คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 744 ตามหาช่องทางลับ
ฉินอวี้โม่และคณะใช้เวลาเจ็ดวันในการเดินทางมาถึงยังจุดหมายซึ่งก็คือเกาะที่เป็นฐานทัพของฝ่ายมาร
ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ ฉินเทียน อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวรวมเป็นคณะห้าคน ทว่าก็ยังมีติงเหวินผู้ซึ่งคุ้นเคยกับฐานทัพของฝ่ายมารเดินทางมาด้วยกัน
“ติงเหวิน ท่านรู้จักสถานที่ต้องห้ามใดในเกาะนี้รึไม่ ?”
ติงเหวินใช้ชีวิตอยู่ในเกาะของฝ่ายมารมามากกว่ายี่สิบปีและเรียกได้ว่าคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ทราบเลยว่ามีเส้นทางหรือประตูนำทางไปสู่ดินแดนระดับสูงตั้งอยู่ในเกาะแห่งนี้ด้วย
ทุกคนก็พยายามตามหาและสำรวจดูรอบ ๆ ทว่าก็ไม่พบเบาะแสใด หลังจากที่มาถึงห้องหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
หากมีช่องทางที่นำไปสู่ดินแดนระดับสูงอยู่ภายในฐานทัพของฝ่ายมารจริง มันก็ควรจะซ่อนอยู่ในพื้นที่เขตหวงห้ามของเกาะแห่งนี้ ตราบใดที่หาที่นั่นได้พบ พวกนางก็น่าจะพบเบาะแสของสิ่งที่ตามหาเช่นกัน
“ข้าขอเวลาคิดดูก่อน…”
ติงเหวินพยายามค้นหาในความทรงจำของตนเพื่อนึกย้อนไปถึงพื้นที่ทุกแห่งของฝ่ายมาร รวมถึงกฎข้อห้ามมิให้ละเมิดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็ส่งอสูรมายาจำนวนมากของตนออกไปสำรวจหาสถานที่ที่ดูผิดปกติในเกาะแห่งนี้เช่นกัน
ตึก ตึก ตึก..
ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของคนสองคนดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และคณะอย่างชัดเจนส่งผลให้ทุกคนขมวดคิ้วมุ่นทันที
ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าฝ่ายมารได้ถูกทำลายไปแล้ว อดีตสมาชิกส่วนใหญ่ก็เข้าร่วมกับขุมกำลังใหญ่หลายแห่งของดินแดน ในขณะที่บางส่วนกระจายตัวไปอยู่ตามเมืองต่าง ๆ โดยไม่มีผู้ใดกลับมาที่เกาะแห่งนี้ แล้วเหตุใดจึงมีเสียงฝีเท้าของใครบางคนปรากฏขึ้นมาที่นี่ได้ ?
ไม่นานนัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออกและเจ้าของฝีเท้าทั้งสองก็เดินเข้ามา เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยทันที
“ศิษย์น้อง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?”
น้ำเสียงที่คุ้นหูของบุรุษคนหนึ่งเอ่ยถามออกมา
“ศิษย์พี่ พี่สะใภ้ ที่แท้ก็เป็นท่านทั้งสองนี่เอง”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่คิดเลยว่าฉินเฟิงและฉินเหยียนจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่
หลังจากที่สิ้นสุดสงคราม ทั้งสองก็หายตัวไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะกล่าวร่ำลาหรือแจ้งให้ทราบว่าพวกเขาต้องการออกไปท่องรอบดินแดน ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็ต้องการแจ้งให้ทั้งสองทราบเกี่ยวกับแผนการเดินทางไปยังดินแดนระดับสูง ทว่าไม่สามารถติดต่อคนทั้งสองได้เลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งสองจะมาที่นี่เช่นกัน
“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังวางแผนที่จะเดินทางไปยังดินแดนระดับสูงรึ ?”
ฉินเฟิงมองทุกคนในห้องและคาดเดาได้ไม่ยากจึงเอ่ยถามเพื่อยืนยันความคิดนั้น
“เจ้าค่ะ มีข่าวเกี่ยวกับมารดาของข้าในดินแดนระดับสูง ข้าจึงตัดสินใจจะไปที่นั่นและตามหานางด้วยตัวเอง ว่าแต่ศิษย์พี่และพี่สะใภ้เถอะ เหตุใดจึงมาที่นี่ได้ ?”
ฉินอวี้โม่อธิบายเพียงคร่าว ๆ และมองฉินเฟิงด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางไปสู่ดินแดนระดับสูงโดยบังเอิญและทราบว่ามันอยู่ในฐานของฝ่ายมาร เราทั้งสองจึงเดินทางมาที่นี่ จากสิ่งที่ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ก่อนจากไป เรากังวลว่าฉินมู่ยวี่จะตามไปสร้างปัญหาก่อกวนอาจารย์ เราจึงอยากไปที่นั่นโดยเร็ว”
ฉินเฟิงกล่าวอธิบายแผนการของพวกตน
หลังจากที่สิ้นสุดสงครามความวุ่นวาย เดิมทีทั้งสองวางแผนที่จะออกไปท่องทั่วทั้งดินแดนจริงๆ ทว่าเมื่อนึกถึงฉินเฟยเหยียนและฉินมู่ยวี่ เขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ในครานั้นฉินเฟยเหยียนกลับไปที่ดินแดนระดับสูงและปล่อยให้ฉินมู่ยวี่มีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยลักษณะนิสัยของฉินมู่ยวี่ นางจะต้องฝึกวิชาอย่างหนักเพื่อพัฒนาตนเองและหาทางตามไปหาเรื่องฉินเฟยเหยียนในดินแดนระดับสูงอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นทั้งสองจึงเปลี่ยนแผนและตั้งใจจะไปที่ดินแดนระดับสูงด้วยกันเพื่อดูว่าพอจะทำสิ่งใดเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้บ้างหรือไม่
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็แอบตามผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายมารจนได้ทราบว่าภายในฐานของฝ่ายมารมีค่ายกลนำทางไปสู่ดินแดนระดับสูงอยู่ ทั้งสองจึงรีบมุ่งหน้ามาที่นี่โดยเร็ว ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันพบสิ่งที่ตามหา พวกเขาจะมาพบกับคณะของฉินอวี้โม่เสียก่อน
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ นางเองก็จดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีเช่นกัน ทว่านางก็ไม่กังวลเท่าใดนัก ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟยเหยียน ต่อให้ฉินมู่ยวี่ผู้ทรยศตามรอยไปจนพบก็ยากที่จะเอาชนะนางได้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้จะเอาชนะได้จริง ๆ ฉินอวี้โม่ก็เชื่อว่าฉินมู่ยวี่เปลี่ยนไปแล้วและจะไม่มีทางคิดสังหารฉินเฟยเหยียนเป็นแน่
“จะว่าไปแล้ว…เจ้าพบอะไรที่เป็นประโยชน์รึไม่ ?”
ฉินเหยียนกล่าวถาม ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ตามหาเบาะแสวนไปวนมาหลายรอบทว่าก็ยังไม่พบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ นับประสาอะไรกับช่องทางที่จะนำไปสู่ดินแดนอื่น
“ตอนนี้เรายังไม่พบสิ่งใด แต่เราสันนิษฐานว่าช่องทางที่ว่านั่นน่าจะซ่อนอยู่ในเขตพื้นที่ต้องห้ามของฝ่ายมาร”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะตามความเป็นจริงขณะสายตามองไปที่ติงเหวิน ฐานทัพของฝ่ายมารมีเขตพื้นที่หวงห้ามบางจุดที่พวกนางมิอาจล่วงรู้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉินอวี้โม่และคณะจึงได้เพียงตั้งตารอให้ติงเหวินนึกอะไรบางอย่างได้
“ข้านึกออกแล้ว !”
หลังจากพยายามค้นหาในความทรงจำเป็นเวลานาน ในที่สุดติงเหวินก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
“ข้าจำได้ว่าในเรือนของท่านผู้นำมีห้องลับซึ่งมีเพียงผู้อาวุโสใหญ่และท่านผู้นำเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ตัวข้าเองก็ทราบเกี่ยวกับมันโดยบังเอิญเท่านั้น บางทีภายในห้องลับนั้นอาจจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เราตามหา”
ในเวลานั้น เขาเข้าไปในเรือนของฮวาเฉินเพื่อรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าของดินแดน ทว่าเขาก็ได้เห็นฮวาเฉินและผู้อาวุโสใหญ่ที่ออกมาจากห้องลับดังกล่าวพอดิบพอดี จากวันนั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว ติงเหวินจึงลืมไปเสียสนิทและเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อครู่นี้
“เรือนของฮวาเฉินอยู่ทางไหน ?”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ตามติงเหวินไปยังเรือนที่พักของฮวาเฉินอย่างไม่รีรอ
เรือนที่พักของฮวาเฉินนั้นเรียบง่ายอย่างมาก โดยมีห้องนอนอยู่ทางซ้ายมือ ห้องนั่งเล่นตรงกลางและห้องตำราที่กว้างขวางอยู่ทางขวามือ
ภายในห้องตำรามีตำราต่าง ๆ มากพอสมควรซึ่งได้รับการจัดสรรเลือกหามาอย่างครบครัน
ทุกคนช่วยกันมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง ทว่าก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าจะเป็นทางเข้าของห้องลับดังกล่าว
“ท่านจำได้หรือไม่ว่าเห็นฮวาเฉินเดินออกมาจากทิศทางใด ?”
ฉินอวี้โม่หันไปถามติงเหวินอีกครั้ง ในเมื่อมีห้องลับซ่อนอยู่จริง มันก็ต้องมีกลไกซ่อนไว้เช่นกัน หากตามหาอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงยากที่จะพบได้
“ข้าคิดว่าเป็นทางนั้น”
ติงเหวินชี้ไปทางกำแพงฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับโต๊ะตำรา จากความทรงจำของเขาก็เหมือนว่าจะเป็นกำแพงทิศทางนั้น เพียงแต่ตอนนี้เขาฉงนงุนงงเป็นที่สุด เนื่องจากเขาลองเคาะกำแพงนั้นดูและพบว่าข้างหลังกำแพงมิใช่พื้นที่ว่างเปล่า เขาจึงเริ่มสงสัยว่าตนเองจำผิดไปหรือไม่
ฉินอวี้โม่เดินตรงไปยังทิศทางที่ติงเหวินชี้นิ้วออกไปและตรวจสอบมองดูอย่างละเอียด ผนังตรงหน้าดูเหมือนกำแพงผนังทั่วไปซึ่งไม่แตกต่างไปจากสิ่งแวดล้อมโดยรอบ จากนั้นนางก็ลองยื่นมือออกไปแตะทั่วบริเวณ ทว่าก็ไม่พบกลไกใดเช่นกัน
กึก กึก !
เมื่อลองออกแรงเคาะมันก็พบว่าข้างหลังเป็นกำแพงทึบที่ไม่น่าจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ข้างหลังนั้นได้
ฉินอวี้โม่เริ่มกวาดสายตามองสำรวจรอบ ๆ อีกครั้งและสายตาบรรจบลงที่ตำราเล่มหนึ่งบนชั้นวาง
ตำราเล่มนั้นดูแตกต่างจากเล่มอื่นทั้งหมดอย่างชัดเจน ตำราทั้งหมดบนชั้นวางดังกล่าวมีการจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและเห็นได้ว่าไม่มีการหยิบออกมาอ่านมากนัก ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นฝุ่นบาง ๆ เกาะบนตำราเหล่านั้นเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครแตะต้องพวกมันมานานพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ตำราเล่มที่สะดุดตานางนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หากไม่มองดูอย่างตั้งใจก็อาจมองข้ามมันไปได้ ทว่าหากมองดูอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าตำราเล่มนั้นดูจะถูกสัมผัสมากกว่าตำราเล่มอื่น ๆ ไม่เพียงแต่ไร้ฝุ่นเกาะเท่านั้นทว่ามันยังมีรอยนิ้วมือหลงเหลือไว้ด้วย
ครืนนน !
ฉินอวี้โม่เอื้อมมือออกไปเพื่อหยิบมันลงมา ทว่าเมื่อออกแรงดึงเพียงเล็กน้อย ทั่วทั้งห้องก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
จากนั้นผนังกำแพงเดิมที่ดูปกติทั่วไปก็แยกออกจากกันเผยให้เห็นช่องทางที่กว้างขวาง
“ใช่แล้ว ช่องทางนี้แหละ !”
ติงเหวินกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นอย่างชัดเจน ตอนนี้เมื่อเห็นช่องทางตรงหน้า เขาก็มั่นใจว่าตนเองไม่ได้จำผิดไป
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนออกเดินตรงเข้าไปตามเส้นทาง ติงเหวินเองก็เดินเข้ามาเช่นกันและจากนั้นเส้นทางก็ปิดตัวลงอีกครั้ง ทว่าทุกคนไม่ทันสังเกตเลยว่า หลังจากพวกตนหายไปในช่องทางนั้น ร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้องตำรา…
หลังจากเดินเท้าต่อไปนานกว่าครึ่งลี้ ทุกคนก็มาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง
ถ้ำดังกล่าวล้อมรอบไปด้วยพลังความมืดที่หนาแน่นอุดมสมบูรณ์และมีพืชพรรณประหลาดบางชนิดเติบโตอยู่รอบ ๆ พร้อมส่งกลิ่นหอมอย่างประหลาดออกมา
“ก่อนหน้านี้บุปผาแห่งความมืดคงจะถูกเก็บไว้ในถ้ำแห่งนี้”
เสียงของเสี่ยวโพธิ์ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หลงเหลือของบุปผาแห่งความมืดจากในถ้ำตรงหน้าและเชื่อว่าบุปผาแห่งความมืดเติบโตขึ้นที่นี่
หานโม่ฉือไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาจึงไม่พบเบาะแสของบุปผาแห่งความมืด บนเกาะที่ไร้ภูเขาใด ๆ ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีถ้ำที่เงียบสงบแห่งนี้อยู่ ในเวลานี้เขารู้สึกราวกับว่าที่นี่มิใช่เกาะที่ฐานทัพของฝ่ายมารตั้งอยู่ด้วยซ้ำ
“ดูนั่นเร็ว นั่นมันคืออะไรกัน ?”
อวิ๋นซื่อเทียนสังเกตเห็นค่ายกลที่ดูมืดทะมึนอยู่ในจุดหนึ่งภายในถ้ำ ค่ายกลดังกล่าวดูประหลาดยิ่งนักราวกับมันมีกลิ่นอายความมุ่งร้ายบางอย่างในตัวมันเองซึ่งทำให้ผู้คนไม่ต้องการเข้าไปใกล้
“นี่คงจะเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นำไปสู่ดินแดนระดับสูง ทว่ามันดูผิดปกติมาก”
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปสำรวจค่ายกลเคลื่อนย้ายดังกล่าวก่อนขมวดคิ้วขึ้นมา
ภายในค่ายกลดังกล่าวมีพลังความมืดที่แกร่งกล้าแผ่ออกมา ราวกับว่าค่ายกลนี้ถูกกัดกร่อนจนอยู่ในสภาพที่เสียหาย
“แน่นอนว่ามันไม่ปกติ ผู้นำของเราได้เตรียมการไว้นานแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคนและเจ้าของเสียงผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายมารนั่นเอง
“ผู้อาวุโสใหญ่ เป็นท่านเองรึ !”
สีหน้าของติงเหวินเปลี่ยนไปทันที เขาไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายมารจะหลบหนีกลับมาที่ฐานทัพของฝ่ายมารและก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครที่สัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาได้เลย
“ฮ่า ๆ ๆ คิดไม่ถึงสินะว่าข้าจะอยู่ที่นี่”
ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะเบา ๆ อย่างสาแก่ใจ เขาเฝ้ารอเวลานี้มานานแล้ว
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ได้รับการปรับแต่งโดยท่านผู้นำและแม้แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะนำพาไปสู่ที่ใด ยิ่งไปกว่านั้น ห้องลับนี้ก็เป็นห้องที่เขาออกแบบด้วยตนเองและมีกลไกทำลายล้างตัวเองอยู่ ทันทีที่ท่านผู้นำตายไป ข้าก็กลับมาที่นี่และเฝ้ารอให้พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามา ฉินอวี้โม่…ข้าอยากเห็นนักว่าครานี้เจ้าจะเอาตัวรอดจากหายนะตรงหน้าได้อย่างไร !”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสใหญ่แสดงถึงความภาคภูมิใจอย่างเต็มเปี่ยม ห้องลับนี้เป็นห้องที่ผู้นำฝ่ายมารออกแบบด้วยตัวเอง ก่อนสงครามจะมาถึง ฮวาเฉินก็ได้กำชับกับเขาไว้ว่าหากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ค้นพบที่นี่ เขาจะต้องกระตุ้นการทำงานของกลไกทำลายล้างขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้น ฉินอวี้โม่และสหายจะมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นและนั่นคือการก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ในสภาพเสียหาย มิฉะนั้นก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสใหญ่ก็ซ่อนตัวอยู่ในจุดหนึ่งอย่างแนบเนียนมาตลอดเพื่อรอให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้ามาติดกับดัก ในเวลานี้เขาก็ยืนอยู่ในห้องตำราด้วยสีหน้าที่โหดเหี้ยมและดุร้าย
ตูมมม !
กลไกเริ่มทำงานและตัวถ้ำเริ่มสั่นสะเทือน
“เข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายเร็วเข้า !”
ฉินอวี้โม่กล่าวบอกทุกคนทันที แม้ไม่ทราบว่าค่ายกลนี้จะนำพาไปสู่ที่ใด ทว่าอย่างน้อยพวกนางก็ยังมีโอกาสรอดอยู่
ฮวาเฉินออกแบบกลไกทำลายล้างเช่นนี้ไว้แล้ว หากพวกนางไม่เข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกนางจะต้องตายอยู่ในถ้ำนี้อย่างแน่นอน ไม่คิดเลยว่าฮวาเฉินผู้นั้นจะทิ้งกับดักเช่นนี้ไว้ก่อนตาย
“ทุกคนจับมือกันไว้เพื่อมิให้แยกจากกันเมื่อเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย”
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่ไว้แน่นและอวิ๋นซื่อเทียนก็จับมืออีกข้างหนึ่งของฉินอวี้โม่เช่นกัน ส่วนเซิ่งเซียวจับมือของอวิ๋นซื่อเทียนในขณะที่ฉินเทียนจับมือหานโม่ฉือและอีกมือจับมือติงเหวิน ฉินเฟิงก็จับมือฉินเหยียนในขณะที่อีกมือของเขาก็จับไว้กับเซิ่งเซียว
ทุกคนหันมองหน้ากันพร้อมรอยยิ้มและก้าวเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปด้วยกัน
ทันทีที่ก้าวเข้าไปข้างใน เกาะที่ฐานทัพของฝ่ายมารตั้งอยู่ก็เริ่มที่จะแตกออกจากกันอย่างช้า ๆ
ภายในห้องตำรา รอยยิ้มทะนงตนบนใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ก็ชะงักนิ่งไปและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นความกลัวสุดขีดทันที
“ฮวาเฉิน เจ้าโกหกข้า !”
เขาทำได้เพียงตะโกนทิ้งท้ายเช่นนั้นก่อนจะจมดิ่งหายลงไปในท้องทะเลที่ไร้ขอบเขตไปพร้อมกับฐานทัพของฝ่ายมาร…