
ฮวาเหยียนอวี่ตกใจอย่างเห็นได้ชัดและรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าของนางชะงักนิ่งไปทันที ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะทราบแม้กระทั่งว่าชนเผ่าอู่ซินมีผู้อาวุโสใหญ่อยู่ เขาเป็นผู้อาวุโสที่ทรงพลังและมากฝีมือของชนเผ่าซึ่งมีชีวิตอยู่มานานนับพันปี
เนื่องจากชนเผ่าอู่ซินสามารถใช้วิชาที่มีพลังเย้ยฟ้าท้าสวรรค์ กอปรกับพรสวรรค์การฝึกยุทธ์ที่กำจัด คนส่วนใหญ่จึงมีชีวิตได้ไม่ยาวนานเท่าใดนัก อย่างเช่นมารดาของฮวาเหยียนอวี่ที่เสียชีวิตไปหลังจากให้กำเนิดนางเพียงไม่นาน และสมาชิกคนอื่น ๆ ของชนเผ่าก็ล้มตายไปทีละคนจนปัจจุบันนี้ทั้งชนเผ่าอู่ซินเหลือเพียงตัวนางและผู้อาวุโสใหญ่ รวมถึงศิษย์สองคนที่ผู้อาวุโสใหญ่รับเข้ามาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเท่านั้น
ทว่าศิษย์ทั้งสองของเขาก็ถูกฉินอวี้โม่จัดการไปเมื่อครู่นี้แล้วและผู้อาวุโสใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำคือไพ่ตายสุดท้ายของฮวาเหยียนอวี่ ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะค้นพบตัวตนของผู้อาวุโสใหญ่เสียก่อน
“ตอนนี้เขาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวของข้า เจ้าต้องการจะเข้าไปอยู่กับเขาด้วยหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยทว่านางไม่มีทางส่งฮวาเหยียนอวี่เข้าไปในคฤหาสน์มิติของตนอย่างแน่นอน เพราะการที่ส่งสตรีชั่วช้าเช่นนี้เข้าไปมีแต่จะทำให้คฤหาสน์เฟิงหัวของนางต้องแปดเปื้อนมีมลทิน
“อะไรนะ ? เจ้าจับตัวผู้อาวุโสใหญ่ได้แล้วรึ ?!”
สีหน้าของฮวาเหยียนอวี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงและไม่สงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย นางและคนอื่น ๆ เคยได้ยินเกี่ยวกับคฤหาสน์มิติของฉินอวี้โม่มาก่อนและทราบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่จะถูกขังอยู่ข้างใน
“ข้าคิดมาตลอดว่าคนของชนเผ่าอู่ซินทรงพลังเป็นอย่างมาก ทว่าตอนนี้เห็นทีว่าคงจะมีดีเพียงแค่ชื่อเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางส่ายศีรษะเบา ๆ พร้อมทั้งแผ่พลังออกไปโจมตีฮวาเหยียนอวี่อย่างจัง
“อ๊ากกกก !”
ด้วยเสียงร้องเจ็บปวด ร่างของฮวาเหยียนอวี่ก็ถูกโจมตีกระเด็นออกไปทันทีและร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง พลังมายาของนางก็ถูกครอบงำโดยพลังมายาของฉินอวี้โม่จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก
“เสี่ยวจิ่ว จับตาดูนางไว้ให้ดี”
ฉินอวี้โม่สั่งการให้ราชาอสรพิษเก้าเศียรจับตาดูฮวาเหยียนอวี่ไว้ การประจันหน้ากลางอากาศใกล้ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุดแล้วและการต่อสู้ครานี้ควรจบลงโดยเร็วที่สุด
“รับทราบ นายหญิง”
ร่างของเสี่ยวจิ่วพุ่งตรงออกมาปรากฏกายหน้าฮวาเหยียนอวี่ก่อนกลับคืนร่างเดิมและบีบรัดร่างของนางไว้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ฮวาเหยียนอวี่หลบหนีไปไหนได้
ฮวาเหยียนอวี่ได้เพียงแผดเสียงร้องอย่างน่าสมเพชและไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ ไม่นานนักนางก็หมดสติแน่นิ่งไป
เวลานี้ การประจันหน้ากลางอากาศยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด
หานโม่ฉือและจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าคนอื่น ๆ ห้อมล้อมฮวาเฉินและปลดปล่อยการโจมตีอย่างต่อเนื่องทว่าพวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะผู้นำฝ่ายมารได้
ด้วยพลังอันน่าหวาดหวั่นของบุปผาแห่งความมืด ความแข็งแกร่งของฮวาเฉินจึงพัฒนาขึ้นมาก ถึงแม้ว่าเขาจะเอาชนะหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ไม่ได้ ทว่าพลังการป้องกันที่แข็งแกร่งของเขาก็มากพอที่จะป้องกันมิให้ฝ่ายตรงข้ามทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ
บุปผาแห่งความมืดก็อยู่ในการควบคุมของฮวาเฉินและวนเวียนอยู่ตรงหน้าเขาเพื่อช่วยขัดขวางการโจมตีส่วนใหญ่ไว้ พลังความมืดที่แผ่ออกมาก็ยังคงกลืนกินพลังมายาของทุกคนทั่วบริเวณอย่างไม่หยุดยั้งส่งผลให้สภาวะพลังของพวกเขาเหล่านั้นลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง
“เหอะ พวกเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก !”
ฮวาเฉินแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ แม้ทราบว่าขุมกำลังอื่นในฝ่ายมารพ่ายแพ้ไปแล้ว สีหน้าของเขาก็ยังดูใจเย็นและไม่ทุกข์ร้อน การประจันหน้าระหว่างเขาและกลุ่มคนตรงหน้าต่างหากที่เป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ของสงครามครานี้ สำหรับขุมกำลังพันธมิตรอื่น ๆ เหล่านั้น ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่ตัวเขาสามารถกำจัดหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ ชัยชนะในสงครามชี้ชะตาครานี้ก็จะตกเป็นของฝ่ายมาร
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าก็ทำได้เพียงพึ่งพาอาศัยพลังของบุปผาแห่งความมืดเท่านั้น หากไม่มีมัน เจ้าก็คงแพ้ไปนานแล้ว”
อู่เทียนฉิงหัวเราะเบา ๆ ทว่าต้องยอมรับเลยว่าพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวของฮวาเฉินในตอนนี้เหนือกว่าจินตนาการของพวกเขาไปมากทีเดียว พลังการป้องกันเพียงอย่างเดียวก็ห่างไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะเทียบชั้นได้ เมื่อครู่นี้เขาและเซิ่งเซียวรวมพลังกันปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงอำนาจที่สุดของตนออกไป ทว่าไม่อาจทำให้ฮวาเฉินบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย
“ฉินอวี้โม่ เจ้ามีบุปผาแห่งแสงและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัวมิใช่รึ เหตุใดถึงไม่นำพวกมันออกมาล่ะ ?”
ฮวาเฉินเมินเฉยต่อท่าทางเยาะเย้ยของอู่เทียนฉิงและหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งกลับเข้ามาร่วมในการต่อสู้ด้วยสีหน้ายั่วยุอย่างชัดเจน
เขามั่นใจว่าทั้งบุปผาแห่งแสงและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่โตเต็มวัย มิฉะนั้น ฉินอวี้โม่ก็คงนำพวกมันออกมานานแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่นางจะรอจนถึงตอนนี้?
“ในเมื่อเจ้าอยากจะเห็นนัก ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะจัดให้ตามคำขอ ”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มเยือกเย็นและเรียกเฟยเฟยออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว
“พี่อวี้โม่ ข้าขอเวลาอีกหนึ่งก้านธูป”
เสียงของเสี่ยวโพธิ์ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ ก่อนหน้านี้ มันเข้าสู่สภาวะจำศีลเพื่อทะลวงพลังและตอนนี้กระบวนการพัฒนาของมันก็เหลืออีกเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้นจึงจะสำเร็จได้ ตราบใดที่มันพัฒนาได้สำเร็จและรวมพลังเข้ากับบุปผาแห่งแสง การทำลายบุปผาแห่งความมืดของฝ่ายมารก็จะมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป
“นายหญิง ข้าจะจัดการกับกองทัพผีดิบพวกนั้นเอง”
ซิวกล่าวกับฉินอวี้โม่ก่อนกลับคืนร่างเดิมและพุ่งตรงไปยังทิศทางของกองทัพผีดิบในอีกฟากหนึ่ง
กองทัพผีดิบเหล่านั้นล้วนเป็นอมตะ แม้จอมยุทธ์ของดินแดนเทพมายาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ พวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะพวกมันได้ ในทางกลับกัน พลังมายาของคนเหล่านั้นก็ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ และค่อย ๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ไปโดยสมบูรณ์
“ไปเถอะ พวกเราจะจัดการทางนี้เอง”
เพลิงอสูรของซิวน่าจะมีผลยับยั้งต่อกองทัพผีดิบไร้ความรู้สึกเหล่านั้น ฉินอวี้โม่จึงไม่คัดค้านและให้ซิวแยกตัวไปช่วยสถานการณ์ในทางนั้น
“บุปผาแห่งความมืด เจ้าไม่มีแม้แต่จิตรับรู้ของตัวเองรึ ?”
เมื่อเฟยเฟยปรากฏตัว บุปผาแห่งแสงก็ลอยออกจากร่างของเด็กสาว เวลานี้มันจำแลงเป็นร่างเด็กสาวที่ดูเยือกเย็นและมองตรงไปยังบุปผาแห่งความมืดที่ลอยอยู่ตรงหน้าผู้นำฝ่ายมาร
เทพพฤกษาทรงพลังทั้งสามล้วนมีจิตสำนึกและความคิดเป็นของตนเองซึ่งไม่มีใครที่สามารถที่ควบคุมได้ ทว่าบุปผาแห่งความมืดตรงหน้ามันกลับสูญเสียสติรับรู้ของตนเองไปและตอนนี้ก็กลายเป็นเพียงเครื่องจักรสังหารที่สนใจเพียงการทำลายเป้าหมายตามคำสั่งเท่านั้น
บุปผาแห่งแสงก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่จึงกระวนกระวายที่จะครอบครองมันมาให้ได้ เห็นได้ชัดแล้วว่าบุปผาแห่งความมืดในการครอบครองของฮวาเฉินผิดแปลกไปจากที่คิดไว้มาก
“ฮึมมม~”
เสียงหึ่มอย่างประหลาดดังขึ้นกลางอากาศและมาจากบุปผาแห่งความมืดตรงหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของบุปผาแห่งแสง มันก็ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น
บุปผาแห่งแสงและบุปผาแห่งความมืดเป็นปฏิปักษ์ต่อกันโดยธรรมชาติ ต่อให้สูญเสียจิตรับรู้ไปแล้ว บุปผาแห่งความมืดก็ยังจดจำกลิ่นอายของบุปผาแห่งแสงได้ดี
“การที่ตกเป็นเครื่องมือของมนุษย์ต่ำต้อยเช่นนี้ บุปผาแห่งความมืดเอ๋ย…เจ้าไม่รู้สึกละอายใจรึ ?”
บุปผาแห่งแสงกล่าวต่อขณะลำแสงสว่างจ้าปรากฏในมือของมัน
พลังมายาที่เปี่ยมไปด้วยแสงสว่างแผ่ออกไปทั่วบริเวณและค่อย ๆ ปัดเป่าพลังความมืดที่อยู่โดยรอบส่งผลให้พลังมายาของทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากมันฟื้นฟูกลับคืนสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
กล่าวได้เลยว่าพลังของบุปผาแห่งแสงในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุปผาแห่งความมืดเลย
“บุปผาแห่งแสงสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้แล้วรึ ? ช่างน่าสนใจจริง ๆ”
เมื่อฮวาเฉินเห็นร่างมนุษย์จำแลงของบุปผาแห่งแสง เขาก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนแสยะยิ้มออกมา เดิมทีเขามั่นใจว่าบุปผาแห่งแสงยังไม่เจริญเติบโตขึ้นมา เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาคิดผิดไปอย่างถนัด การที่มันสามารถจำแลงร่างและปรากฏต่อหน้าทุกคนได้เช่นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าพลังของมันในตอนนี้ก็แกร่งกล้าไม่น้อยทีเดียว
“แท้ที่จริงแล้วบุปผาแห่งความมืดก็ทำได้เช่นกัน ทว่าวิธีการที่เจ้าใช้เป็นวิธีการที่ผิด ยิ่งไปกว่านั้น บุปผาแห่งความมืดก็ควรที่จะแสดงพลังได้มากกว่านี้”
บุปผาแห่งแสงในร่างมนุษย์ชำเลืองมองไปทางฮวาเฉินและกล่าวอย่างไม่สนใจเขาเท่าใดนัก
การที่บุรุษผู้นี้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉินอวี้โม่เรียกได้ว่าเป็นการรนหาที่ตายโดยแท้ พลังลึกลับในร่างของสตรีผู้นั้น…ตราบใดที่มันปรากฏออกมาแม้เพียงเล็กน้อย มันก็มากพอที่จะสังหารศัตรูทุกชีวิตตรงหน้าได้อย่างสิ้นซาก เพียงแต่พลังลึกลับดังกล่าวจะไม่ปรากฏออกมาง่าย ๆ ก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หากมันคาดเดาไม่ผิด พลังที่อยู่เบื้องหลังฉินอวี้โม่นั้น แม้แต่ผู้ที่แกร่งกล้าทรงพลังที่สุดในดินแดนเทพมายาก็ต้องยอมก้มหัวยอมศิโรราบอย่างไม่อาจขัดขืน…
“ข้าทราบดีอยู่แล้วว่าบุปผาแห่งความมืดสามารถปลดปล่อยพลังได้มากกว่านี้ เจ้ารอดูต่อไปเถอะ !”
ผู้นำฝ่ายมารแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นและจู่ ๆ เขาก็ใช้คมกระบี่เฉือนข้อมือของตนและปล่อยให้เลือดสด ๆ ไหลรินลงบนบุปผาแห่งความมืดตรงหน้า ภายในเวลาเพียงไม่นาน ขนาดของบุปผาแห่งความมืดก็ใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าตัว
“ฮึมมม…”
เสียงประหลาดดังขึ้นในหูของทุกคนพร้อมกับแรงกดดันอย่างรุนแรงที่แผ่ออกมา จุดที่บุปผาแห่งแสงยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังความมืดอย่างรวดเร็ว แม้แต่ท้องฟ้าก็มืดหม่นลงและสิ่งแวดล้อมโดยรอบก็ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยพลังความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุดซึ่งเป็นบรรยากาศที่น่าหดหู่อย่างที่สุด
“วิชาสังเวยโลหิต ! นี่เจ้าถึงกับต้องใช้วิชาที่ชั่วร้ายเช่นนี้เลยรึ ?!”
ความตกตะลึงสุดขีดแสดงออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้าที่ดูเยือกเย็นของบุปผาแห่งแสงและมันมองตรงไปที่ฮวาเฉินพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
‘วิชาสังเวยโลหิต’ เป็นศาสตร์ลึกลับต้องห้ามที่สามารถทำให้เทพพฤกษาทั้งสามทรงพลังจนเย้ยฟ้าท้าสวรรค์ กล่าวกันว่ามีเพียงผู้ที่มีร่างกายเหมาะสมที่สุดเท่านั้นที่จะใช้วิชาดังกล่าวได้ และเมื่อใช้มัน ความแข็งแกร่งของเทพพฤกษาทั้งสามจะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุด
เพียงแต่เมื่อพลังของเทพพฤกษาชนิดใดถูกกระตุ้นขึ้นมาโดยวิชาสังเวยโลหิต มันจะสูญเสียจิตสำนึกไปโดยสมบูรณ์และไม่มีวันฟื้นฟูกลับคืนมาได้อีก
เพราะเหตุนั้น วิชาสังเวยโลหิตจึงถูกเรียกว่าเป็นศาสตร์ต้องห้ามที่ชั่วร้ายและเทพพฤกษาทรงพลังทั้งสามก็ไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับวิชาเช่นนี้แม้แต่น้อย
การที่บุปผาแห่งความมืดตกเข้าไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้นำฝ่ายมาร นับว่าเป็นเคราะห์ร้ายของมันโดยแท้
อย่างไรก็ตาม ด้วยการใช้วิชาสังเวยโลหิตนี้ พลังของบุปผาแห่งความมืดก็เพิ่มสูงขึ้นจนยากที่จะรับมือกับมันได้อีก
บุปผาแห่งความมืดยังคงขยายใหญ่ขึ้นและพลังความมืดรอบตัวมันก็หนาแน่นและทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ฉินอวี้โม่และจอมยุทธ์ผู้กล้าคนอื่น ๆ ก็รู้สึกได้ว่าพลังของตนถูกระงับไว้และไม่สามารถปลดปล่อยพลังออกไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นับประสาอะไรกับจอมยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งด้อยกว่าพวกนาง
พืชพรรณหลากหลายชนิดที่อยู่รอบบริเวณก็ล้วนเหี่ยวแห้งโรยราเมื่อตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุปผาแห่งความมืด แม้แต่สัตว์ตัวเล็ก ๆ จำนวนมากก็สูญเสียพลังชีวิตและล้มตายไปอย่างกะทันหัน
ในทางกลับกัน พลังของกองทัพผีดิบที่ฮวาเฉินอัญเชิญออกมาก็เหมือนจะแกร่งกล้าขึ้นมาก ตอนนี้ผีดิบเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าของคนทั่วไปและดูน่ากลัวอย่างที่สุด
“ระวังตัวด้วย ตอนนี้ข้าต่อกรกับพลังของบุปผาแห่งความมืดไม่ได้อีกแล้ว”
บุปผาแห่งแสงส่งเสียงเตือนทุกคนขณะพยายามปลดปล่อยพลังแห่งแสงออกไปปกคลุมทุกอย่างรอบตัวและต่อสู้กับพลังความมืด
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพลังของมันอ่อนแอกว่าบุปผาแห่งความมืด มันจึงครอบคลุมได้เพียงพื้นที่ส่วนเล็ก ๆ เท่านั้นโดยที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคน
“เหอะ ตายไปซะเถอะ !”
เมื่อบุปผาแห่งความมืดขยายใหญ่ขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง ฮวาเฉินก็หยุดถ่ายเทเลือดของตนเอง แม้สูญเสียเลือดไปมาก เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะได้รับผลกระทบจากมันแต่อย่างใด เขาไม่เพียงแต่ดูปกติดีเท่านั้น ทว่าพลังของเขาก็ดูจะพัฒนาขึ้นเล็กน้อย อึดใจต่อมา เขาก็ไม่รอช้าและโจมตีตรงไปที่อู่เทียนฉิงด้วยพลังมายาอันทรงพลัง
ตูมมม !
อู่เทียนฉิงพยายามขัดขวางมันไว้โดยตบฝ่ามือออกไป ทว่าพลังของเขาก็อ่อนแอเกินไปและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นพลังของฮวาเฉินก็โจมตีถึงตัวของอู่เทียนฉิงจนร่างของเขากระเด็นปลิวออกไป
พลั่ก !
อู่เทียนฉิงกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับต้นไม้อย่างจังก่อนทรงตัวได้อีกครั้ง จากนั้นเขาก็หันขวับกลับมามองฮวาเฉินด้วยสายตาโกรธแค้นและอดที่จะสบถต่อว่าไม่ได้
“ไอ้ลูกหมา !”