คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 864 ตามล่ากลุ่มคนชุดดำ
“ท่านทวด ท่านทวด ท่านทวด !”
หวังอวิ๋นเย่คุกเข่าลงบนพื้นตรงหน้าอวิ๋นซื่อเทียนและกล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก
“เสียงเบาเกินไป ข้าไม่ได้ยิน”
แน่นอนว่าอวิ๋นซื่อเทียนไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ ขณะกางแขนเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่าไม่ได้ยินสิ่งใด
“เจ้า…”
หวังอวิ๋นเย่เดือดดาลทันทีขณะยกนิ้วชี้หน้าอวิ๋นซื่อเทียนและกำลังจะสบถต่อว่าออกไป
“เจ้าอะไร ? หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะพูดก็แค่ไปหยิบสมุนไพรมาซะ ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด !”
เซิ่งเซียวก้าวออกไปข้างหน้าและง้างขาเตะหวังอวิ๋นเย่อย่างแรง
“ข้า…”
หวังอวิ๋นเย่รู้สึกเจ็บใจยิ่งกว่าเดิม ทว่าเพื่อรักษาชีวิตของตนเองไว้ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“ท่านทวด ท่านทวด ท่านทวด ! ข้าผิดไปแล้ว !”
เสียงดังไปถึงหูของทุกคนอย่างชัดเจนและก้องสะท้อนไปทั่วทั้งท้องฟ้า แม้แต่คนที่อยู่ในบริเวณเชิงเขาก็น่าจะได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจนเช่นกัน
“ไสหัวไปให้พ้น หลังจากนี้หากยังริอาจหาเรื่องพวกข้าอีก อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน !”
อวิ๋นซื่อเทียนโบกมือและไม่สนใจหวังอวิ๋นเย่อีกต่อไป
“เหอะ !”
หวังอวิ๋นเย่ทำได้เพียงแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจและรีบลุกขึ้นจากไป ร่างของเขาหายไปจากการมองเห็นของทุกคนอย่างรวดเร็ว
“การที่ปล่อยเขาไปเช่นนี้ ในอนาคตเขาจะไม่ก่อเรื่องสร้างปัญหาให้กับเราอีกรึ ?”
เหมียวเจินเจินมองไปตามทิศทางที่ร่างของหวังอวิ๋นเย่หายไปและอดเอ่ยถามไม่ได้
“ก็แค่บุรุษที่อ่อนแอคนหนึ่ง ต่อให้กล้ามาหาเรื่องพวกเราอีก การจัดการกับเขาก็มิใช่เรื่องใหญ่หรอก !”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนและไม่เห็นหวังอวิ๋นเย่อยู่ในสายตาเลยสักนิด
“อวี้โม่พูดถูกแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเพราะบุคคลที่ต่ำต้อยเพียงคนเดียวหรอก”
อวิ๋นซื่อเทียนคลี่ยิ้มและแตะแขนฉินอวี้โม่เบา ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีผลอะไรกับพวกนางแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ เลิกสนใจเรื่องสองคนนั้นเถอะ เรายังมีเรื่องสำคัญอื่นอีก”
ซ่างจู๋มู่ผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดมองไปที่ฉินเหยียนและคาดเดาบางอย่างได้ ทว่ายังต้องยืนยันให้แน่ชัดอีกครั้ง
“เป็นจริงอย่างที่ว่า สหายซ่างพูดถูก เรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ บุคคลที่ต่ำต้อยพวกนั้นไม่คู่ควรให้เสียเวลากล่าวถึงด้วยซ้ำ”
เฉินหยางชั่วก็เข้าใจความหมายของซ่างจู๋มู่และกล่าวออกไปขณะสายตามองไปที่ฉินเหยียนเช่นกัน
“อวี้โม่ มันเกี่ยวกับศิษย์พี่ของเจ้า…”
ฉินเหยียนไม่ลังเลอีกต่อไปและกล่าวข้อสันนิษฐานของตนทันที
“ข้าสงสัยว่าพี่เฟิงอาจจะถูกพวกคนชุดดำจับตัวไป”
เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินเฟิง สีหน้าแววตาของฉินอวี้โม่ก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นฉินเหยียนก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ทุกคนได้ทราบอย่างคร่าว ๆ รวมถึงเหตุการณ์ที่ถูกกลุ่มคนชุดดำล้อมโจมตีก่อนที่เหมียวเจินเจินและคณะจะมาพบเข้าเช่นกัน
“ตั้งแต่มาถึงดินแดนมหาเทพแห่งนี้ สหายเหยียนก็ถูกคนชุดดำเหล่านั้นหมายหัวรึ ?”
อวิ๋นซื่อเทียนขมวดคิ้วมุ่นทันที พวกนางทุกคนล้วนเดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพแห่งนี้เป็นครั้งแรกและฉินเหยียนเองก็เช่นเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าควรที่จะไม่มีใครที่รู้จักพวกนางถึงจะถูก อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนชุดดำเหล่านั้นก็จ้องเล่นงานฉินเหยียนตั้งแต่ที่เข้ามาในดินแดนแห่งนี้และสิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นคือดูเหมือนพวกเขาจะมีวิธีการพิเศษบางอย่างที่ช่วยให้ระบุพิกัดของฉินเหยียนได้อย่างแม่นยำจนตามหานางพบในทุกครา
อย่างไรก็ตาม แม้ไล่ล่ามาตั้งแต่ทางเหนือของดินแดนมหาเทพจนมาถึงสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยคิดสังหารนางแม้แต่ครั้งเดียว คาดการณ์ได้ว่าคนเหล่านั้นต้องการจะจับตัวฉินเหยียนกลับไปเป็น ๆ เท่านั้น
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเหยียบย่างเข้ามาในดินแดนมหาเทพ ไม่ต้องพูดถึงการที่ข้าจะรู้จักคนชุดดำเหล่านั้นเลย ข้าไม่อาจทราบได้เลยว่าพวกเขาพยายามจับตัวข้าไปเพื่อจุดประสงค์อะไร สาเหตุที่ข้าสังหรณ์ใจว่าพี่เฟิงถูกจับตัวไปแล้วก็เกิดจากความรู้สึกพิเศษบางอย่างและข้าก็ไม่ได้มั่นใจนัก”
ฉินเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางไม่มั่นใจเลยว่าฉินเฟิงตกอยู่ในเงื้อมมือของคนเหล่านั้นแล้วจริงหรือไม่ เพียงแต่มีลางสังหรณ์บางอย่างก็เท่านั้น
“หากเราไม่พบศิษย์พี่ตั้งแต่ต้นจนจบการคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้ เราก็มั่นใจได้ว่าเขาน่าจะถูกคนชุดดำจับตัวไปแล้วจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีคือเราควรไล่ล่าคนพวกนั้นและติดตามพวกเขาไป หลังจากนั้นเราอาจจะทราบถึงพิกัดของศิษย์พี่ก็เป็นได้”
ฉินอวี้โม่ไม่นึกสงสัยในวาจาของฉินเหยียนและเชื่อในข้อสันนิษฐานของนางอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ฉินเหยียนและฉินเฟิงเผชิญอุปสรรคขวากหนามมาด้วยกันมากมาย ความเข้าใจตรงกันและสายสัมพันธ์ทางความรู้สึกของทั้งสองจึงชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อนางมีลางสังหรณ์เช่นนั้นก็หมายความว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างกับฉินเฟิงอย่างแน่นอน
จากความเข้าใจที่นางมีเกี่ยวกับศิษย์พี่ หากไม่เกิดเรื่องใดขึ้นจริง เขาจะต้องหาทางเข้าร่วมการคัดเลือกเพื่อเข้าสู่สามสำนักและเก้านิกายอย่างแน่นอน ตอนนี้การคัดเลือกรอบสุดท้ายก็ล่วงเลยมานานมาแล้วทว่ายังไม่มีผู้ใดได้เบาะแสเกี่ยวกับฉินเฟิง นั่นหมายความว่าฉินเฟิงอาจไม่เคยเข้ามาในการคัดเลือกรอบนี้ตั้งแต่ต้นและเป็นเครื่องยืนยันข้อสันนิษฐานของฉินเหยียนได้มาก
“คนชุดดำพวกนั้นไม่ได้อ่อนแอเลยและกระบวนท่าโจมตีของพวกเขาก็แปลกประหลาดมาก มิใช่เรื่องง่ายที่เราจะตามไล่ล่าพวกเขา”
ฉินเหยียนขมวดคิ้วด้วยความกังวล ในการประจันหน้ากับคนเหล่านั้นหลายคราก่อนหน้านี้ นางก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบมาโดยตลอด ตั้งแต่ที่ถูกไล่ล่าในโลกภายนอกก่อนหน้านี้ หากมิใช่เพราะหลบหนีออกไปได้อย่างรวดเร็ว เกรงว่านางคงถูกจับตัวไปนานแล้ว สำหรับการเผชิญหน้าครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ หากมิใช่เพราะคณะของหลานเผิงเข้ามาช่วยไว้ นางก็อาจหลบหนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของคนเหล่านั้นเช่นกัน
กลุ่มชายฉกรรจ์ภายใต้เสื้อคลุมสีดำต่างก็วางแผนและเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี เพราะเหตุนั้น การไล่ล่าพวกเขาจึงมิใช่เรื่องง่าย
“เพราะเหตุนั้นเราจึงต้องร่วมมือกันและวางแผนไล่ล่าคนพวกนั้นอย่างแนบเนียน เมื่อถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่เบาะแสของศิษย์พี่เท่านั้น ทว่าเราอาจค้นพบจุดประสงค์ที่คนพวกนั้นพยายามจับตัวศิษย์พี่และพี่สะใภ้ก็เป็นได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยแววตามั่นใจและคิดว่าการไล่ล่าตามจับอีกฝ่ายคงจะไม่เป็นปัญหาวุ่นวายจนเกินไปนัก
ตราบใดที่ทุกคนร่วมมือกันเป็นอย่างดี แผนการตามล่าหากลุ่มคนชุดดำจะไม่ล้มเหลวอย่างแน่นอน
แม้ว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นจะยอดเยี่ยมพอสมควร ทว่าฝ่ายของพวกนางก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน นอกจากนี้ ฉินอวี้โม่และมารยาก็ชำนาญในศาสตร์การวางข่ายอาคม ประกอบกับความช่วยเหลือจากหานโม่ฉือและกิเลนอัคคี โอกาสประสบความสำเร็จจึงอยู่ในระดับที่สูงมาก
“พี่อวี้โม่ ท่านกำลังวางแผนอย่างไรรึ ? เพียงแค่ท่านบอกมา พวกเราก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”
หลานเผิงและเหมียวเจินเจินกล่าวแสดงทัศนคติออกไปอย่างกระตือรือร้น
แม้โหรวรั่วและอีกหลายคนจะไม่ได้กล่าวสิ่งใด ทว่าทัศนคติของพวกเขาก็ชัดเจนอยู่แล้ว หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่ นั่นก็หมายถึงเป็นเรื่องของพวกเขาเช่นกันและจะให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถ
“คนชุดดำพวกนั้นน่าจะมีภูมิหลังที่ทรงอิทธิพลทีเดียว เมื่อใดที่เราตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขา มันจะต้องมีวิกฤตที่คาดไม่ถึงตามมาในอนาคตแน่ เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากให้ทุกคนไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”
แม้ฉินอวี้โม่จะเข้าใจได้ถึงความคิดและทัศนคติของทุกคน นางก็ยังต้องการย้ำเตือนพวกเขาอีกครา
“อวี้โม่ รีบว่ามาเถอะ พวกเราทนรอฟังไม่ไหวแล้ว”
โหรวรั่วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาและสหายอีกหลายคนไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ต่อให้เป็นคนจากสามสำนักและเก้านิกาย พวกเขาก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับกลุ่มคนชุดดำที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจากขอบคุณทุกคนมาก”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากก่อนเริ่มบอกแผนการของตนกับทุกคน
แผนการของนางเรียบง่ายไม่ซับซ้อนแม้แต่น้อย นางและมารยาจะหาที่เหมาะ ๆ เพื่อวางข่ายอาคมไว้จำนวนหนึ่งในขณะที่ฉินเหยียนมีหน้าที่หลอกล่อนำทางคนชุดดำเหล่านั้นเข้าไปในขอบเขตของข่ายอาคม
แน่นอนว่าคนชุดดำเหล่านั้นก็อาจจะคาดเดาได้ถึงความคิดและแผนการของพวกนาง การหลอกล่อพวกเขาจึงมิใช่เรื่องที่ง่ายนัก
“หลานเผิง เจินเจิน เจ้าทั้งสองไปกับพี่เหยียน การที่ทั้งสามคนเดินทางไปด้วยกันน่าจะทำให้คนชุดดำพวกนั้นคลายความระแวดระวังลงได้”
กุญแจสำคัญของแผนการนี้ก็คือการหลอกล่อให้กลุ่มคนชุดดำเดินเข้ามาติดในกับดัก หากทุกคนยังรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เกรงว่าคนเหล่านั้นจะไม่กล้าปรากฏตัวเป็นแน่ และต่อให้แยกกลุ่มกัน พวกเขาก็อาจจะนึกสงสัยบางอย่าง อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ยังมีวิธีที่จะโน้มน้าวให้คนชุดดำเหล่านั้นหลงกลได้
.
.