คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 771 การคุ้มครองจากหลานเผิง
กลางอากาศเหนือสายตาของทุกคนในตอนนี้ ร่างของสตรีที่งดงามดุจเทพเซียนคนหนึ่งเผยตัวออกมาซึ่งทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงไม่ต่างกัน
“แม่เจ้า ช่างงดงามยิ่งนัก !”
ใครคนหนึ่งอดอุทานออกไปไม่ได้ ฉินอวี้โม่ในตอนนี้น่าทึ่งอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือกลิ่นอายความสง่างามที่แผ่ออกมา คุณสมบัติทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ
“เกรงว่าความงามของนางเหนือยิ่งกว่าสตรีอันดับหนึ่งของดินแดนเสียอีก”
ใครอีกคนมองฉินอวี้โม่อย่างไม่ละสายตาและกล่าวออกไป
เวลานี้ร่างของนางปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงทรงพลังและมีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า กล่าวได้ว่าใบหน้าที่งดงามของนางถูกเปิดเผยโดยสมบูรณ์แล้ว
“หรือว่านางจะเป็นฉินอวี้โม่ผู้นั้น…สตรีที่กล่าวกันว่าเป็นอัจฉริยะจากอำเภอซ่างหยวนซึ่งมีข่าวลือแพร่ไปทั่วก่อนหน้านี้ ?”
หลายคนเริ่มคาดเดาได้จากข่าวลือที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าสาเหตุที่ตระกูลเฝิงส่งคนไปดักรอหน้าประตูเมืองหลายวันติดต่อกันก็ไม่มีทางปกปิดไปได้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อของ ‘ฉินอวี้โม่’
ข่าวลือหนาหูว่ากันว่าจอมยุทธ์ผู้นั้นไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น ทว่ายังเป็นสตรีงามจนไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเทียบเทียมได้ เห็นทีเรื่องเหล่านั้นคงมิใช่เป็นเพียงข่าวลือเสียแล้ว
“ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง คนที่เหลือเหล่านั้นก็น่าจะเป็นตัวแทนคนอื่น ๆ จากอำเภอซ่างหยวนที่มาเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือก ดูจากความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้น พวกเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
เมื่อกวาดสายตามองไปทางกลุ่มของฉื่อไท่หลาง ใครคนหนึ่งก็กล่าวอย่างชื่นชม สำหรับการที่สามารถร่วมมือกันต่อกรกับโจวหังรุ่ยผู้เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ฝีมือดีที่สุดของเมืองเทียนหยวนได้อย่างไม่เสียเปรียบเช่นนี้ กล่าวได้ว่าฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ก็มีฝีมือไม่น้อยเลยทีเดียว
“เหอะ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง !”
แม้คนจากสี่ตระกูลใหญ่มักดูถูกและมองข้ามสถานที่เล็ก ๆ อย่างอำเภอซ่างหยวน แต่พวกเขาก็เคยได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่มาก่อน
อย่างไรก็ตาม โจวเฉียนก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะเขาไม่คิดเลยว่ากระบวนท่าโจมตีที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาเกือบทั้งหมดของเขาจะสังหารฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของนางอยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่นกอปรกับพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง โจวเฉียนไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะมีคนมากมายเพียงใดที่ต้องการติดตามฉินอวี้โม่ไปในอนาคต
“ตาเฒ่า ข้าจะจดจำเรื่องในวันนี้ไว้อย่างแน่นอน !”
ในเวลานี้ เลือดลมภายในร่างของฉินอวี้โม่พลุ่งพล่านอย่างรุนแรง แม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าจริงแล้วนางก็บาดเจ็บหนักพอสมควร เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ จอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูงมิใช่คู่ต่อสู้ที่นางจะเอาชนะได้ในตอนนี้
หากมิใช่เพราะการป้องกันอย่างสุดความสามารถของซิว เกรงว่ากระบวนท่าโจมตีเมื่อครู่นี้ของโจวเฉียนอาจทำให้นางตกอยู่ในสภาพปางตายได้
ฉินอวี้โม่ก็มีแผนการอยู่ในใจแล้ว หนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องหลบหนีออกไปก่อน
“เหอะ แม่สาวน้อย เจ้าแข็งแกร่งมากก็จริง ทว่าน่าเสียดาย การท้าทายคนตระกูลโจวของพวกเราคือความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า วันนี้ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้ารอดออกไปแน่ !”
จิตสังหารแรงกล้าในแววตาของโจวเฉียนเผยออกมาชัดเจนยิ่งกว่าเดิม สำหรับศัตรูที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพผู้นี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้นางรอดชีวิตออกไปและกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจในอนาคตอย่างแน่นอน
ด้วยการตัดสินใจอย่างแน่วแน่นี้ พลังมหาศาลจึงก่อตัวขึ้นมาในมือของเขาอีกครั้ง
ร่างของฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงไปปรากฏตัวข้างฉื่อไท่หลางและโบกมืออย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมส่งพวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
“ผู้อาวุโสโจว ผู้ที่ถือครองป้ายจ้าวสมุทรเป็นผู้ที่เจ้าจะท้าทายได้ตามใจชอบอย่างนั้นรึ ?”
จู่ ๆ น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่หลานเผิงจะปรากฏตัวกลางอากาศ ถัดจากเขาคือผู้จัดการของศูนย์การค้าที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิดด้วยสีหน้าซับซ้อนยากเกินคาดเดา
แท้ที่จริงแล้วพวกเขามาถึงก่อนหน้านี้เป็นพักใหญ่ ทว่าไม่รีบร้อนเคลื่อนไหวออกมา ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางเป็นครั้งแรก ทั้งลุงติงและหลานเผิงต่างก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน
พวกเขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าฉินอวี้โม่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างยิ่งและงดงามไร้ที่ติ ทว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นด้วยตาของตัวเองก็ยังทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมิอาจควบคุม สตรีที่งดงามสะเทือนทั้งใต้หล้าเช่นนี้พบเห็นได้ยากยิ่งนัก แม้แต่สตรีงามอันดับหนึ่งของดินแดนก็อาจไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเทียบกับฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นจิตสังหารของโจวเฉียนที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรงและกำลังจะลงมือโจมตีอีกครั้ง หลานเผิงและลุงติงจึงรีบเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้นี้ทันที
ก่อนหน้านี้หลานเผิงได้มอบแผ่นป้ายจ้าวสมุทรให้กับฉินอวี้โม่และลุงติงทราบดีว่านางเป็นช่างหลอมที่ทรงพลังอย่างมาก สำหรับจอมยุทธ์ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมจนเรียกได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะผู้นี้ พวกเขาไม่อาจอยู่เฉยและปล่อยให้นางตายไปโดยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อฉินอวี้โม่ได้รับป้ายจ้าวสมุทรไปแล้ว ศูนย์การค้าจ้าวสมุทรของพวกเขาก็จะต้องปกป้องนางอย่างแน่นอน ไม่ต้องพิจารณาถึงตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลโจวด้วยซ้ำ เพราะต่อให้ทั้งสี่ตระกูลร่วมมือกัน พวกเขาก็จะปกป้องฉินอวี้โม่อย่างถึงที่สุด
“นายน้อยหลาน ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังหมายความว่าอย่างไร…”
โจวเฉียนงุนงงไม่น้อยเมื่อเห็นหลานเผิงและผู้จัดการศูนย์การค้าปรากฏตัวตรงหน้า การเคลื่อนไหวของเขาหยุดชะงักลงและกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ
เขาทราบดีว่าป้ายจ้าวสมุทรหมายถึงสิ่งใด ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลโจว แน่นอนว่าโจวเฉียนทราบตัวตนของหลานเผิงเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าป้ายจ้าวสมุทรและฉินอวี้โม่เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?
“เหอะ โจวเฉียน แม่นางอวี้โม่คือผู้ถือครองป้ายจ้าวสมุทรของตระกูลหลานและเป็นคนที่อยู่ในการดูแลของตระกูลหลานของเรา หากเจ้าคิดจะแตะต้องนาง นั่นก็เท่ากับไม่ไว้หน้าตระกูลหลานของเรา คิดดูให้ดีเถอะว่าเจ้าอยากจะเป็นศัตรูกับตระกูลหลานรึไม่ ?”
หลานเผิงหัวเราะในลำคอก่อนขยับเข้าไปอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่
“แม่นางอวี้โม่ ข้ามอบป้ายจ้าวสมุทรให้ท่านเพื่อให้ใช้มันในยามคับขัน มิใช่เพื่อให้ดูต่างหน้า หากมีคนรังแกท่าน ท่านก็ควรจะแสดงมันออกมาและตอกหน้าคนผู้นั้นไปเสีย”
เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ใกล้ ๆ หลานเผิงก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งทว่ามันก็เป็นความรู้สึกที่เขาเตรียมใจไว้แล้ว จากข่าวสารที่ได้รับมาจากอำเภอซ่างหยวน รูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ผู้นี้งดงามชวนตะลึงอย่างที่สุด แม้แต่สตรีงามอันดับหนึ่งของดินแดนก็เทียบไม่ติด แม้สิ่งที่ได้พบเป็นเพียงการพิสูจน์ข่าวลือเหล่านั้น ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังงดงามยิ่งกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้เสียอีก
“อะไรนะ ? นางเป็นผู้ถือครองป้ายจ้าวสมุทรอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างหลานเผิงและฉินอวี้โม่ และเห็นท่าทางที่ดูสนิทสนมกันของทั้งสอง ใครคนหนึ่งก็อดตกใจไม่ได้
ป้ายจ้าวสมุทรถือว่าเป็นวัตถุในตำนานและล้ำค่าอย่างยิ่งซึ่งในทั่วทั้งดินแดนนี้ก็มีอยู่เพียงห้าชิ้นเท่านั้น และป้ายที่อยู่ในมือฉินอวี้โม่คือชิ้นแรกที่ถูกมอบโดยคนตระกูลหลาน
พลังอำนาจโดยรวมของตระกูลหลานอาจด้อยกว่าสามสำนักและเก้านิกาย ทว่ารากฐานเครือข่ายและพื้นเพของพวกเขาก็ทรงพลังเกินกว่าที่ขุมกำลังเหล่านั้นจะเทียบได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลและวัตถุล้ำค่ามากมายที่ครอบครองโดยตระกูลหลานล้วนอยู่ในระดับที่คนทั้งดินแดนต้องหวาดหวั่น กล่าวได้เลยว่าแม้แต่ขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของสามสำนักและเก้านิกายก็ยังไม่กล้ามีเรื่องบาดหมางใจกับตระกูลหลาน
การที่ฉินอวี้โม่ผู้นี้ได้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทร นั่นก็หมายความว่านางได้รับการยอมรับจากตระกูลหลานอย่างเป็นทางการแล้ว การหาเรื่องหรือทำร้ายนางก็เท่ากับเป็นการหาเรื่องตระกูลหลานเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นเพียงตระกูลหนึ่งในเมืองรอง แน่นอนว่าตระกูลโจวไม่กล้ามีปัญหากับตระกูลหลานอย่างแน่นอน
“ไม่แปลกใจเลยที่จะมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาและไม่เห็นหัวตระกูลโจวเช่นนี้ อีกทั้งยังมีความสามารถในการเอาชนะโจวหังรุ่ยได้ด้วยพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเอาตัวรอดจากการโจมตีของโจวเฉียนได้”
หนึ่งในฝูงชนที่ชมเหตุการณ์เรียงลำดับเรื่องราวและเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที สาเหตุที่ฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งและคลื่นพลังที่ทรงพลังไม่ธรรมดาก็เป็นเพราะนางได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลานนี่เอง
“ที่แท้ก็เป็นคนของตระกูลหลาน…”
ใบหน้าของโจวเฉียนในตอนนี้บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดและเขาทำได้เพียงยิ้มเจื่อนอย่างไม่อาจสรรหาคำพูดใดกล่าวออกไป หากฉินอวี้โม่ถูกสังหารไปเมื่อครู่ เขาก็คงไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใด ทว่าตอนนี้เขามีเรื่องบาดหมางกับนางและได้ทราบว่านางมีป้ายจ้าวสมุทรอยู่กับตัว มันจึงเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจอย่างที่สุด
ตระกูลหลานมิใช่ขุมกำลังที่เขาจะหาเรื่องได้เลย หากทำให้ตระกูลหลานไม่พอใจและทุกคนทราบเรื่อง เกรงว่าชะตากรรมของเขาคงไม่ดีนัก
“ผู้ถือครองป้ายจ้าวสมุทร…”
โจวหังรุ่ยชะงักนิ่งไปกับที่และต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับคืนมา จอมยุทธ์ธรรมดา ๆ ที่เขาดูแคลนก่อนหน้านี้…แท้จริงกลับเป็นสตรีรูปลักษณ์งดงามและมีพรสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัว อีกทั้งยังเป็นผู้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทรจากตระกูลที่ทรงอิทธิพลเช่นนี้
ในเวลานี้ เขาก็รู้สึกผิดกับการกระทำของตนเองเป็นที่สุด เหตุใดข้าจึงมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยเพียงเพราะญาติห่าง ๆ ที่ไม่มีประโยชน์คนเดียวด้วยเล่า ?
“โจวเฉียน พวกเจ้าตระกูลโจวช่างอาจหาญยิ่งนักและไม่ไว้หน้าผู้ถือครองป้ายจ้าวสมุทรแม้แต่น้อย ซ้ำยังคิดจะฆ่านางต่อหน้าพยานมากมาย ข้าจะไปถามผู้นำตระกูลของพวกเจ้าให้รู้แล้วรู้รอด ตระกูลโจวไม่เห็นหัวตระกูลหลานของพวกเราเลยอย่างนั้นรึ !”
หลานเผิงกล่าวอย่างไม่แยแส แม้เขาจะมีอายุเพียงสิบหกปี ทว่าพลังอำนาจและอิทธิพลที่เขาถือครองอยู่ก็มิใช่สิ่งที่ใครจะมองข้ามไปได้
“นายน้อยหลานขอรับ ท่านเข้าใจผิดไปแล้ว ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”
โจวเฉียนไม่กล้าตอบโต้วาจาของหลานเผิงโดยตรง ไม่ว่าอย่างไรตระกูลโจวก็ไม่กล้าหาเรื่องกวนใจตระกูลหลาน หากเขาทราบมาก่อนว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีป้ายจ้าวสมุทรอยู่ในการครอบครอง ต่อให้ความกล้าหาญของเขาจะเพิ่มขึ้นกว่านี้ถึงสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าแตะต้องนางอย่างแน่นอน
“เหอะ เหตุการณ์อลหม่านวุ่นวายถึงขั้นนี้ แต่เจ้ากลับบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เจ้าคิดว่าข้าโง่รึอย่างไรกัน !”
หลานเผิงแค่นเสียงเย็นชา แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้โจวเฉียนรอดตัวไปได้เพียงเพราะคำแก้ตัวง่าย ๆ เช่นนี้ คนผู้นี้จะรังแกคนที่เขาปกป้องได้โดยไม่ต้องชดใช้ได้อย่างไรกัน ?
“นายน้อยหลานโปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ข้าน้อยจะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร”
เวลานี้โจวเฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพยซ้ำ ๆ แม้ในใจจริงเขาจะต้องการสังหารฉินอวี้โม่และสั่งสอนบทเรียนให้กับหลานเผิง ทว่าเขาก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงลุงติงผู้ซึ่งจับตาดูอยู่ไม่ห่าง เพียงคนหนุ่มสาวอายุน้อยอย่างฉินอวี้โม่และหลานเผิงก็ยากเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้แล้ว
โจวเฉียนก็พอจะทราบถึงความแข็งแกร่งของลุงติง—ผู้จัดการศูนย์การค้าจ้าวสมุทรพอสมควร ความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้ แม้แต่ผู้นำตระกูลโจวก็อาจจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับผู้ที่ด้อยกว่าอย่างเขาโจวเฉียน
“เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าศิษย์ไม่รักดีนี่ เขาสร้างปัญหาให้ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ไม่พอใจและสุดท้ายจึงเกิดความเข้าใจผิดกัน”
เมื่อหันไปมองโจวหังรุ่ยซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง เขาก็เกิดความคิดหนึ่งในใจทันที
ต่อให้โจวหังรุ่ยจะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นและเป็นศิษย์ที่ฝีมือดีที่สุดในตระกูลโจว อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ โจวเฉียนก็ไม่ลังเลที่จะโยนความผิดไปให้กับโจวหังรุ่ยเพียงผู้เดียว
“โจวหังรุ่ย ก้าวออกมาขอโทษท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่เร็วเข้า !”
โจวเฉียนมองศิษย์ตาเขม็งและหวังในใจว่าหลานเผิงจะไม่จริงจังกับเรื่องนี้มากนัก หากเปรียบเทียบกับตระกูลหลาน ตระกูลโจวของพวกเขาก็เป็นได้เพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเท่านั้นและไม่มีค่าพอให้อยู่ในสายตา หากตระกูลหลานต้องการกำจัดตระกูลโจวจริง ๆ มันก็จะเป็นเรื่องง่ายดายไม่ต่างจากการบีบมดตัวน้อย ๆ ให้แหลกคามือ
นอกเหนือจากที่มีพรสวรรค์โดดเด่น โจวหังรุ่ยก็มีไหวพริบที่ดีเช่นกัน เขาทราบดีว่าหากต้องการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในวันนี้ เขาจะต้องยอมชดใช้ด้วยบางสิ่งบางอย่าง เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็เหาะไปตรงหน้าฉินอวี้โม่และโค้งคำนับเพื่อขอโทษนางทันที
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ข้าขออภัยด้วยจริง ๆ ที่ทำอะไรสิ้นคิดลงไปและล่วงเกินท่าน โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะ”
แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความคับแค้นและไม่ยินยอม เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมก้มหัวให้กับอีกฝ่ายที่มีอิทธิพลเหนือกว่า ไม่ว่าฉินอวี้โม่หรือตระกูลหลานก็มิใช่ผู้ที่เขาจะคิดท้าทายได้
เดิมทีฉินอวี้โม่ก็ไม่ต้องการที่จะอวดเบ่งอำนาจและแสดงป้ายจ้าวสมุทรของตนออกมา ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะรู้ไปถึงหูหลานเผิงจนเขาต้องแสดงตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่เลวร้ายเสียทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็จะไม่มีผู้ใดในเมืองเทียนหยวนที่กล้าหาเรื่องนางอีกต่อไป
“ไสหัวไปซะ !”
แววตาเยือกเย็นของนางมองตรงไปที่โจวหังรุ่ยและโจวเฉียนโดยไม่คิดที่จะทำสิ่งใดในตอนนี้ สำหรับคนที่คิดมีเรื่องบาดหมางกวนใจ นางจะต้องเอาคืนด้วยตัวเอง นางจะจัดการกับโจวหังรุ่ยและโจวเฉียนด้วยตัวเองในสักวัน
“อย่าลืมชดเชยค่าเสียหายให้กับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเป็นราคาสิบเท่าของความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยล่ะ !”
นางกล่าวต่อทันที เถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่เตือนพวกนางด้วยความหวังดีก่อนหน้านี้มิใช่คนชั่วร้าย การต่อสู้ที่เกิดขึ้นนี้ก็ก่อให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ต่อโรงเตี๊ยมและพวกเขาต้องรับผิดชอบชดเชยความเสียหายเหล่านั้น
“ขอรับ…ทราบแล้วขอรับ !”
โจวหังรุ่ยและโจวเฉียนตอบรับเพียงสั้น ๆ ขณะรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจและถือโทษเอาเรื่องพวกเขา
“แม่นางอวี้โม่ มีเรื่องบางอย่างที่เราต้องการจะพูดคุยกับท่าน”
หลานเผิงกล่าวกับฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม สาเหตุที่เขาและผู้จัดการศูนย์การค้ามาที่นี่ก็เพื่อหารือเรื่องบางอย่างกับฉินอวี้โม่