คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 831 เมืองแห่งผีดิบ
เมิ่งเยี่ยสับสนงุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของความตายจากคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย และคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงคนปกติธรรมดาที่ไร้พลังมายาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินทางมาด้วยกันหลายวันและทำความรู้จักกันพอสมควร เขาก็เข้าใจลักษณะนิสัยของฉินอวี้โม่และมารยามากพอจนมั่นใจได้ว่าทั้งสองจะไม่มีทางกล่าวสิ่งใดที่ไร้เหตุผลหรือไม่มีมูลอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาจึงเริ่มระแวดระวังขึ้นมา
“อวี้โม่ เห็นอยู่ว่าสมรภูมิรบเดนตายไม่มีเวลากลางคืน เหตุใดบุรุษผู้นั้นจึงเตือนมิให้เราออกไปข้างนอกในตอนกลางคืนกัน ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้
จากประสบการณ์หลายวันที่ผ่านมา เขาก็มั่นใจว่าในสมรภูมิรบเดนตายไม่มีเวลากลางคืนอย่างแน่นอน ทว่าบุรุษวัยกลางคนในภัตตาคารกลับเตือนพวกเขาว่าไม่ควรออกไปข้างนอกในยามค่ำคืนซึ่งทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย
“บางทีที่นี่อาจจะแตกต่างออกไป…”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและมั่นใจว่าจะได้ทราบทุกอย่างที่สงสัยหลังจากนี้
หลังจากพักอยู่ในห้องเป็นพักใหญ่ ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดสลัวลง
“ท้องฟ้ามืดแล้ว !”
เมื่อมองออกไปข้างนอก เมิ่งเยี่ยก็ขมวดคิ้วและตะโกนเบาๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมืองประหลาดแห่งนี้จะมีกลางคืนอยู่จริง พวกเขาใช้เวลาอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายรวมทั้งหมดเกือบสิบวันแล้วและนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท้องฟ้าที่มืดมิด ความเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงนี้ทำให้ความรู้สึกของทั้งเขาและฉินอวี้โม่ซับซ้อนไม่น้อย
ฉินอวี้โม่หยิบไข่มุกราตรีจำนวนหนึ่งออกมาจากแหวนมิติเพื่อเพิ่มความสว่างรอบตัว หลังจากถอดถอนข่ายอาคมที่วางป้องกันไว้รอบ ๆ นางก็แผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจสภาพแวดล้อมภายนอกทันที
ทั้งเมืองในตอนนี้เงียบสงัดอย่างยิ่ง บนถนนหนทางไร้ซึ่งผู้คนสัญจรไปมา ภายในโรงเตี๊ยม นอกเหนือจากห้องของพวกนางก็ไม่มีแสงสว่างอื่นใดซึ่งเป็นบรรยากาศที่น่าขนลุกเล็กน้อย
เมิ่งเยี่ยก็ขยับเข้าไปใกล้ฉินอวี้โม่โดยอัตโนมัติและรู้สึกหวาดผวาด้วยเหตุผลบางประการ
เอี๊ยดด~
“อ๊ะ !”
หลังจากนั่งเงียบนานสองก้านธูป เมิ่งเยี่ยก็แทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงท่ามกลางความเงียบสงัด
ทั้งโรงเตี๊ยมที่เคยเงียบเชียบในตอนแรก ทว่าในเวลานี้ประตูหลายบานกลับถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ และผู้คนจำนวนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากห้องของตนเอง
ราวกับทุกคนมีความเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องใช้วาจาใด พวกเขามุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันและไม่ทราบได้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด
“ไปดูกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่กระซิบเบา ๆ และแอบติดตามคนเหล่านั้นไปทันที
เมิ่งเยี่ยก็ตามหลังฉินอวี้โม่ไปอย่างใกล้ชิดขณะยังคงรู้สึกเสียวสันหลังวาบและขนหัวลุกขึ้นมา
ภายในเมือง ประตูบ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกเปิดออกและทุกคนรวมตัวบนถนนด้วยกันขณะเดินหน้าไปในทิศทางหนึ่ง
ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยซ่อนตัวอยู่บนหลังคาอาคารหลังหนึ่งขณะจับตาดูการเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้นด้วยความหวาดหวั่นในใจ
คนเหล่านั้นดูไม่มีสติสัมปชัญญะแม้แต่น้อยและดูเหมือนจะถูกครอบงำโดยบางสิ่งบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น แม้มองผิวเผินแล้วพวกเขากำลังก้าวเดิน ทว่าแท้ที่จริงแล้วเท้าของพวกเขาไม่ได้แตะพื้นด้วยซ้ำขณะลอยตัวเหนือพื้นดินไปเรื่อย ๆ
สถานการณ์ที่ได้พบเห็นในตอนนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่คิดไตร่ตรองอย่างหนัก
หรือว่าแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นมิใช่มนุษย์ หากแต่เป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น ?
“พวกนั้นเป็นผีงั้นรึ ?”
เมิ่งเยี่ยกระซิบกระซาบเบา ๆ และรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยเห็นผีสางมาก่อนและคิดว่าพวกมันมีอยู่ในตำนานเท่านั้นแม้จะเคยพบในตำราบันทึกบางเล่มก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ประชากรชาวเมืองอู๋เริ่นในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับผีสางที่บรรยายไว้ในตำราเหล่านั้นยิ่งนัก
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่พวกเขามิใช่คนปกติแน่”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ ขณะพยายามควบคุมคลื่นพลังของตนเองเมื่อมิให้คนเหล่านั้นรับรู้ได้
ไม่นานนักบนถนนก็มีคนหลายร้อยคนรวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งคนชราและเด็กหรือชายและหญิงล้วนลอยตัวไปในทิศทางหนึ่งด้วยกันก่อนหยุดลงที่บริเวณหน้าประตูเมือง
ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยก็กระโดดลงบนพื้นดินขณะยังคงจับตาดูคนเหล่านั้นเพราะต้องการทราบว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด
ฟุ่บ!
สายลมพัดผ่านแวบหนึ่งและร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวกลางอากาศตรงหน้าคนเหล่านั้น
เขาคือบุรุษวัยกลางคนซึ่งเป็นหนึ่งในสองคนที่ฉินอวี้โม่ได้มีโอกาสพูดคุยในภัตตาคารก่อนหน้านี้นั่นเอง
บุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์เป็นระเบียบดูดีและต่างจากคนอื่น ๆ เบื้องล่าง
“คารวะนายท่าน”
เมื่อเห็นบุรุษผู้นั้นปรากฏตัว ทุกคนบนถนนก็คุกเข่าลงและกล่าวอย่างพร้อมเพรียงทันที
“ลุกขึ้นเถอะ”
บุรุษวัยกลางคนโบกมือเพื่อให้คนเหล่านั้นลุกขึ้น
“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว จะหลบซ่อนตัวไปอีกทำไมเล่า ?”
จู่ ๆ เขาก็หันขวับและสายตาหยุดลงในจุดที่ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยกำลังหลบซ่อนตัวก่อนหัวเราะเบา ๆ
ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยสะดุ้งโหยงเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าบุรุษผู้นั้นจะรับรู้ถึงตำแหน่งของพวกนางได้
ทั้งสองไม่ลังเลและตรงเข้าไปปรากฏตัวตรงหน้าบุรุษผู้นั้นพร้อมกับสบตาเขาโดยตรง
“แม่สาวน้อย ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าไม่ควรออกมาในตอนกลางคืน เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อฟังเล่า ?”
บุรุษวัยกลางคนมองฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิทว่าแววตาไม่แสดงถึงความมุ่งร้ายใด ๆ อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายแห่งความตายที่หนาแน่นซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเขาก็ทำให้ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยตระหนักได้อย่างชัดเจน
“มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและกวาดสายตามองทุกคนพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ในเมื่อเจ้าอยากจะรู้นัก ข้าก็จะบอกเจ้า แม่สาวน้อย เมืองอู๋เริ่นแห่งนี้คือเมืองแห่งผีดิบ”
บุรุษวัยกลางคนไม่มีความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ใด ๆ ต่อฉินอวี้โม่และกล่าวอธิบายกับนางอย่างใจเย็น
เมืองอู๋เริ่นคือเมืองแห่งผีดิบ…
ประชากรของเมืองที่ฉินอวี้โม่พบเห็นในตอนกลางวันนั้นแท้จริงแล้วตายมานานหลายปี เพียงแต่จิตวิญญาณของพวกเขายังไม่สลายไปและไม่สามารถไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้ พวกเขาทำได้เพียงติดอยู่ในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้เท่านั้น
ในช่วงกลางวัน พวกเขาจะกลายเป็นคนธรรมดาทั่วไปและใช้ชีวิตตามปกติ ทว่าในยามค่ำคืน พวกเขาจะกลับคืนกลายเป็นวิญญาณไร้ชีวิตและสูญเสียสติควบคุมตนเอง
“ไม่แปลกใจเลยที่เมืองแห่งนี้จะมีชื่อว่าเมืองอู๋เริ่น”
* 无仞 อู๋เริ่น หมายถึง ไร้ที่สิ้นสุด
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของบุรุษวัยกลางคน ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจได้ทันที นางมองเขาอย่างพินิจพิจารณาและเอ่ยถามต่อไป “แต่ท่านแตกต่างไปจากพวกเขาอย่างนั้นหรือ ?”
อีกฝ่ายเพียงยิ้มและตอบกลับ “ไม่ต่างนักหรอก เพียงแค่ข้ามีโอกาสมากกว่าพวกเขาเล็กน้อยและมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง”
เขาเองก็เป็นวิญญาณไร้ชีวิตเช่นกัน ทว่าโชคดีที่เขายังมีสติรับรู้เป็นของตนเอง
ก่อนหน้านี้เมื่อพบกับคนแปลกหน้าทั้งสองในตอนกลางวัน เขาก็เตือนทั้งสองด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือเขาไม่ต้องการให้ทั้งสองค้นพบความลับของเมืองแห่งนี้และอีกประการหนึ่งคือไม่ต้องการให้พวกนางตกอยู่ในอันตราย
ในเมืองแห่งผีดิบนี้ นอกเหนือจากเขาก็ไม่มีผู้ใดที่มีสติสัมปชัญญะเป็นของตนเอง หากพบกับฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยในตอนกลางคืน พวกเขาก็อาจจะลงมือโจมตีทั้งสองก็เป็นได้
“เหตุใดที่นี่จึงกลายเป็นเมืองผีดิบไปได้ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามต่อไป ผีดิบเหล่านี้ควรที่จะไปผุดไปเกิดมิใช่หรือ ? แล้วเหตุใดพวกเขาจึงถูกกักขังอยู่ในเมืองผีดิบแห่งนี้ ?
“เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย”
บุรุษวัยกลางคนส่ายศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญา
“พวกเจ้ารีบไปก่อนเถอะ หากพวกเจ้าไม่รีบไปซะตั้งแต่ตอนนี้ มันอาจจะสายเกินไป”
เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนกล่าวขึ้นเพื่อให้ฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยหลบหนีไปจากที่นี่ก่อน
“ทำไมกัน ?”
เมิ่งเยี่ยอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เวลานี้เขายังคงสับสนงุนงงกับความจริงที่ค้นพบและถึงกับหยิกเนื้อตนเองหลายคราเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เห็นมิใช่เป็นเพียงภาพลวงตา
“ข้าได้กลิ่นของสิ่งมีชีวิต !”
บุรุษวัยกลางคนกำลังจะอธิบายบางอย่าง ทว่าจู่ ๆ น้ำเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นและสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
“สายเกินกว่าจะอธิบายแล้ว พวกเจ้ารีบไปก่อนเถอะ”
เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนพุ่งตรงไปในทิศทางหนึ่งทันที
“ไปกันเถอะ”
แม้ไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้น ฉินอวี้โม่ก็เลือกที่จะเชื่อวาจาของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นและรีบเหาะตรงไปยังนอกเมืองอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเยี่ยก็ไม่รอช้าและติดตามไปอย่างใกล้ชิด
“คิดจะหนีไปไหนรึ ?”
ทว่าก่อนที่จะออกไปจากบริเวณของตัวเมืองได้ ร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าคนทั้งสอง
อึดใจต่อมา คลื่นพลังมหาศาลก็พุ่งเข้าโจมตีฉินอวี้โม่และเมิ่งเยี่ยในทันทีจนทั้งสองร่วงลงจากกลางอากาศ
“พรวดดด !”
สีหน้าของฉินอวี้โม่บิดเบี้ยวเหยเกในขณะที่กระอักเลือดคำโตออกมาทันที