คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 885 แผนการของจางฟางซิ่น
ภายในจวนเจ้าเมือง ทุกคนรวมตัวกันในโถงห้องประชุมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อรับประทานอาหารค่ำและพูดคุยหารือกัน
“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับการคัดเลือกรอบสุดท้ายกันแน่ ?”
จ้าวตั๋วงุนงงจนอดเอ่ยถามไม่ได้ การคัดเลือกรอบสุดท้ายในครานี้แปลกพิกลและแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ในตอนนี้มีจอมยุทธ์ออกมาจากสมรภูมิรบเดนตายเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ทว่าจอมยุทธ์ทั้งหมดที่เข้าไปในสมรภูมิรบเดนตายก็มีมากถึงนับหมื่นคน สถานการณ์เช่นนี้มิใช่เรื่องดีสำหรับดินแดนมหาเทพแม้แต่น้อย
“อวี้โม่และสหายประสบกับมันด้วยตัวเอง พวกนางย่อมทราบถึงสถานการณ์ในสมรภูมิรบเดนตายดีที่สุด เล่าถึงเรื่องราวที่ได้พบในที่แห่งนั้นให้พวกเราได้ทราบก่อนเถอะ”
จ้าวไห่เองก็มีข้อสันนิษฐานที่ตั้งไว้และยังไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างชัดเจน เขาเพียงทราบว่าการคัดเลือกครานี้แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาและคาดการณ์ได้ว่ามันน่าจะมีแผนการสมคบคิดบางอย่างซ่อนไว้
ฉินอวี้โม่และสหายก็อธิบายให้จ้าวไห่และคนอื่น ๆ ได้ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ของสมรภูมิรบเดนตาย ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติหลายอย่างที่ได้เผชิญ รวมถึงทางเข้าของสมรภูมิรบโบราณระหว่างเทพและปีศาจที่ปรากฏขึ้นในสมรภูมิรบเดนตายด้วยเช่นกัน
“เจ้าบอกว่าทางเข้าของสมรภูมิรบโบราณปรากฏในสมรภูมิรบเดนตายอย่างนั้นหรือ ?”
จ้าวตั๋วขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง เขาทราบเกี่ยวกับทางเข้าของสมรภูมิรบโบราณระหว่างเทพและปีศาจมาก่อน นับว่าเป็นเรื่องแปลกยิ่งนักที่มันทั้งเคลื่อนที่ได้และปรากฏขึ้นมาในสมรภูมิรบเดนตาย
“สมรภูมิรบเดนตายเป็นมิติพิเศษที่ไม่ควรจะปรากฏในตอนนี้ด้วยซ้ำ แม้ข้าไม่แน่ใจว่าขุมกำลังใดตัดสินใจใช้มันเป็นสถานที่สำหรับการคัดเลือกรอบสุดท้าย ทว่าข้าก็มั่นใจว่าขุมกำลังนั้นจะต้องมีเจตนาที่ไม่ดีแน่”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสริม นอกเหนือจากตัวตนของหานโม่ฉือ นางก็ไม่ได้ปิดบังสิ่งอื่นใดจากจ้าวไห่และคนอื่น ๆ เรื่องราวเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นเครื่องย้ำเตือนที่ดีเพื่อให้พวกเขาทุกคนระวังตัวมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า
“พี่ใหญ่ ขุมกำลังใดเสนอให้ใช้สมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ในการคัดเลือกรึ ?”
จ้าวเหลียงขมวดคิ้วอีกครั้งและเอ่ยถามออกไป หากทราบว่าขุมกำลังใดเสนอให้ใช้สมรภูมิรบเดนตายที่เต็มไปด้วยภยันตรายนี้ เขาก็คงสืบหาเบาะแสได้ง่ายมากขึ้น
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่สามสำนักและเก้านิกายตัดสินใจหารือกันเอง ข้าเพียงทำหน้าที่ส่งสาส์นออกไปเท่านั้น ทว่าไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด อย่างไรก็ตาม คนของสามสำนักและเก้านิกายน่าจะทราบเรื่องพวกนี้ดี ข้าเพียงไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะสงสัยในความแปลกพิกลของการคัดเลือกครานี้และสืบหาความจริงหรือไม่”
จ้าวไห่ส่ายศีรษะและกล่าวออกไปอย่างไม่ปิดบัง เขาทราบข้อมูลเพียงแค่นี้เท่านั้น ข้อมูลส่วนที่เหลือเป็นสิ่งที่เขาไม่ทราบเช่นกัน
สามสำนักและเก้านิกายเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนในขณะที่ตัวเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองของเมืองหลักแห่งหนึ่ง สามสำนักและเก้านิกายจะหารือและตัดสินใจด้วยกัน ส่วนเขามีหน้าที่เพียงรอรับคำสั่งและดำเนินการตามนั้นโดยที่ไม่ทราบรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจง
ครานี้เขาเป็นเพียงตัวกลางในการคัดเลือกของสามสำนักและเก้านิกาย และไม่มีอำนาจตัดสินใจสิ่งใดได้ด้วยตัวเอง
“รอก่อนเถอะ คาดการณ์ได้ว่าผู้รอดชีวิตทั้งหมดของการคัดเลือกรอบสุดท้ายน่าจะออกมากันแล้ว เมื่อผู้นำของสามสำนักและเก้านิกายมาถึงที่นี่ เราจะได้ฟังคำอธิบายที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสบตากันเล็กน้อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นว่าสามสำนักและเก้านิกายของดินแดนมหาเทพล้วนแต่มีเล่ห์เหลี่ยมซ่อนไว้ ในภายภาคหน้า เกรงว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในดินแดนนี้อย่างแน่นอน
หลังจากรับประทานอาหารร่วมกัน ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปยังห้องที่ได้รับการจัดแจงเพื่อพักผ่อน
ในสมรภูมิรบเดนตายไม่มีเวลากลางคืน หลังจากอยู่ในนั้นนานหลายวัน เป็นธรรมดาที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะรู้สึกอึดอัดและปรับตัวไม่ทันเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทิ้งตัวนอนลงบนเตียงทว่ายังไม่อาจข่มตานอน
“เมื่อคำนวณจากเวลา ตอนนี้พี่สะใภ้น่าจะไปถึงโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่อาจทราบได้เลยว่านางจะได้เจอกับศิษย์พี่แล้วหรือยัง”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวอย่างเป็นกังวล
แม้แต่ในดินแดนมหาเทพก็เต็มไปด้วยภยันตรายมากเพียงนี้ แล้วในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเป็นอย่างไรกัน ? ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของคนที่นั่นก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าในดินแดนมหาเทพเสียอีก ไม่ว่าศิษย์พี่และพี่สะใภ้ของนางจะมากพรสวรรค์และมีไหวพริบที่ดีเพียงใด พวกเขาก็ยังต้องตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี
“ไม่ต้องห่วง การที่ตระกูลเยี่ยพยายามจับตัวศิษย์พี่และพี่สะใภ้ของเจ้าไป ข้าเชื่อว่าจะต้องเกี่ยวกับต้นกำเนิดของศิษย์พี่ของเจ้าและคนเหล่านั้นจะไม่ทำร้ายพวกเขาแน่”
แม้หานโม่ฉือจะไม่ทราบสิ่งใดอย่างแน่ชัด ทว่าเขาก็พอจะคาดเดาและตั้งข้อสันนิษฐานได้ลาง ๆ
ตัวตนของฉินเฟิงก็ไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน แม้เขาไม่เคยเปิดเผยมันอย่างชัดเจน หานโม่ฉือก็เคยสืบทราบมาบ้าง
เมื่อพิจารณาจากทัศนคติของเยี่ยซาและสิ่งที่เขากล่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลเยี่ย หานโม่ฉือจึงเชื่อว่าพวกเขาจะต้องจับตัวฉินเฟิงและฉินเหยียนไปเพราะเหตุผลนั้นอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ เมื่อเราจัดการเรื่องยุ่งวุ่นวายในดินแดนมหาเทพจนเสร็จสิ้น เราจะไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ เห็นด้วยกับวาจาของหานโม่ฉือ ภารกิจที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือจัดการสะสางเรื่องต่าง ๆ ในดินแดนมหาเทพให้เสร็จสิ้นเสียก่อนและตามหามารดาของนาง ส่วนทางฟากของฉินเฟิง คาดว่าคงจะไม่เกิดเรื่องร้ายใดในอนาคตอันใกล้นี้
เมื่อท้องฟ้ามืดลง สภาพแวดล้อมรอบตัวก็ค่อย ๆ เข้าสู่ความเงียบสงัด
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อสำรวจสถานการณ์ในนั้นเป็นพักใหญ่
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว อสูรมายาทั้งหมดกำลังฝึกวิชาอย่างมุ่งมั่น ความแข็งแกร่งของพวกมันในปัจจุบันเข้าสู่จุดติดขัดแล้วและการทะลวงพลังไปสู่ขั้นต่อไปมิใช่เรื่องง่ายเลย อย่างไรก็ตาม อสูรเหล่านั้นไม่ย่อท้อและยังคงหมั่นเพียรฝึกฝนต่อไปด้วยหวังว่าจะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองให้ได้มากที่สุดเพื่อที่ในอนาคตพวกมันจะสามารถช่วยเหลือฉินอวี้โม่ได้มากยิ่งขึ้น
หานอวี้และซิวก็ยังคงอยู่ในช่วงเก็บตัวจำศีล ทว่าตอนนี้ซิวสามารถสื่อสารกับฉินอวี้โม่ผ่านทางจิตวิญญาณได้ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่ามันอาจจะใช้เวลาอีกไม่นานนัก
“ที่แท้ท่านซิวก็ยังคงเก็บตัวจำศีลนี่เอง”
กิเลนอัคคีได้บอกฉงฉีเกี่ยวกับตัวตนของซิวแล้วซึ่งทำให้มันประหลาดใจไม่น้อย
แม้เป็นอสูรร้ายบรรพกาล แต่มันก็หวาดกลัวต่อเทพอสูรอย่างซิวเป็นอย่างยิ่ง ฉงฉีมั่นใจได้เลยว่าหากมิใช่เพราะซิวยังอยู่ในช่วงจำศีล มันก็คงจะพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบในการประจันหน้ากันในสมรภูมิรบเดนตายก่อนหน้านี้
“ไม่แปลกใจเลยที่เพลิงของนายหญิงทำให้ข้าบาดเจ็บได้ไม่น้อย แท้ที่ก็เป็นเพลิงของท่านซิวนี่เอง”
ในตอนนี้มันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสามพันเพลิงคำรามของฉินอวี้โม่จึงสร้างความเสียหายต่อตนได้มากและปัดเป่าหมอกหนาในหุบเขาออกไป
เพลิงแห่งชีวิตของซิวสามารถหลอมละลายทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นมวลสารที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ในช่วงที่มันมีพลังสูงสุด แม้แต่จอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนก็ไม่อาจต้านทานเพลิงนั้นได้
“ในสมรภูมิรบเดนตาย ข้ายังมีข้อได้เปรียบอยู่บ้าง หากต้องต่อสู้กันในโลกภายนอก นายหญิงเพียงคนเดียวก็มิใช่คู่ต่อสู้ที่ข้าจะรับมือได้แล้ว”
ฉงฉีกล่าวพลางถอนหายใจยาว เพียงแค่กองทัพอสูรมายาของฉินอวี้โม่ก็มากเกินพอที่จะจัดการกับมันได้ แม้มันจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเอง แต่ฉงฉีก็ไม่มีทางเอาชนะฉินอวี้โม่ในโลกภายนอกได้อย่างแน่นอน
หลังจากอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวพักใหญ่และกำลังจะออกไปข้างนอก ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ได้ยินเสียงกุกกักบางอย่างดังขึ้น
“โอ้ ช่างอาจหาญยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะกล้ามาที่นี่จริง ๆ”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และคาดเดาถึงสถานการณ์ภายนอกได้แล้ว
ด้วยความคิดเพียงแวบเดียว นางก็ปรากฏตัวในห้องนอนพร้อมหานโม่ฉือและนอนลงบนเตียงเพื่อเฝ้ารออีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ
เสียงกุกกักบางอย่างดังมาจากม่านหน้าต่างและในอึดใจต่อมา กลิ่นรุนแรงของบางอย่างก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งห้อง
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสบตาอย่างเข้าใจตรงกันพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จางฟางซิ่นไม่โง่เขลาเกินไปที่จะทราบว่าควรวางยาพวกนางด้วยกลิ่นโอสถก่อน
ทั้งสองหลับตาลงอย่างรวดเร็วและแสร้งแสดงว่าหลับใหลไม่ได้สติเพราะกลิ่นของโอสถประหลาดนั่น
“ท่านผู้นำ ทางสะดวกแล้วขอรับ”
เสียงกระซิบกระซาบเบา ๆ ดังขึ้นก่อนประตูห้องจะถูกผลักเปิดออกเบา ๆ
“เหอะ เป็นแค่จอมยุทธ์ที่ต่ำต้อยจากเมืองรอง ถือว่าเป็นบุญกับพวกเจ้ามากแล้วที่ข้าลงทุนใช้โอสถประเภทนี้กับพวกเจ้า”
เสียงที่ดูถูกดูแคลนดังขึ้น และมันมิใช่เสียงของใครอื่น หากแต่เป็นเสียงของจางฟางซิ่นนั่นเอง
สิ่งที่เขาใช้เมื่อครู่เป็นโอสถที่ทรงพลังอย่างยิ่งซึ่งแม้แต่จอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงก็ไม่อาจต้านทานได้
จางฟางซิ่งทราบว่าการจัดการกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ในจวนเจ้าเมืองมิใช่เรื่องง่าย เขาจึงตัดสินใจใช้โอสถทรงพลังที่เขาเพิ่งได้ครอบครองมานี้
เป็นจริงดังที่คิดไว้ สุดท้ายเขาก็จัดการกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ ‘สำเร็จ’ !