คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 795 เจ้าเล่ห์และชั่วช้า
จูโหย่วจ้วงนำสมาชิกตระกูลเฝิงมากกว่าสิบคนเข้าล้อมรอบฉื่อไท่หลางและเหล่าสหายด้วยแววตามุ่งร้าย
อย่างไรก็ตาม ฉื่อไท่หลางและคนเหล่านั้นก็ไม่หวาดหวั่นขณะต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างดุเดือด
แม้ว่าความแข็งแกร่งของคณะฉื่อไท่หลางจะไม่มากเท่ากับฝ่ายจูโหย่วจ้วง ทว่าก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็ได้สยบอสูรมายาทรงพลังจำนวนมากให้กับพวกเขาทุกคน เพราะฉะนั้นกลุ่มคนที่มากกว่าของจูโหย่วจ้วงและตระกูลเฝิงไม่สามารถทำให้พวกเขาเพลี่ยงพล้ำได้ในเวลาสั้น ๆ
ในทางตรงกันข้าม อสูรมายาแต่ละตัวของฝ่ายฉื่อไท่หลางก็ล้วนทรงพลังและแข็งแกร่ง พวกมันเหนือชั้นกว่าอสูรของตระกูลเฝิงพอสมควร
ฉื่อไท่หลางก็เข้าประจันหน้ากับจูโหย่วจ้วงในสถานการณ์ที่เป็นต่อ พลังของเขาแกร่งกล้ากว่าจูโหย่วจ้วงมาตั้งแต่แรกและทักษะการต่อสู้ก็พัฒนาขึ้นหลายเท่าตัวนับตั้งแต่ได้ฝึกฝนร่วมกับฉินอวี้โม่ ทว่าความแข็งแกร่งของจูโหย่วจ้วงกลับไม่พัฒนาขึ้นเท่าใดนักและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบภายในเวลาอันรวดเร็ว
“จูโหย่วจ้วง ก่อนหน้านี้ในอำเภอซ่างหยวน ตระกูลฉื่อของเราเพียงไม่อยากมีเรื่องกับตระกูลจูของเจ้าก็เท่านั้น ข้าจึงได้ยั้งมือมาโดยตลอด ทว่าเจ้าคิดจริง ๆ รึว่าข้าผู้นี้จะทำอะไรเจ้าไม่ได้ !”
ฉื่อไท่หลางเตะเข้าที่กลางอกของจูโหย่วจ้วงพร้อมกับกล่าวอย่างเย็นชา
ในอำเภอซ่างหยวน เขาและจูโหย่วจ้วงเคยประจันหน้ากันหลายคราโดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับชัยชนะของตนเองไป ทว่าแท้ที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของฉื่อไท่หลางเหนือกว่าจูโหย่วจ้วงมาเสมอ เขาเพียงไม่ต้องการทำให้ตระกูลของตนต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยจึงยอมออมมือให้กับจูโหย่วจ้วงหลายครั้งหลายครา
พรสวรรค์ของจูโหย่วจ้วงอยู่ในระดับปกติทั่วไปและพลังในขอบเขตราชาเซียนของเขาในตอนนี้ก็เป็นผลมาจากโอสถเท่านั้น หากเทียบกับพลังราชาเซียนที่แท้จริง จูโหย่วจ้วงไม่มีอะไรโดดเด่นมากพอให้ชายตามองด้วยซ้ำ
แม้ฉื่อไท่หลางจะใช้โอสถเพื่อช่วยในการพัฒนาพลังเช่นกัน ทว่าเขาก็พึ่งพาอาศัยความหมั่นเพียรและพรสวรรค์ของตนเองเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าพลังความแข็งแกร่งที่มาจากการเพียรฝึกฝนอย่างหนักย่อมต่างจากพลังที่เพิ่มขึ้นได้เพราะโอสถ
“เหอะ ฉื่อไท่หลาง เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”
จูโหย่วจ้วงก็ถอยหลังออกไปเล็กน้อยและพยายามทรงตัว ในขณะเดียวกันเขาก็จ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามตาเขม็งและจิตสังหารในแววตาเผยออกมาอย่างชัดเจน
จากนั้นวัตถุบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนโอสถก็ปรากฏในมือของเขาก่อนโยนเข้าใส่ฉื่อไท่หลางทันที
ฉื่อไท่หลางตกใจเล็กน้อยทว่าเขาตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการเหวี่ยงฝ่ามือปัดทำลายโอสถนั้นเสีย
อย่างไรก็ตาม กลิ่นประหลาดบางอย่างก็โชยไปทั่วอากาศทันที ก่อนที่จะตอบสนองสิ่งใดได้ทัน ฉื่อไท่หลางก็รู้สึกได้ว่าพลังมายาในร่างของตนเหมือนจะถูกปิดผนึกไปและหายไปอย่างไร้ร่องรอย พละกำลังในร่างกายของเขาก็หายวับไปเช่นกัน และตอนนี้เขากลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะยืนก่อนทรุดล้มลงบนพื้นไปอย่างรวดเร็ว
ศิษย์ตระกูลฉื่อคนอื่น ๆ ที่ต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างดุเดือดก่อนหน้านี้ก็ล้วนทรุดล้มลงเช่นกันและตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉื่อไท่หลาง
“น่ารังเกียจสิ้นดี !”
เขาสบถออกไปด้วยความโมโหอย่างที่สุด ทว่าแม้เพียงเปล่งเสียงออกไปเพียงไม่กี่คำนี้ก็ทำให้ฉื่อไท่หลางแทบหายใจติดขัด ยาพิษดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้พลังในร่างของเขาหายไปเท่านั้น ทว่ามันยังดูดกลืนเรี่ยวแรงในร่างไปจนหมดสิ้น แม้แต่การเอ่ยวาจาก็เป็นไปอย่างยากลำบาก
“เหอะ เห็นรึยังว่าเจ้ามิใช่คู่มือของข้าผู้นี้ !”
จูโหย่วจ้วงกล่าวอย่างภาคภูมิใจขณะก้าวตรงไปข้างหน้าและเตะฉื่อไท่หลางอย่างแรง
ฉื่อไท่หลางบนพื้นก็ถึงกับกระอักเลือดออกมา เมื่อครู่จูโหย่วจ้วงใช้พลังมายาผสานเข้ากับลูกเตะ และด้วยสภาพที่ไร้พลังของฉื่อไท่หลางในเวลานี้ เขาจึงไม่สามารถต้านทานได้เลย
“จูโหย่วจ้วง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้ !”
ศิษย์ตระกูลฉื่อคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างที่สุด เขาคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะมีโอสถที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ในการครอบครอง ตอนนี้พวกเขาก็สูญเสียพลังมายาไปแล้ว ต่อให้อสูรมายาที่ทรงพลังของตนไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย พวกมันก็ไม่มีทางรับมือกับอีกฝ่ายที่มีจำนวนมากกว่าได้ สืบเนื่องจากความบาดหมางที่มีต่อกันมานาน เกรงว่าทางเดียวที่จะจบเรื่องนี้คือการที่พวกเขาถูกจูโหย่วจ้วงฆ่าตายไป
“ฮ่า ๆ ๆ ขอเพียงแค่ชนะ ข้าไม่สนหรอกว่าจะต้องใช้วิธีการใด ในเมื่อพวกเจ้าแพ้แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสออกไปจากที่นี่ หากศิษย์ฝีมือดีทั้งหมดของตระกูลฉื่อตายไป เมื่อถึงตอนนั้น ข้าอยากรู้นักว่าในอนาคตตระกูลฉื่อจะรับมือกับตระกูลจูของข้าอย่างไรต่อไป !”
จูโหย่วจ้วงหัวเราะเยาะและกระบี่เล่มยาวปรากฏในมือ เขาต้องการสังหารฉื่อไท่หลางและบรรดาสหายเหล่านี้ทันที
“จูโหย่วจ้วง ดูเหมือนเจ้าจะควบคุมทุกอย่างไว้ได้แล้ว”
ขณะเขากำลังจะลงมือ จู่ ๆ เสียงของเฝิงต้าเป่าก็ดังมาจากระยะไกลและทำให้เขาหยุดการเคลื่อนไหวของตนเองทันที
“ข้าก็อยากจะขอบคุณนายน้อยมากที่ให้โอสถพวกนั้นกับข้า มิฉะนั้นข้าก็คงจับคนพวกนี้ไม่ได้ง่าย ๆ เช่นนี้”
จูโหย่วจ้วงกล่าวอย่างประจบประแจง หากมิใช่เพราะความช่วยเหลือของตระกูลเฝิงที่มอบยาพิษทรงพลังดังกล่าวให้ คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาชนะฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ได้เช่นนี้
“นายน้อย ข้าก็ไม่ทราบว่าผู้ใดสยบอสูรมายาทรงพลังหลายตัวให้กับคนพวกนี้ พวกมันเป็นอสูรมายาที่รับมือได้ยากจริง ๆ”
เขาชี้ไปที่ฉื่อไท่หลางและสหายพร้อมกล่าวด้วยความหมายที่ชัดเจน
นั่นก็คือจูโหย่วจ้วงกำลังบอกเฝิงต้าเป่าว่าคนเหล่านั้นมีอสูรมายาที่ทรงพลังอยู่กับตัวและต้องการให้เฝิงต้าเป่าครอบครองพวกมันไป
ตัวเขามีเรื่องบาดหมางกับฉื่อไท่หลางมานานหลายปี การสังหารเพียงอย่างเดียวไม่มากพอที่จะระบายความโกรธแค้นที่สะสมมานานได้ เขาจึงคิดว่าควรแย่งชิงอสูรมายาของคนเหล่านี้ไปก่อน จากนั้นก็มอบความอัปยศอดสูให้กับพวกเขาและท้ายที่สุดก็ลงมือสังหารเพื่อระบายความโกรธแค้นทั้งหมด !
“โอ้ จริงรึ ?”
เฝิงต้าเป่าเลิกคิ้วสูงก่อนเดินตรงไปหาฉื่อไท่หลางและออกแรงเตะพร้อมกล่าวออกมา “หากเจ้ายอมยกอสูรมายาพวกนั้นมาแต่โดยดี นายน้อยผู้นี้อาจจะไว้ชีวิตพวกเจ้าก็ได้ !”
เขาและฉื่อไท่หลางไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ในสายตาของเฝิงต้าเป่า ฉื่อไท่หลางเป็นได้เพียงมดปลวกตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น หากได้อสูรมายาที่ทรงพลังจากคนเหล่านี้มาครอง มันก็ไม่ยากที่จะตัดสินใจปล่อยพวกเขาไป
“อย่าแม้แต่จะคิด !”
ฉื่อไท่หลางกล่าวอย่างเยือกเย็นและหันไปสบตากับเหล่าสหาย จากนั้นทุกคนก็หยิบป้ายหินวิญญาณของตนออกมาและเตรียมที่จะทำลายมันเพื่อออกไปจากที่นี่ในทันที
“เหอะ ต้องการจะหนีไปจากที่นี่งั้นรึ ? ฝันไปเถอะ ป้ายหินของพวกเจ้าหลายคนรวมถึงฉินอวี้โม่ได้ถูกพวกข้าสลับสับเปลี่ยนไปนานแล้ว ต่อให้ทำลายมัน พวกเจ้าก็ไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้ !”
เมื่อเห็นป้ายหินที่คนเหล่านี้หยิบออกมา เฝิงต้าเป่าก็คาดเดาความคิดของพวกเขาได้ทันทีและ ‘เมตตา’ อธิบายด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
ก่อนการคัดเลือกในรอบที่สองนี้จะเริ่มต้นขึ้น พวกเขาวางแผนและเตรียมการมาเป็นอย่างดี พวกเขาไม่เพียงแต่เตรียมยาพิษที่จะใช้เพื่อจัดการกับฉินอวี้โม่และสหายเท่านั้น ทว่าพวกเขายังสลับสับเปลี่ยนป้ายหินวิญญาณของคนเหล่านี้ตั้งแต่ต้น เว้นเพียงแต่เอาตัวรอดได้จนถึงครบกำหนดเวลาของการคัดเลือกนี้ ฉินอวี้โม่และสหายเหล่านี้จะไม่มีทางออกไปจากดินแดนลับแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ก็ลองทำลายป้ายหินในมือทันทีและพบว่าไม่มีการตอบสนองอย่างแท้จริง เป็นจริงดังที่เฝิงต้าเป่ากล่าวไว้ ป้ายหินวิญญาณที่ควรจะเป็นเครื่องมือเอาตัวรอดของพวกเขากลับกลายเป็นเพียงป้ายธรรมดา ๆ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด
“หึ ตระกูลเฝิงของพวกเจ้าเตรียมการมาดีทีเดียว แม้แต่พวกเราก็ยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้มาก่อน”
โจวหังรุ่ยซึ่งอยู่ถัดจากเฝิงต้าเป่ากล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ ทว่าประกายบางอย่างปรากฏในแววตาครู่หนึ่ง
คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลเฝิงจะสลับสับเปลี่ยนป้ายหินวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามล่วงหน้าโดยแม้แต่พวกเขาที่ร่วมมือกันก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน หากว่าป้ายหินวิญญาณของพวกเขาถูกสลับสับเปลี่ยนไปเช่นกัน เกรงว่าตระกูลเฝิงก็อาจใช้โอกาสนี้ตลบหลังตระกูลโจวได้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง คงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะต้านทานได้…
“ทำอย่างไรได้…ฉินอวี้โม่และสหายทรงพลังเกินไป นอกจากบิดาของข้าและข้าก็มีเพียงคนในจวนเจ้าเมืองที่ช่วยสลับเปลี่ยนป้ายให้พวกเราเท่านั้นที่รู้ เพื่อป้องกันมิให้เรื่องสำคัญเช่นนี้รั่วไหลออกไป ข้าจึงต้องปิดบังเรื่องนี้จากพวกเจ้าเช่นกัน”
เฝิงต้าเป่ายิ้มอย่างผู้มีชัยและมองไปที่โจวหังรุ่ย “ทว่าไม่ต้องห่วงหรอก พวกข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรพวกเจ้า ป้ายหินของพวกเจ้าตระกูลโจวปกติดีทั้งหมด และสำหรับยาพิษนั้น พวกเจ้าก็ได้กินยาต้านพิษไว้ก่อนแล้ว”
เฝิงต้าเป่าก็ทราบว่าโจวหังรุ่ยกำลังคิดสิ่งใด ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก
แม้ตระกูลโจวจะเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวน พวกเขาก็ไม่ได้เหนือกว่าตระกูลเฝิงมากเกินไป ในตระกูลเฝิงยังมียอดฝีมือผู้แกร่งกล้าอยู่และมั่นใจว่าจะจัดการกับตระกูลโจวได้ไม่ยาก พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์กลใด ๆ ในเวลานี้พวกเขาก็ควรจะร่วมมือกับตระกูลโจวเพื่อจัดการกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก่อน หลังจากนั้นหากต้องการจะจัดการกับตระกูลโจวจริง ๆ มันก็จะมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
“สหายเฝิงกล่าววาจาน่าขันจริงเชียว ข้าไม่เคยนึกสงสัยในตัวเจ้าอยู่แล้ว ฮ่า ๆ ๆ”
โจวหังรุ่ยหัวเราะอย่างเจื่อน ๆ และเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นต่อเฝิงต้าเป่าอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม เขาพยายามควบคุมมันไว้และไม่แสดงออกทางสีหน้า
“ว่าอย่างไรล่ะ ? พวกเจ้าจะส่งอสูรมายาพวกนั้นมาดี ๆ หรือจะทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ตลอดไป ?”
เฝิงต้าเป่ากวาดสายตามองฉื่อไท่หลางและสหายทั้งสี่ที่ทรุดอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเหยียดหยามขณะกล่าวด้วยวาจาข่มขู่
“เหอะ ต่อให้ต้องตาย พวกข้าก็ไม่มีทางยอมจำนนต่อคนชั่วช้าอย่างพวกเจ้า ต้องการอสูรมายาของพวกข้าไปรึ ? ฝันต่อไปเถอะ !”
ฉื่อไท่หลางถ่มน้ำลายใส่เฝิงต้าเป่าอย่างไม่เกรงกลัว
ศิษย์ตระกูลฉื่อคนอื่น ๆ ก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเช่นกัน พวกเขาไม่มีทางยอมยกอสูรมายาของตนให้กับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“รนตาที่ตายเสียแล้ว !”
เฝิงต้าเป่าก้มมองน้ำลายของฉื่อไท่หลางบนร่างของตนด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด ทันใดนั้น กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือของเขาและเตรียมจ้วงแทงฉื่อไท่หลางตรงหน้า
ฉื่อไท่หลางก็เพียงหลับตาลง ทว่าไม่นึกเสียใจแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมจำนนต่อผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายเหล่านี้
“ช้าก่อน !”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็รีบถ่ายทอดข้อความบอกให้เฝิงเยี่ยหาทางถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด
เมื่อครู่นางแผ่พลังวิญญาณออกไปและสัมผัสได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาในทิศทางนี้ หากคาดเดาไม่ผิด คนเหล่านั้นน่าจะเป็นสมาชิกของทั้งสามตระกูล
“เฝิงเยี่ย นี่เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรกัน เจ้าต้องการขัดคำสั่งของนายน้อยผู้นี้งั้นรึ ?!”
เมื่อถูกหยุดไว้ สีหน้าของเฝิงต้าเป่าก็บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิมขณะจ้องหน้าเฝิงเยี่ยตาเขม็งและตวาดเสียงดังลั่น
“นายน้อย ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ ต่อให้ฆ่าคนพวกนี้เสียตอนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา เก็บพวกเขาไว้ใช้ข่มขู่ต่อรองกับฉินอวี้โม่จะดีกว่า ข้าเพียงอยากเตือนนายน้อยว่าฉินอวี้โม่นั่นรับมือได้ยากทีเดียว หากเรามีคนพวกนี้อยู่ในกำมือก็อาจทำให้นางเกรงกลัวได้ไม่มากก็น้อย”
เฝิงเยี่ยถ่วงเวลาตามคำสั่งของฉินอวี้โม่และยังไม่คิดที่จะเปิดเผยเจตนาที่แท้จริงของตน เขาเพียงยิ้มบาง ๆ และกล่าวอธิบายอย่างใจเย็น
“เหอะ เรายังมียาพิษที่ทรงพลังนั่นและแผนการทุกอย่างก็ถูกคิดพิจารณาไว้อย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้คนพวกนี้เพื่อข่มขู่ฉินอวี้โม่หรอก”
เฝิงต้าเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันทว่ายอมเก็บกระบี่ในมือไป
“นายน้อย การเตรียมความพร้อมไว้ย่อมดีกว่า แม้แผนการของเราจะสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทั้งสามตระกูลใหญ่และฉินอวี้โม่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ที่ธรรมดาเลย อีกอย่างดินแดนลับแห่งนี้ก็กว้างใหญ่ยิ่งนัก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันจะไม่เป็นผลดีต่อแผนการของเราแน่ ถ้าเก็บคนพวกนี้ไว้ ฉินอวี้โม่ก็น่าจะหวั่นใจและไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามหรือเป็นภัยต่อเรา หลังจากกำจัดนางได้สำเร็จ การที่จะสังหารคนพวกนี้ในภายหลังก็ยังไม่สายเกินไป”
เฝิงเยี่ยแทบไม่เคยกล่าววาจายาวเหยียดเช่นนี้กับเฝิงต้าเป่ามาก่อน เขาเองก็สงสัยใคร่รู้เช่นกันว่าฉินอวี้โม่วางแผนจะทำอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเลือกที่จะร่วมมือกับนางแล้ว เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แม้ยังจัดการกับเฝิงต้าเป่าไม่ได้ การถ่วงเวลาในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“ข้าเห็นด้วย เจ้าฉินอวี้โม่นั่นทั้งเจ้าเล่ห์และเต็มไปด้วยมารยา การเตรียมความพร้อมไว้ให้มากย่อมดีกว่า”
ปกติแล้วโจวหังรุ่ยก็ไม่เคยเห็นด้วยกับเฝิงเยี่ย ทว่าเขาก็ยังกล่าวสนับสนุนเช่นนี้เพื่อมิให้เฝิงต้าเป่ารีบร้อนสังหารฉื่อไท่หลาง
“เหอะ ถ้าเช่นนั้นข้าจะปล่อยให้พวกเขาได้มีชีวิตอยู่ก่อน !”
เฝิงต้าเป่าแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์นักทว่าตัดสินใจในทันที
จูโหย่วจ้วงแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใด เขาทำได้เพียงจ้องฉื่อไท่หลางตาเขม็งและโทษตัวเองที่ไม่ยอมสังหารคนผู้นี้เสียตั้งแต่ตอนแรก
หลังจากผ่านเวลาไปพักใหญ่ ผู้คนจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่