คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 739 ฮวาเฉินขอความเมตตา
บนอากาศซึ่งเป็นสมรภูมิรบในตอนนี้ ในที่สุดเสี่ยวโพธิ์และบุปผาแห่งแสงก็ร่วมมือกันและปราบปรามควบคุมบุปผาแห่งความมืดที่ถูกกระตุ้นด้วยวิชาสังเวยโลหิตได้สำเร็จ
บรรยากาศมืดหม่นโดยรอบค่อย ๆ จางหายไปและท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง พฤกษานานาพรรณที่แห้งเหี่ยวตายไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นคืนชีพกลับมาตาม ๆ กันและมีพลังชีวิตที่อุดมสมบูรณ์เหมือนดังเดิม
ขนาดของบุปผาแห่งความมืดก็หดเล็กลงเรื่อย ๆ จนกลับสู่ขนาดดั้งเดิมในเวลาไม่นาน ยิ่งไปกว่านั้น บุปผาแห่งความมืดที่บานสะพรั่งและโตเต็มวัยก็เปลี่ยนกลายเป็นต้นกล้าเช่นกัน แม้วิชาสังเวยโลหิตจะเพิ่มพลังของบุปผาแห่งความมืดได้มาก ทว่าพลังที่เหนือจินตนาการดังกล่าวก็ควบคู่มากับผลข้างเคียงที่รุนแรงมากเช่นกัน เมื่อใดที่ถูกฝ่ายตรงข้ามควบคุมได้ มันจะกลับสู่ช่วงเริ่มต้นของการเจริญเติบโตและต้องใช้เวลานานกว่าพันปีเพื่อบ่มเพาะสะสมพลังจนกระทั่งโตเต็มวัยได้อีกครา
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
เมื่อพลังของบุปผาแห่งความมืดค่อย ๆ สลายหายไป พลังของฮวาเฉินก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ เช่นกัน ถึงแม้ว่าเขายังคงมีพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว ทว่าเขาก็สูญเสียพลังความมืดที่เสริมเข้ามาและตอนนี้ปลดปล่อยพลังได้เพียงครึ่งหนึ่งของก่อนหน้านี้เท่านั้น
พลังการป้องกันเดิมที่เคยน่าทึ่งและแทบจะไร้เทียมทานนั้น ทว่าในเวลานี้พลังป้องกันนั้นก็กลับสู่สภาวะปกติแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น มันยังได้รับผลข้างเคียงจากการใช้วิชาสังเวยโลหิตเช่นกันซึ่งทำให้พลังป้องกันของเขาอ่อนแอลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ในทางตรงกันข้าม สำหรับอู่เทียนฉิงและคนอื่น ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ ด้วยการรวมพลังของต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และบุปผาแห่งแสง พลังและอาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมาจนกลับคืนสู่สภาวะเต็มร้อยอีกครั้ง
“ตาแก่ฮวาเฉิน ดูเหมือนเจ้าจะมาได้แค่นี้ ฮ่า ๆ ๆ”
อู่เทียนฉิงมองฮวาเฉินและกล่าววาจาเยาะเย้ย
ด้วยความช่วยเหลือของพลังจากบุปผาแห่งความมืด ฮวาเฉินก็ทำให้เขาและสหายฝ่ายดินแดนเทพมายาทุกคนต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ตอนนี้ในเมื่อบุปผาแห่งความมืดพ่ายแพ้และกลับคืนสภาพเดิมแล้ว ต่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากับฮวาเฉินเพียงลำพัง พวกเขาก็มีพลังที่จะต่อสู้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าในเวลานี้ฝ่ายของพวกเขาก็มีคนเป็นจำนวนมากในขณะที่ฮวาเฉินมีเพียงตัวคนเดียว ต่อให้แต่ละคนโจมตีกันด้วยกระบวนท่าเดียว มันก็เพียงพอที่จะทำให้ฮวาเฉินตกอยู่ในสภาพปางตายแล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่กลับตาลปัตรตรงหน้า ฮวาเฉินก็ตัดสินใจถอยกลับไปตั้งหลักทันที
“เหอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน !”
เขาแค่นเสียงเย็นชาก่อนเหวี่ยงสะบัดมือเล็กน้อยและดึงบุปผาแห่งความมืดกลับไปหาตน จากนั้นร่างของเขาก็กะพริบหายไปและเคลื่อนตัวออกไปไกล เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการหลบหนีออกไปตั้งหลักก่อน
“หากคิดจะหนี เจ้าต้องถามความเห็นของพวกเราก่อน !”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพุ่งตรงออกไปขวางหน้าผู้นำฝ่ายมารไว้ทันที ฉินอวี้โม่เคยประมือกับเขามาตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนและทราบดีว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมารยา แน่นอนว่านางไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาหลบหนีไปได้ง่ายๆ
ฝ่ายมารเป็นขุมกำลังที่ชั่วร้ายอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเมื่อพันปีก่อนหรือปัจจุบันนี้ พวกเขาก็ก่อกรรมทำชั่วมาโดยตลอดและทำให้ผู้คนทั่วทั้งดินแดนโกรธแค้นและโศกเศร้าเสียใจมากมาย ในครานั้นแม้ว่านางในร่าง ‘ชิงเหอ’ จะกำจัดฮวาเฉินไม่สำเร็จ ทว่าครานี้ฉินอวี้โม่ไม่มีทางปล่อยให้เขาหลบหนีไปได้
หานโม่ฉือก็ไม่ได้มีความคับแค้นใจมากนัก ทว่าเพียงสิ่งใดที่เขารู้สึกแค้นเคืองใจมาตลอดก็คือการที่ฮวาเฉินผู้นี้พรากฉินอวี้โม่ไปจากเขานานนับพันปี และเขาวางแผนที่จะคิดบัญชีกับเรื่องนี้อย่างสาสม
เซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ก็เหาะตามมาล้อมรอบฮวาเฉินอย่างรวดเร็ว พวกเขาทราบดีว่าหากไม่กำจัดคนผู้นี้ไป ดินแดนเทพมายาจะไม่มีวันกลับคืนสู่ความสงบสุขได้อย่างแท้จริง ตราบใดที่คนใจชั่วคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ หายนะจะต้องบังเกิดกับดินแดนเทพมายาไปตลอด
“ฉินอวี้โม่ เมื่อพันปีก่อนเจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ครานี้เจ้าก็อย่าหวังว่าเจ้าจะทำได้ !”
ฮวาเฉินในตอนนี้กระวนกระวายใจไม่น้อย ทว่าเขาไม่แสดงออกทางสีหน้า เมื่อพันปีก่อน เขาหาทางหลบหนีจนรอดไปได้และครานี้เขาก็เตรียมความพร้อมไว้แล้วเช่นกัน วิชาลับที่เขาเรียนรู้มาถือว่าพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงมีเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ เขาก็สามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่และฟื้นกลับคืนจากความตายได้ และนี่ถือเป็นหนึ่งในไพ่ตายใบสำคัญของเขาเช่นกัน
“ฮวาเฉิน ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้งแน่ เมื่อพันปีก่อน ข้าปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ ทว่าครานี้เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน !”
ฉินอวี้โม่จดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามครานั้นได้เป็นอย่างดีและคาดเดาความคิดของฮวาเฉินได้เช่นกัน เพียงแต่ครานี้ไม่เหมือนเหตุการณ์พันปีก่อนและนางจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอย่างแน่นอน
“เหอะ ก็ลองดูเถอะ !”
ฮวาเฉินแค่นเสียงเย็นชาและกวาดสายตามองเหล่าจอมยุทธ์รอบตัวและโบกขยับมือเบา ๆ ก่อนสิ่งที่ดูเหมือนค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏตรงหน้า
“กรรรร!”
เสียงคำรามดังออกมาจากข้างในค่ายกลซึ่งเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันอย่างมหาศาล จากนั้นสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่หลายสิบตัวก็พุ่งออกมาจากข้างในและพวกมันต่างก็เป็นผีดิบที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“นี่มันมังกรผีดิบ !”
เสียงของซิวดังขึ้นในหูของทุกคน สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นคือมังกรที่ตายไปนานแล้ว ทว่าฮวาเฉินก็ใช้วิธีการบางอย่างในการเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นวิญญาณผีดิบซึ่งคอยรับใช้และเชื่อฟังคำสั่งของเขา
“ช่างเป็นแรงกดดันที่รุนแรงยิ่งนัก ! คิดไม่ถึงเลยว่าฮวาเฉินจะมีไพ่ตายเช่นนี้อยู่”
เซิ่งเซียวอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ มังกรผีดิบร่างมหึมาเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ไร้ที่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนในระดับผู้นำในสายพันธุ์ของตนเองและถือได้ว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังในเผ่ามังกร
“นี่คือมังกรครามที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว มังกรครามมิใช่เผ่าพันธ์ุที่ชื่นชอบสงครามมาตั้งแต่พันปีก่อน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสงครามที่เกิดขึ้นในอดีต สายเลือดมังกรครามก็ได้ถูกทำลายไป ไม่คิดเลยว่าเจ้าชายแก่นี่จะชั่วร้ายจนถึงขั้นที่ขุดพวกมันออกจากหลุมและเปลี่ยนให้กลายเป็นผีดิบคอยรับใช้เขาเช่นนี้ ไม่ยอมให้พวกมันได้ตายไปอย่างสงบสุข”
สีหน้าของหานอวี้ในตอนนี้แสดงถึงความโกรธแค้นอย่างที่สุด ในฐานะมังกรสายเลือดสูงส่งที่เปรียบเสมือนดั่งราชาของเผ่าพันธุ์มังกร แน่นอนว่ามันโกรธแค้นอย่างที่สุดเมื่อเห็นว่าสหายร่วมเผ่าพันธุ์ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจ้าฮวาเฉินผู้นี้เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจเป็นที่สุด
“คิดไม่ถึงสินะว่าข้าจะมีไพ่ตายเช่นนี้ ! ฮ่า ๆ ๆ”
ฮวาเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา แน่นอนว่าการที่เขาเก็บตัวฝึกวิชามาตลอดพันปีที่ผ่านมา เขาก็ย่อมมีไพ่ตายที่ซ่อนไว้มากมาย วิชาการสยบผีดิบนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้โดยบังเอิญและมันกลายเป็นไพ่ตายสำคัญของเขาในสงครามครานี้
เนื่องจากทราบดีว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือ ก่อนหน้านี้เขาจึงเก็บซ่อนไพ่ตายบางอย่างไว้ก่อน ซึ่งมังกรผีดิบเหล่านี้ก็คือหนึ่งในนั้น หากเกิดสถานการณ์วิกฤตขึ้นมา เขาก็สามารถปล่อยมังกรผีดิบเหล่านี้ออกไปเพื่อขัดขวางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไว้เพื่อช่วยให้เขามีโอกาสหลบหนีได้สำเร็จ
“ฮวาเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะมีไพ่ตายใดซ่อนอยู่ วันนี้เจ้าก็ไม่มีทางหลบหนีไปได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็น แม้ไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีไพ่ตายที่ทรงพลังเช่นนี้ นางก็เตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว หากเป็นผีดิบของเผ่าพันธุ์อื่น มันก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ ทว่าหากเป็นเผ่าพันธ์ุมังกรละก็ พวกมันก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำหรับพวกนาง
ไม่ว่าซิวหรือหานอวี้ พวกมันก็มีบารมีมังกรทรงพลังที่สามารถข่มขวัญมังกรในสายพันธุ์ระดับต่ำกว่าซึ่งแม้แต่ผีดิบพวกนี้ก็จะได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ต่อให้มีพลังในระดับนภาเซียนขั้นสูงสุด เมื่ออยู่ต่อหน้าซิวและหานอวี้ อีกฝ่ายก็ไม่สามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
จากนั้นมังกรผีดิบที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณเหล่านี้ก็พุ่งตรงเข้าโจมตีทุกคนอย่างรวดเร็ว ฮวาเฉินก็ถือโอกาสนี้เพื่อพุ่งตัวออกไปไกลมากขึ้นด้วยหวังว่าจะหนีรอดกลับไปถึงเกาะของฝ่ายมารได้ เพราะถึงอย่างไรบนเกาะแห่งนั้นก็มีข่ายอาคมที่ป้องกันอยู่รอบ ๆ ซึ่งแม้แต่ฉินอวี้โม่และคนเหล่านี้ก็ยากที่จะฝ่าทะลวงเข้าไปได้
“เหอะ เมื่อครั้งยังมีชีวิต พวกเจ้าต้องก้มหัวให้กับเทพผู้นี้ แม้หลังจากตายไปแล้ว พวกเจ้าก็ยังต้องก้มหัวให้กับเทพผู้นี้เช่นเดิม มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป!”
ซิวแค่นเสียงก่อนแผ่บารมีมังกรที่น่าสะพรึงครอบงำมังกรผีดิบอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เผด็จการและน่าเกรงขามอย่างที่สุด
มันคือเทพอสูรที่ทรงพลังกว่าอสูรทั้งปวงและพลังของมังกรผีดิบเหล่านี้ก็ไม่อยู่ในสายตาของมันด้วยซ้ำ
“อ๊าก…”
มังกรผีดิบเหล่านั้นสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากซิวและส่งเสียงร้องออกมาในขณะที่การเคลื่อนไหวของพวกมันหยุดชะงักไปในทันที
“ตาเฒ่าฮวาเฉิน เจ้าลืมไปแล้วรึว่าข้าผู้นี้เป็นใคร ?”
จากนั้นมันก็กวาดสายตาไปมองที่ฮวาเฉินและกล่าวด้วยแววตาเหยียดหยาม สำหรับการใช้มังกรผีดิบเหล่านี้เป็นไพ่ตายในการหลบหนี มีเพียงคนเขลาอย่างฮวาเฉินเท่านั้นที่จะคิดได้
แม้หลังจากที่ตายไป แรงกดดันทางสายเลือดก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม ความหวาดกลัวที่แทรกซึมเข้าไปถึงชั้นกระดูกไม่อาจจางหายไปเพียงเพราะความตายที่เข้ามาขวางกั้น
“เจ้าพวกมังกรไร้น้ำยา รีบช่วยข้าเร็วเข้า !”
ฮวาเฉินมองตรงไปที่มังกรผีดิบที่หยุดนิ่งและไม่กล้าเคลื่อนไหว เวลานี้สีหน้าความใจเย็นของเขาไม่หลงเหลืออีกต่อไปและเต็มไปด้วยเดือดดาลอย่างที่สุด เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท…บารมีมังกรทางสายเลือดมิใช่สิ่งที่จะลบล้างออกไปได้ กองทัพมังกรผีดิบที่เขาเรียกออกมาไม่มีประโยชน์ใด ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับซิวผู้ทรงพลัง
“ไม่มีทางที่พวกมันจะช่วยอะไรเจ้าได้อีก ทีนี้ก็ถึงตาของพวกเราที่จะได้เล่นสนุกกับเจ้าแล้ว”
จากนั้น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตรงเข้าไปล้อมรอบฮวาเฉินด้วยจิตสังหารที่แรงกล้าทันที
“มาซ้อมเขาให้น่วมกันเถอะ !”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวเสียงดังและตรงเข้าโจมตีฮวาเฉินก่อนผู้ใด คนอื่น ๆ ก็ไม่ปรานีเช่นกันและเริ่มโจมตีไปตาม ๆ กัน
แม้ว่าฮวาเฉินจะสามารถรับมือได้ในตอนแรก ทว่าภายในเวลาเพียงสั้น ๆ การโจมตีของทุกคนก็กระหน่ำใส่ตัวเขาจนบาดเจ็บและต้องพยายามหลีกหนีอย่างน่าสังเวช
ด้วยการรวมพลังของบุปผาแห่งแสงและเสี่ยวโพธิ์ กองทัพผีดิบของเขาก็สูญเสียพลังไปมากและฝ่ายดินแดนเทพมายาก็สามารถรับมือกับพวกมันได้ง่ายขึ้นมาก ในตอนนี้ขณะรับมือกับคู่ต่อสู้ของตนเอง คนเหล่านั้นก็มองฝ่ายฉินอวี้โม่ที่รุมกระหน่ำเตะต่อยฮวาเฉินอยู่กลางอากาศ พวกเขาก็รู้สึกสดชื่นกันอย่างมาก หากมีโอกาส พวกเขาก็ต้องการร่วมด้วยช่วยอีกแรง
ทว่าภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ร่างของฮวาเฉินก็เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเล็กใหญ่ ทุกคนไม่ยั้งมือแม้แต่น้อยและปลดปล่อยการโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ความแข็งแกร่งของฮวาเฉินจะบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว เขาก็ไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากเช่นนี้ได้และร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงจนไร้พลัง
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย…โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ…”
เมื่อร่วงลงพื้นดินในสภาพที่ดูน่าเวทนา ฮวาเฉินก็อ้อนวอนขอความเมตตาทันที
ความมั่นอกมั่นใจของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาตระหนักดีว่าหากยังฝืนดึงดันต่อไป ตนจะต้องตายอย่างแน่นอน ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เกรงว่าเมื่อถูกสังหารครานี้ เขาจะไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีก
“ฉินอวี้โม่ แม้เมื่อพันปีก่อนข้าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าต้องตายและกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ทว่าข้าเองก็ต้องใช้เวลานับพันปีเพื่อฟื้นฟูและสร้างร่างกายขึ้นใหม่เช่นกัน แท้ที่จริงเราก็ไม่ได้มีความอาฆาตแค้นที่ลึกซึ้งเกินไปนัก ข้าขอร้องล่ะ…ปล่อยข้าไปเถอะ…ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งชั่วร้ายอีก ข้าจะเก็บตัวฝึกวิชาอย่างสงบสุขและไม่เสนอหน้ามาเหยียบดินแดนเทพมายาอีกเลย”
เขาทราบดีว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง ตราบใดที่นางรับปากจะปล่อยเขาไป คนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถคัดค้านได้ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยสีหน้าวิงวอน
“ฮวาเฉิน หากเจ้ายืนหยัดต่อสู้ไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย ข้าก็อาจจะเห็นเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควร ทว่าการกระทำเช่นตอนนี้ทำให้ข้าอยากจะอาเจียนเสียจริง คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าด้วยซ้ำ”
ฉินอวี้โม่มองฮวาเฉินบนพื้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง
ฮวาเฉินถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าและทรงพลังของดินแดน ทว่ากลับไม่มีเจตจำนงที่หนักแน่น หากยืนหยัดต่อสู้ไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย ฉินอวี้โม่ก็ยังจะมองว่าเขาเป็นบุคคลที่น่านับถือในระดับหนึ่ง ทว่าการอ้อนวอนขอความเมตตาในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกขยะแขยงอย่างที่สุด บุคคลที่รักตัวกลัวตายเช่นนี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนางแม้แต่น้อย
“ฉินอวี้โม่ ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าไป ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นภัยต่อเจ้าและผู้คนในดินแดนอีกเลย ต่อให้ต้องยอมจำนนก้มหัวให้กับเจ้า ข้าก็ไม่คัดค้าน”
เวลานี้ ฮวาเฉินไม่สนใจศักดิ์ศรีหรือกลัวเสียหน้าอีกต่อไป เขาเพียงไม่อยากตายเท่านั้น ตราบใดที่รอดชีวิตไปได้ ต่อให้ต้องก้มหัวศิโรราบเขาก็ยอม อย่างไรก็ตาม ประกายบางอย่างปรากฏในแววตาของเขา หากฉินอวี้โม่ปล่อยเขาไป เขาจะกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น เขาจะเตรียมความพร้อมให้ดียิ่งกว่านี้
“ไม่มีทาง”
ฉินอวี้โม่ปฏิเสธอย่างไม่แยแสและเพลิงอสูรของซิวปรากฏในมือก่อนยื่นออกไปหมายจะแผดเผาฮวาเฉินตรงหน้าให้สิ้นซาก
“หยุดเดี๋ยวนี้ !”
จู่ ๆ น้ำเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นและแรงกดดันอันทรงพลังแผ่ปกคลุมฉินอวี้โม่ทันทีส่งผลให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย