คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 874 อสูรทรงพลังในคราบมนุษย์
เคร๊ง !
จางซือถงใช้กระบี่ของตนกระแทกเข้าที่กริชเล่มคมของจางซือฉีจนมันหลุดกระเด็นออกไปและแม้แต่จางซือฉีเองก็ถอยหลังออกไปเล็กน้อยในขณะที่ร่างของจางซือถงปรากฏตัวตรงหน้าเมิ่งเยี่ย
“เมิ่งเยี่ย…เจ้าเป็นอะไรรึไม่ ?”
นางหันกลับไปมองเมิ่งเยี่ยและเอ่ยถามด้วยความกังวล
“จางซือถง ยังกล้าเสนอหน้ากลับมาอีกรึ ?!”
จางซือฉีคิดไม่ถึงเลยว่าพี่รองของตนจะปรากฏตัวขึ้นมาในเวลานี้ กริชในมือของนางถูกปัดกระเด็นร่วงลงพื้นและยังไม่สามารถทำอันตรายใดต่อเมิ่งเยี่ยได้ นางก็จ้องหน้าจางซือถงด้วยความชิงชังและแววตาแสดงจิตสังหารอย่างชัดเจน
“จางซือฉี เจ้านี่มันน่ารังเกียจยิ่งนัก !”
จางซือถงจ้องหน้าจางซือฉีตาเขม็งและไม่ปกปิดความชิงชังเช่นกัน
“จางซือถง ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อหนีรอดไปได้ อันที่จริงเจ้าก็ควรจะหาที่ซ่อนดี ๆ แทนที่จะกลับมาหาที่ตายเช่นนี้ !”
จางซือฉีไม่แยแสสิ่งใดแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างทั้งสองก็ถือว่าขาดสะบั้นแล้ว ในเมื่อจางซือถงทราบถึงธาตุแท้ของนาง จางซือฉีก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสแสร้งหรือปิดบังสิ่งใดอีกต่อไป
“ฉินอวี้โม่ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็แสดงตัวออกมาเถอะ หากมิใช่เพราะเจ้า พี่สาวของข้าคงจะไม่มีฝีมือมากพอที่จะกลับมากวนใจข้าเช่นนี้แน่ !”
นางกวาดสายตาเพื่อสำรวจรอบตัวและเริ่มยืนยันบางอย่างได้
เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะมาถึงเร็วเช่นนี้ กล่าวได้ว่าจางซือถงโชคดีอย่างแท้จริง
“บอกให้เขาโผล่หัวออกมา !”
ฉินอวี้โม่และอีกหลายคนก้าวออกมาจากท่ามกลางหมอกหนาอย่างช้า ๆ จากนั้นนางก็จ้องหน้าจางซือฉีพร้อมกล่าวขึ้นเบา ๆ
“ถือว่าเฉลียวฉลาดไม่เบา ทว่าน่าเสียดายจริง ๆ ที่นับจากวันนี้ไปสตรีที่ฉลาดอย่างเจ้าจะต้องหายสาบสูญไปจากโลกนี้ตลอดกาล !”
จางซือฉียิ้มเยาะและปรบมือเล็กน้อยก่อนร่างบุรุษสวมเสื้อคลุมสีดำจะปรากฏกายข้างหลังนาง
“เจ้าพาเมิ่งเยี่ยออกไปก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้กับจางซือถงและบอกให้นางพาเมิ่งเยี่ยที่บาดเจ็บสาหัสออกไปก่อน
“ไปกันเถอะ”
เมิ่งเยี่ยไม่รอช้าและทราบดีว่าการอยู่ที่นี่ต่อไปมีแต่จะเป็นภาระให้กับฉินอวี้โม่เสียเปล่า ๆ เขาพยายามลุกขึ้นทันทีและเตรียมเดินไปยังทิศทางที่กลุ่มของฉินอวี้โม่เดินออกมาก่อนหน้านี้
จางซือถงก็รีบก้าวเข้าไปช่วยพยุงร่างของเขาไว้ และภายในเวลาอันสั้น ทั้งสองก็เดินหายเข้าไปในม่านหมอกทึบ
“หลานเผิง พาเจินเจินออกไปก่อนและช่วยคุ้มกันจางซือถงกับเมิ่งเยี่ยด้วย”
ฉินอวี้โม่ส่งกระแสจิตไปหาหลานเผิงเพื่อให้เขาพาเหมียวเจินเจินออกไปจากที่นี่ก่อน รวมถึงช่วยคุ้มกันความปลอดภัยให้กับเมิ่งเยี่ยผู้บาดเจ็บสาหัส
“เข้าใจแล้ว”
หลานเผิงก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยก่อนจับมือเหมียวเจินเจินและหันหลังเดินออกไปเช่นกัน แม้ยังไม่ทราบว่าหลานเผิงจะพาตนไปที่ใด แต่ในครั้งนี้เหมียวเจินเจินผู้ช่างจ้อก็ไม่ถามสิ่งใดให้มากความและติดตามหลานเผิงไปแต่โดยดี
ทั้งจางซือฉีและบุรุษชุดดำลึกลับไม่ต้องการเสียเวลาขัดขวางคนเหล่านั้นและเพียงมองดูพวกเขาเดินจากไป
“ฉินอวี้โม่ เป้าหมายของเราก็คือเจ้า เราไม่สนใจคนธรรมดาต่ำต้อยพวกนั้นหรอก ตราบใดที่เจ้าติดอยู่ที่นี่ตลอดไป การที่จะจัดการกับคนพวกนั้นในภายหลังก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป”
บุรุษสวมเสื้อคลุมสีดำยังคงนิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใดในขณะที่จางซือฉีกล่าวแสดงจุดประสงค์ของพวกตนอย่างชัดเจน
“ลองดูด้วยตาตัวเองเถอะ สภาพของคนเหล่านั้นคือจุดจบที่พวกเจ้าจะได้เผชิญ”
นางชี้ไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่มีหลุมลึกขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ หลุมดังกล่าวเต็มไปด้วยซากศพไร้วิญญาณ การตายของพวกเขาเหล่านั้นก็ดูจะเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าหดหู่และร่างของพวกเขาไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยซ้ำ รอยเลือดย้อมทั่วหลุมจนกลายเป็นสีแดงฉานและแสดงให้เห็นว่าศพบางส่วนเพิ่งตายไปเพียงไม่นาน
“ก่อนหน้าพวกเจ้า จอมยุทธ์ที่เข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายจำนวนหลายร้อยคนต่างก็ถูกฆ่าตายอยู่ในที่แห่งนี้ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยพวกเจ้าก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป !”
น้ำเสียงของจางซือฉีเรียบเฉยใจเย็นทว่าวาจาที่กล่าวออกมากลับชั่วร้ายอย่างที่สุด มันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าหลายร้อยชีวิตที่ต้องตายอยู่ในหลุมดังกล่าวเกี่ยวข้องกับจางซือฉีอย่างแท้จริง
“เฮอะ ในฐานะจอมยุทธ์ของดินแดน เจ้าไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเหลือสหายจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมในการคัดเลือกนี้เท่านั้น ทว่าหนำซ้ำเจ้ายังคร่าชีวิตของพวกเขาไปมากมายเช่นนี้ จางซือถงพูดถูกแล้ว…เจ้าไม่ควรเกิดมาเป็นมนุษย์จริง ๆ !”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ นางไม่เคยเห็นสตรีที่น่ารังเกียจเช่นจางซือฉีผู้นี้มาก่อน
จอมยุทธ์ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกในสมรภูมิรบเดนตายเหล่านั้นไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใดกับจางซือฉี ทว่านางกลับคร่าชีวิตของคนไปมากมายและทิ้งศพของพวกเขาไว้ที่นี่ แม้ไม่ทราบว่าจางซือฉีกับบุรุษชุดดำมีข้อตกลงอะไรด้วยกัน ทว่าคนที่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเช่นนี้สมควรได้รับบทลงโทษอย่างสาสม
“ชนะเป็นเจ้า..แพ้เป็นโจร ตราบใดที่สุดท้ายแล้วข้าเป็นผู้ชนะ คนนอกก็ไม่มีทางรับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นข้างในนี้และทุกคนก็จะเทิดทูนข้าดั่งเทพธิดาผู้แสนดี !”
จางซือฉีไม่สนใจวาจาเหล่านั้นขณะยิ้มเยาะและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจราวกับเอาชนะฉินอวี้โม่ได้สำเร็จแล้ว
“เทพธิดาผู้แสนดีงั้นรึ ? ชักจะมั่นใจในตัวเองมากเกินไปแล้ว เจ้าไม่คู่ควรพอที่จะเช็ดรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ !”
อวิ๋นซื่อเทียนแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์อย่างชัดเจนและไม่มีความหวาดหวั่นใด ๆ ต่ออีกฝ่าย
บนสีหน้าของคนอื่น ๆ ก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัวเช่นเดียวกัน ราวกับบุรุษชุดดำไม่อยู่ในสายตาของพวกนางแม้แต่น้อย
“เหอะ ก็แค่อสูรมายาในคราบมนุษย์ ยังจะเสแสร้งตบตาผู้อื่นอยู่อีกรึ เจ้าโง่ !”
ถัดจากหานโม่ฉือ จู่ ๆ กิเลนอัคคีอสูรคู่กายของเขาก็ปรากฏตัวพร้อมกล่าววาจาเย้ยหยันและแสดงความรังเกียจต่อบุรุษชุดดำ อีกทั้งมันยังเปิดเผยตัวตนที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ในทันที
“กิเลน !”
ในที่สุดบุรุษชุดดำก็เอ่ยปากและโพล่งออกมาทันทีที่เห็นการปรากฏตัวของกิเลนอัคคี
ทันใดนั้น ส่วนศีรษะของเสื้อคลุมสีดำก็ถูกเปิดออกมาโดยเผยให้เห็นใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าซึ่งดูดุร้ายยิ่งนัก สายตาของ ‘เขา’ ก็มองตรงมาที่กิเลนอัคคีด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
“น่าเกลียดน่ากลัวชะมัด ไม่แปลกใจเลยที่ต้องใช้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าไว้ ช่างระคายเคืองดวงตาจริง ๆ !”
กิเลนอัคคีแสดงความชิงชังที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ปิดบังขณะยังคงโจมตีด้วยวาจาต่อไปไม่หยุดหย่อน ทว่ามันก็นึกเสียดายที่ซิวยังอยู่ในช่วงจำศีล มิฉะนั้น บุรุษชุดดำผู้นี้คงจะถูกบดขยี้จนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวด้วยซ้ำ
“บัดซบ !”
เมื่อถูกกิเลนอัคคียั่วยุด้วยวาจารุนแรงเกินทน บุรุษชุดดำก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและตะโกนกร้าวอย่างบันดาลโทสะ จากนั้นร่างของ ‘เขา’ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นร่างที่แท้จริงในที่สุด
ร่างดังกล่าวคือสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนวัว ขนเหมือนเม่น ทั่วทั้งลำตัวเป็นสีดำทมิฬและมีปีกขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวอย่างยิ่ง
“นี่มันฉงฉี..หนึ่งในอสูรร้ายบรรพกาล !”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันได้อย่างชัดเจน ฉินอวี้โม่ก็ยืนยันตัวตนของมันได้ทันที
‘ฉงฉี’ หนึ่งในอสูรร้ายบรรพกาลและเป็นอสูรที่ทรงพลังอย่างมาก ในสงครามระหว่างเทพและปีศาจเมื่อหลายพันปีก่อน ฉงฉีเคยปรากฏตัวครั้งหนึ่งและไล่ล่าสังหารจอมยุทธ์จากดินแดนไปหลายพันชีวิต ในภายหลัง จอมยุทธ์มากฝีมือหลายคนก็ตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อสังหารมัน หลังจากนั้นจิตวิญญาณของมันก็ถูกทำลายและไม่ปรากฏให้พบเห็นอีกเลย
* ฉงฉี (穷奇) คือเทพแห่งความชั่วร้ายที่สนับสนุนคนพาลขัดขวางคนดีในตำนานของจีน คนโบราณจะเรียกผู้ที่อสัตย์ แล้งน้ำใจ ชอบใกล้ชิดคนพาลถอยห่างคนดีว่า “ฉงฉี”
ไม่คิดเลยว่าอสูรโบราณเช่นนี้จะซ่อนอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายและมันเป็นเพียงอสูรร้ายตัวเดียวของที่นี่ที่บ่มเพาะพลังมากพอจนจำแลงร่างมนุษย์ได้
เพียงแต่ฉงฉีตรงหน้าทุกคนในตอนนี้ไม่ได้มีพลังอำนาจเหมือนอย่างในอดีต แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งอย่างมาก ทว่าการรับมือกับมันก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“คิดไว้ไม่มีผิด เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดไว้แล้วว่าเจ้าคงจะไม่ล้มตายไปง่าย ๆ ข้าคาดเดาได้ถูกต้องจริง ๆ !”
ก่อนหน้านี้กิเลนอัคคีก็คาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้ว และตอนนี้มันก็ยืนยันข้อสันนิษฐานได้จริง ๆ
เมื่อนับพันปีก่อน แม้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังจะล้มตายไปในสงครามระหว่างเทพและปีศาจเป็นจำนวนมาก ทว่าในฐานะหนึ่งในอสูรร้ายบรรพกาล ไม่มีทางที่มันจะล้มตายไปได้ง่าย ๆ และก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ แท้จริงแล้วฉงฉียังคงมีชีวิตอยู่ เพียงแต่หลังจากเวลาที่ล่วงเลยมานานนับพันปี พลังของมันก็สูญหายไปมากพอสมควร
“เหอะ วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องกลายเป็นอาหารมื้อค่ำของข้าผู้นี้ !”
ฉงฉีแค่นเสียงเย็นชาและแรงกดดันอันทรงพลังก็เข้าครอบงำกลุ่มของฉินอวี้โม่ทันที…