คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 80 อาจารย์
“อวี้โม่ เจ้าอยากจะเป็นช่างหลอมอย่างนั้นหรือ ?”
เยว่ชิงเฉิงไม่แน่ใจนักว่าฉินอวี้โม่คิดอย่างไร ทว่านางได้เห็นพรสวรรค์ในด้านนี้ของสตรีที่นางยึดถือเอาเป็นสหายแล้ว หากสหายผู้เก่งกาจอยากจะเป็นช่างหลอม นางก็จะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่
เมื่อได้ยินคำถามของเยว่ชิงเฉิง ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้ารับ นางสนใจศาสตร์ด้านการหลอมอยู่จริง ๆ ถ้าหากว่านางกลายเป็นช่างหลอมได้ก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี
“ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านปู่ของข้า เจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับสมาคมของเราก็ไม่เป็นไร แค่ท่านปู่รู้ว่าเจ้าเป็นสหายสนิทของข้า ท่านจะสอนเจ้าอย่างดี ข้ารับรองเลยว่าด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ไม่นานเจ้าจะกลายเป็นช่างหลอมระดับแนวหน้าได้แน่นอน”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาคือปู่ของเยว่ชิงเฉิง เขาเป็นปรมาจารย์ในด้านการหลอม ชื่อเสียงของช่างหลอมชราผู้นี้ไม่ได้เป็นที่นับถือกันแต่เพียงภายในนครไป๋อวิ๋นเท่านั้น แต่ยังโด่งดังไปทั่วทั้งแผ่นดิน แม้ว่าปัจจุบันเขาจะวางมือจากตำแหน่งประธานสมาคมช่างหลอมไปแล้วก็ตาม ทว่าสถานะและบารมีของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุตรชายที่เป็นประธานสมาคมช่างหลอมคนปัจจุบันเลย
แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น และผู้นำตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายต่างก็เคารพยำเกรงและให้เกียรติปรมาจารย์เฒ่าผู้นี้
เมื่อกล่าวจบเยว่ชิงเฉิงก็ลากตัวฉินอวี้โม่ออกไปอย่างรวดเร็ว
คุณหนูตระกูลฉินลอบถอนหายใจอย่างปลดปลง เยว่ชิงเฉิงเป็นสตรีที่คิดเร็วทำเร็ว ไม่ว่าจะกล่าวหรือคิดสิ่งใดออกมาได้ นางก็จะลงมือทำมันให้ได้ในทันทีทันใด เช่นในตอนนี้ เมื่อกล่าวว่าจะแนะนำท่านปู่ให้ฉินอวี้โม่รู้จัก นางก็ลากสหายใหม่จากตระกูลฉินออกไปอย่างฉับพลัน
หลังจากออกจากห้องส่วนตัว เยว่ชิงเฉิงก็พาฉินอวี้โม่ลงไปที่ชั้นสองก่อนจะเดินตรงไปยังห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ห้องนี้เป็นห้องของอดีตประธานสมาคมช่างหลอม–ปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยา
เมื่อเห็นว่าตรงหน้าประตูไม่มีผู้ใดยืนอยู่ เยว่ชิงเฉิงก็ผลักประตูเข้าไปทันที
ในยามที่ช่างหลอมลงมือสรรค์สร้างสิ่งหลอม พวกเขาจะต้องใช้สมาธิอันสูงส่ง ดังนั้นแล้วในระหว่างที่ผู้เฒ่าเยว่เหยาปฏิบัติงานจะต้องมีคนมายืนเฝ้าหน้าประตูห้องเอาไว้ ซึ่งการที่หน้าประตูไม่มีผู้ใดเฝ้าก็แสดงว่าขณะนี้ปรมาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้สร้างสิ่งหลอมอยู่ เยว่ชิงเฉิงจึงกล้าผลักประตูเข้าไปโดยไม่เอ่ยขออนุญาต
“ท่านปู่ ข้าพาสหายของข้ามาพบท่าน”
เยว่ชิงเฉิงจูงมือฉินอวี้โม่เดินตรงเข้ามา แน่นอนว่าคุณหนูช่างหลอมหลงลืมการมีอยู่ของโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วไปโดยสมบูรณ์ สองสหายผู้ไร้ตัวตนเดินคอตกตามหลังมาอย่างอับจนปัญญา
“เสี่ยวชิงเฉิง ช่วงนี้การฝึกฝนในด้านการหลอมอาวุธของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ทันทีที่เดินเข้ามา พวกเขาก็ได้ยินเสียงของบุรุษชราท่าทางใจดีผู้หนึ่งที่กำลังจดจ่ออยู่กับหมากกระดานดังมาออกมาจากส่วนลึกของห้อง
“ท่านปู่ ข้าก็กำลังฝึกอยู่เรื่อย ๆ นั่นแหละ”
เยว่ชิงเฉิงถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหาเยว่เหยาและเกาะแขนของเขาออดอ้อน
“เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าต้องขี้เกียจอีกแล้วแน่ ๆ”
แม้ว่าจะกล่าวเช่นนั้น แต่สายตาที่ผู้เฒ่าเยว่เหยาใช้จ้องมองเยว่ชิงเฉิงก็เป็นสายตาที่ดูตามใจไม่น้อย เขาไม่อยากจะไปขัดขวางแนวทางของหลานสาว
เยว่ชิงเฉิงแลบลิ้นออกมาอย่างแก่นแก้ว
“ท่านปู่ ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จัก นี่คือสหายคนสนิทของข้า–ฉินอวี้โม่”
เยว่ชิงเฉิงดึงฉินอวี้โม่ให้เข้ามาหาผู้เป็นปู่ “ท่านปู่ ท่านอาจจะยังไม่ทราบ เมื่อครู่อวี้โม่ได้สร้างผลงานชิ้นเอกขึ้นมาเป็นกริชงามมากเล่มหนึ่ง กริชเล่มนี้ไม่เพียงแต่ไร้ที่ติแต่ยังคุณภาพยอดเยี่ยม ที่สำคัญนางสร้างมันขึ้นมาจากชิ้นงานที่ล้มเหลวของข้า ข้าคิดว่าหากว่านางรู้ทักษะการหลอม อวี้โม่อาจจะสามารถทำให้เหล็กผุ ๆ กลายเป็นสมบัติได้เลย !”
เยว่ชิงเฉิงเล่าให้ท่านปู่ของนางฟังด้วยสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะหยิบเอากริชที่เพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์ออกมาประกอบการบรรยาย
เมื่อเห็นกริชเล่มนั้นในมือหลานสาว ปรมาจารย์เยว่เหยาก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“เป็นอาวุธที่ดี ทักษะการเจียระไนของเสี่ยวอวี้โม่ยอดเยี่ยมมาก แต่เสี่ยวเฉิงเอ๋อร์ การขัดเงาและลับคมของเจ้าต้องตั้งใจฝึกหัดอีกสักหน่อย”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่ามองดูกริชอยู่เพียงชั่วครู่ก็เอ่ยวิจารณ์ออกมา
ผู้เฒ่าเยว่เหยารู้จักพรสวรรค์ของหลานสาวตัวเองดี เขารู้ว่าพรสวรรค์ด้านการสร้างสิ่งหลอมของนางเรียกได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง วัน ๆ สิ่งที่นางสร้างขึ้นมาก็มักจะมีแต่อุปกรณ์หน้าตาแปลกประหลาด แม้ว่ายอดฝีมือช่างหลอมเฒ่าจะรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ยังปล่อยให้หลานสาวได้ทำในสิ่งที่นางต้องการ
เพียงแค่มองกริชในมือเขาก็รู้ในทันทีว่าการเจียระไนไม่ใช่ผลงานของเยว่ชิงเฉิง อย่างไรก็ตาม การขึ้นรูป การขัดสี และการลับคมเป็นฝีมือของนางอย่างแน่นอน กริชเล่มนี้แกะและเจียออกมาได้อย่างน่าชื่นชม ทักษะการใช้มือและมีดแกะไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย ทว่าฝีมือการขัดเงาและลับคมของกริชเล่มนี้แม้ไม่ได้ย่ำแย่แต่ก็ไม่ได้ดีนัก ปรมาจารย์สายตาแหลมคมมากประสบการณ์จึงคาดเดาว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่เจียระไนมันออกมา
แค่มองเพียงชั่ววูบ ก็ให้คำวิจารณ์ที่เฉียบขาดได้ถึงเพียงนี้แสดงว่าสายตาของเยว่เหยาเหนือชั้นเป็นอย่างมาก เขารู้แม้กระทั่งว่านางและหลานสาวสร้างสรรค์ผลงานในขั้นตอนใด อีกทั้งยังสามารถแยกแยะฝีมือและจุดบกพร่องได้ นี่ทำให้ฉินอวี้โม่โค้งคำนับเขาด้วยความนอบน้อม
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของเสี่ยวชิงเฉิง เวลาอยู่ต่อหน้าข้าเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจนักหรอก มานั่งลงก่อนสิ”
กล่าวจบผู้เฒ่าเยว่เหยาก็ชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม คล้ายเป็นการบอกกลาย ๆ ให้ฉินอวี้โม่มาเป็นคู่ซ้อมเดินหมากกระดานนี้กับเขา
ฉินอวี้โม่มองไปที่หมากในกระดานและพบว่ามันเป็นหมากรุกของโลกมายา อดีตสาวนักฆ่าค่อย ๆ เดินไปแล้วนั่งตรงข้ามกับปรมาจารย์ช่างหลอมผู้มากอาวุโส
ในชีวิตก่อน หมากกระดานเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชอบมาก เกมประเภทหมากกระดานที่เธอถนัดที่สุดก็คือหมากล้อม ซึ่งเธอจะศึกษามันทุก ๆ วันหยุด ฝีมือของเธอแม้จะไม่ได้เข้าขั้นมืออาชีพแต่ก็ถือว่าไม่ต้องอายใคร เธอชื่นชอบการเดินหมากกระดานเพราะมันช่วยให้ได้ฝึกฝนความคิด ชอบความท้าทายที่ต้องคิดค้นกลวิธีในการเอาชนะคู่ต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขและกติกา อันที่จริง นอกเหนือจากหมากล้อมแล้ว หมากรุกก็เป็นเกมที่เธอถนัดมากเช่นกัน
“อวี้โม่ เจ้ารู้วิธีเล่นหมากรุกใช่ไหม ?”
ทันทีที่ฉินอวี้โม่นั่งลง ผู้เฒ่าเยว่เหยาก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
“ทราบมานิดหน่อยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ สำหรับนางที่มีความทรงจำของคุณหนูสี่อยู่ แน่นอนว่ากติกาของหมากรุกโลกมายานางย่อมรู้ดี ทว่าคุณหนูคนงามก็ยังตอบอย่างถ่อมตัว
เมื่อได้ยินบทสนทนาของผู้เป็นปู่และฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงก็เข้าใจความตั้งใจของผู้เฒ่าเยว่เหยาทันที แต่อย่างไรก็ตาม คุณหนูช่างหลอมก็ไม่รู้วิธีการเล่นหมากรุก นางส่งสายตาให้โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วเป็นเชิงบอกว่าอย่าได้เข้าไปขัดคนต่างวัยทั้งคู่ ก่อนนางจะยืนดูเงียบ ๆ เช่นกัน
“งั้นช่วยข้าแก้กระดานนี้ให้จบทีสิ”
บุรุษผู้เฒ่ายิ้มใจดี เขาผู้ซึ่งเป็นปู่ของเยว่ชิงเฉิงคือปรมาจารย์ด้านการหลอม การที่หลานสาวของเขาพาสหายมาพบและยังอวดอ้างว่านางมีพรสวรรค์ที่ดี เช่นนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าหลานตัวดีรวมทั้งดรุณีน้อยตรงหน้าต้องการสิ่งใด
ปกติแล้ว ตัวเขาไม่คิดจะรับผู้ใดเป็นศิษย์โดยง่าย และที่ผ่านมาเขาก็เคยรับศิษย์เพียงหนึ่งคนเท่านั้น แต่ในเมื่อหลานสาวของเขาเป็นผู้พานางมาหาถึงที่เช่นนี้ ผู้เฒ่าเยว่เหยาก็จะไม่ใจร้ายกล่าวปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังต้องการทดสอบฉินอวี้โม่ก่อน
มีผู้รู้เคยกล่าวไว้ว่าแนวทางการเล่นหมากรุกของคนคนหนึ่งสามารถบ่งบอกถึงธรรมชาติของคนผู้นั้นได้ ผู้เฒ่าเยว่เหยาจึงคิดจะใช้หมากรุกกระดานนี้เพื่อวิเคราะห์สตรีน้อยผู้ต้องการฝากตัวเป็นศิษย์
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะไล่สายตาดูหมากในกระดานอย่างพินิจพิเคราะห์
บนกระดาน ตัวหมากสีดำได้ล้อมตัวหมากสีขาวเอาไว้แล้วทุกด้าน ดูเหมือนว่าในสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีทางที่หมากสีขาวจะหนีไปไหนได้อย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะเดินตัวหมากตำแหน่งใดก็ดูเหมือนจะถูกรุกฆาตในท้ายที่สุดอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ยังมองเห็นช่องโหว่ของวิธีการเดินหมากของตัวหมากดำได้ ต้องถือว่าโชคดีที่นางได้เรียนรู้วิธีการเล่นหมากรุกมาจากศตวรรษที่ 21 เพราะกติกาและรูปแบบการเดินหมากรุกของโลกที่นักฆ่าสาวจากมานั้นซับซ้อนกว่าหมากรุกในโลกมายานี้มาก ในตอนนี้เธอจึงเห็นแล้วว่าจะแก้หมากตานี้อย่างไร
— แก๊ก ! —
ฉินอวี้โม่หยิบตัวหมากสีขาวขึ้นมาและวางลงไปตรงช่องว่างเพียงช่องเดียวที่อยู่กลางกระดานอย่างไม่ลังเล
เมื่อเห็นการเดินหมากของฉินอวี้โม่ ปรมาจารย์แห่งสมาคมช่างหลอมก็ยิ้มกว้างออกมาในทันใด
“กล้าหาญ ตรงไปตรงมา หยิ่งผยอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเสี่ยวอวี้โม่ถึงได้กลายเป็นสหายที่ดีของเสี่ยวเฉิงเอ๋อร์ได้ !”
การเดินหมากเช่นนั้น ทำให้ปรมาจารย์ผู้มากประสบการณ์อดกล่าวคำชมเชยออกมาไม่ได้ ผู้เฒ่าเยว่เหยารู้สึกชื่นชมสตรีน้อยตรงหน้านี้เป็นอย่างยิ่ง
หมากที่นางลงมาเมื่อสักครู่นั้น จริงอยู่ว่าดูผิวเผินคล้ายกับเป็นการฆ่าตัวตาย ในตำแหน่งนั้นเห็นชัดว่ามันเสี่ยงที่จะถูกหมากดำของเขาจับกิน ทว่าเขากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะการทำเช่นนั้นโครงสร้างของหมากที่เขาวางไว้จะเกิดช่องโหว่ที่ร้ายแรง และสถานการณ์ของหมากกระดานนี้ก็จะพลิกกลับทันที แต่หากว่าเขาไม่จับกินมันก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามสำคัญที่ทำให้ฝ่ายเขาจะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าอยากจะมาเป็นศิษย์ของผู้เฒ่าผู้นี้หรือไม่ ?”
ปรมาจารย์เยว่เหยามองฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเยว่เหยา มุมปากของฉินอวี้โม่ก็แย้มยิ้มอย่างแจ่มใส นางลุกขึ้นมาทันทีและเตรียมคุกเข่าทำการคำนับปรมาจารย์ช่างหลอมมือหนึ่งเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์
“ช้าก่อนอวี้โม่ อย่าทำแบบนั้น เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้”
ทว่าผู้เฒ่าเยว่เหยากลับหยุดฉินอวี้โม่เอาไว้ จู่ ๆ บุรุษผู้เฒ่าก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ หากว่าฉินอวี้โม่กราบเขาเป็นอาจารย์ก็คงจะเป็นเรื่องยุ่งไม่น้อย
ฉินอวี้โม่ชะงักไป นางมองอดีตประธานสมาคมช่างหลอมด้วยความประหลาดใจ การแสดงออกของผู้เฒ่าเยว่เหยาในตอนนี้ดูออกจะแปลกอยู่ไม่น้อย
“แค่ก ๆ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฉินเทียนพ่อของเจ้าเคยกราบข้าเป็นอาจารย์และยังถือเป็นศิษย์คนเดียวของข้า หากว่าเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์อีกคน ข้าเกรงว่ามันจะไม่เหมาะ”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาไอ และกล่าวบางสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงประหลาดใจ
ในตอนนั้นพรสวรรค์ของฉินเทียนนับว่าโดดเด่นเป็นอย่างมากจนเยว่เหยารู้สึกประทับใจและรับเขาไว้เป็นศิษย์เพียงคนเดียว เรื่องนี้มีน้อยคนนักที่จะทราบและเยว่เหยาก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยเล่าให้ใครฟัง ในเมื่อฉินเทียนเป็นศิษย์ของเยว่เหยา ฉินอวี้โม่เป็นบุตรสาวของฉินเทียน ฉะนั้นด้วยศักดิ์แล้ว เยว่เหยาก็นับเป็นอาจารย์ของฉินอวี้โม่อยู่แล้ว
แต่ถ้าหากฉินอวี้โม่กราบเขาเป็นอาจารย์อีกคน นั่นก็เท่ากับว่าฉินอวี้โม่กับฉินเทียนจะกลายเป็นศิษย์รุ่นเดียวกันหรือเป็นศิษย์พี่-ศิษย์น้อง ซึ่งเยว่เหยาคิดว่ามันไม่เหมาะสมนัก
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าผู้นี้ถือว่าเป็นอาจารย์ของเจ้าอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกราบข้าเป็นอาจารย์อีก และเจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ได้ ให้เรียกข้าว่าท่านปู่แบบเดียวกับเสี่ยวชิงเฉิงก็แล้วกัน”
เยว่เหยาเอ่ยปากกล่าวในสิ่งที่เขาตัดสินใจ
ฉินเทียนคือลูกศิษย์ของเขา ตามหลักแล้วฉินอวี้โม่เป็นก็คือลูกของลูกศิษย์ซึ่งก็คือหลานคนหนึ่ง เพียงแต่เขาอยากให้นางเป็นเสมือนหลานแท้ ๆ อีกคนจึงขอให้เรียกเขาว่าท่านปู่ ฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์สูงส่ง หากสามารถส่งเสริมให้นางเป็นช่างหลอมฝีมือโดดเด่นได้เขาก็ยิ่งรู้สึกดีใจ หลานสาวของเขาคนหนึ่งมีพรสวรรค์แสนธรรมดาทำให้เขาไม่อาจจะถ่ายทอดทักษะการหลอมของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ถ้าหากหลานอีกคนของเขามีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าและประสบความสำเร็จได้ ช่างหลอมผู้เฒ่าอย่างเขาผู้นี้ก็คงได้ยิ้มเป็นสุขราวกับสวรรค์อำนวยพรให้เขาทุกวัน
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเปลี่ยนแปลงท่าทาง คุกเข่าทำท่าคารวะผู้เฒ่าเยว่เหยาเสมือนคนรุ่นเยาว์ที่คำนับผู้อาวุโสก่อนจะลุกขึ้นยืนและเรียกเขาว่าท่านปู่เยว่เหยาด้วยรอยยิ้ม
“วิเศษที่สุด ในที่สุดอวี้โม่ก็จะได้เรียนรู้ทักษะการหลอมแล้ว”
เยว่ชิงเฉิงหัวเราะร่า จุดประสงค์ที่นางพาฉินอวี้โม่มาที่นี่ก็เพื่อให้ท่านปู่ของนางสอนทักษะการหลอมให้ฉินอวี้โม่ และตอนนี้ในเมื่อท่านปู่ของนางรับฉินอวี้โม่เป็นศิษย์แล้วก็เท่ากับว่าสิ่งที่นางทำไปในวันนี้สำเร็จลุล่วง
“อวี้โม่ เจ้าต้องเรียนรู้ศาสตร์การหลอมอาวุธจากปู่ของข้าให้ได้มากที่สุดนะ หากเจ้าทำเช่นนั้นต่อไปท่านปู่ก็จะได้ไม่ต้องมาค่อยสั่งหรือบอกให้ข้าฝึกอีก”
เยว่ชิงเฉิงเข้าไปจับมือฉินอวี้โม่อย่างอารมณ์ดีก่อนจะพูดในสิ่งที่นางคิดออกไป ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเป้าหมายอันแท้จริงที่คุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมคาดหวังไว้แต่แรกแล้ว
“เสี่ยวชิงเฉิง เหมือนเจ้าจะไม่อยากฝึกฝนการหลอมเหลือเกินนะ !”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาแสร้งทำทีเป็นดุหลานสาว แต่บนใบหน้าชรากลับยังคงอมยิ้ม ปรมาจารย์ช่างหลอมถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรกับหลานสาวตัวร้ายของเขาดี ตัวเขามีทักษะการหลอมอยู่อย่างเปี่ยมล้น ทว่าหลานสาวกลับไม่อยากเดินเส้นทางนี้ ยังดีที่วันนี้เขาได้ฉินอวี้โม่มาเป็นหลานอีกคน อย่างน้อยเขาก็มีตัวแทนที่จะฝากความหวังเอาไว้ได้บ้างแล้ว
“ท่านปู่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่คิดว่าอวี้โม่มีพรสวรรค์ในการหลอมที่สูงส่ง หากว่านางได้เรียนรู้จากท่านปู่ นางก็คงจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อถึงตอนนั้น ไม่แน่ว่านางอาจจะเหนือกว่าท่านปู่เสียอีก และถ้าหากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะได้ไปเรียนรู้จากเสี่ยวอวี้โม่แทน”
เนื่องจากนางกำลังอารมณ์ดี เยว่ชิงเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะพูดจาหยอกล้อผู้เป็นปู่ของตัวเอง
“เหอะ ! เจ้าเรียนรู้จากข้ามาตั้งหลายปี เจ้ายังทำได้เพียงเท่านี้ หากว่าเสี่ยวอวี้โม่เรียนแล้วเก่งกว่าเจ้าได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เจ้าตัวดี ข้าว่าเจ้าควรจะมุดแผ่นดินหนีได้แล้วล่ะ”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาแสร้งเหน็บแนมเยว่ชิงเฉิง พลางมองนางด้วยสายตาดูหมิ่น ทว่าน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้มีความโกรธอยู่เลย ตัวเขานั้นเคยชินกับนิสัยของหลานสาวที่เป็นเช่นนี้มานานและหมดมุกที่จะใช้รับมือกับเจ้ามารน้อยผู้นี้ไปเสียแล้ว จนทุกวันนี้เหลือเพียงวิธีเดียวที่เขาใช้รับมือกับนางนั่นคือ… ต้องปล่อยวางให้ได้เท่านั้น
เยว่ชิงเฉิงแลบลิ้นใส่ปู่ของตัวเอง ก่อนจะกล่าว “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็คงจะดีใจกับอวี้โม่”
“เพ่ย เจ้าหลานดื้อ หัดใจกล้าทำท่าทางน่าตีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่าส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญาก่อนจะเปลี่ยนเป็นกล่าวเรื่องอื่นไป “เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าจะเข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบ
“เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มขึ้น ถ้าเจ้ามีเวลาก็เข้ามาที่สมาคมได้ ในเรื่องของพื้นฐานการหลอมข้าจะสั่งให้ศิษย์ของสมาคมคอยดูแลแนะแนวทางให้เจ้า จากนั้นเจ้าก็ศึกษาดูจากการปฏิบัติงานของช่างในสมาคม เจ้าจะเข้าใจได้มากแค่ไหนก็คงขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า หากเจ้าสามารถขึ้นถึงระดับช่างหลอมอาวุโสได้แล้ว เวลานั้นข้าจะชี้แนะให้เจ้าด้วยตัวเอง”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาไม่ต้องการจะเริ่มต้นสอนในส่วนของพื้นฐานให้แก่ฉินอวี้โม่ เขาอยากให้นางเรียนรู้ด้วยตนเอง ทว่าเขาก็จะคอยชี้แนะแนวทางในเรื่องที่นางสงสัยและคอยอำนวยความสะดวกให้
หากเป็นการสอนในเรื่องของพื้นฐานจะให้ช่างหลอมคนใดสอนก็จะให้ผลที่ไม่ต่างกันมาก สิ่งสำคัญคือฉินอวี้โม่ต้องเข้าใจมันได้ด้วยตัวเอง หากนางมีพรสวรรค์ที่ดี นางก็จะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว หากว่ายังไม่พึงพอใจในทักษะพื้นฐานที่ผู้อื่นสั่งสอน นางก็ต้องค้นหาแนวทางเฉพาะของตัวเอง และนั่นคือสิ่งที่อาจารย์เฒ่าผู้นี้ต้องการ
ฉินอวี้โม่พยักหน้า อย่างไรเสียหลังจากนี้นางก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงตั้งใจจะมาที่สมาคมช่างหลอมทุกวันเพื่อศึกษาเรียนรู้ นางตั้งมั่นแล้วว่าจะเป็นช่างหลอมให้ได้โดยเร็วที่สุด
ยังพอมีเวลาเหลือก่อนที่การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มต้นขึ้น นี่จึงถือเป็นการดีที่จะใช้เวลาในช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์
หลังจากพูดคุยสนทนากับผู้เฒ่าเยว่เหยาและเยว่ชิงเฉิงอีกพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงก็ออกจากสมาคมช่างหลอม สองสาวกล่าวลาสหายหนุ่มก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายเดินทางกลับตระกูลของตัวเอง