คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 901 การสืบข่าวของฮวาเยว่
หลังจากจัดการเตรียมที่พักให้กับฉินอวี้โม่และสหายในเรือนด้านนอกสุด รวมถึงสั่งให้เหมยเซียงพาพวกนางไปท่องชมรอบ ๆ เพื่อแนะนำสถานการณ์โดยรวมของนิกายหมื่นบุปผา ฮวาเยว่ก็แยกตัวไปที่เรือนของฮวาฟางเฟยอีกครั้ง
“ฮวาเยว่ ครานี้เจ้าเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดีมาจริง ๆ ศิษย์ใหม่เหล่านั้นต่างก็มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาทีเดียว”
เวลานี้ ฮวาฟางเฟยกำลังอ่านตำราบางอย่างขณะผายมือเชิญฮวาเยว่ให้นั่งลงและรินน้ำชาให้กับนาง
ฮวาเยว่คือมือขวาของฮวาฟางเฟยและได้รับการไว้วางใจจากนางเป็นอย่างมาก ด้วยมิตรภาพที่ยาวนานหลายสิบปี พวกนางจึงสนิทสนมกันพอสมควร ต่อให้ฮวาฟางเฟยจะมีสถานะเป็นถึงจ้าวนิกาย ทว่าเมื่ออยู่ด้วยกันในเวลาส่วนตัว นางก็ไม่ได้ถือตัวมากนัก
“พวกนางเป็นสตรีที่มีคุณสมบัติโดดเด่นรอบด้านจริง ๆ ในอนาคตพวกนางจะต้องกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายหมื่นบุปผาของพวกเราอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของฮวาเยว่แสดงถึงความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่และสหายอย่างไม่ปิดบังขณะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าสืบเรื่องพื้นเพภูมิหลังของพวกนางแล้วรึยัง ?”
ฮวาฟางเฟยเอ่ยถามอย่างสบาย ๆโดยไม่นึกสงสัยในตัวฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เป็นพิเศษ
“พวกนางมาจากเมืองเทียนหยวนและไม่มีภูมิหลังใดมากนัก”
ฮวาเยว่ไม่ได้บอกความจริงและฮวาฟางเฟยก็คงไม่ส่งคนไปสืบเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต่อให้ฮวาฟางเฟยจะส่งคนไปสืบสวนเรื่องนี้จริง สิ่งที่นางกล่าวออกไปก็ไม่ถือเป็นเรื่องโกหกเสียทีเดียว
“เอาล่ะ ฟูมฟักฝึกฝนพวกนางให้ดีล่ะ ข้าทราบดีว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าต้องอดทนอดกลั้นกับฮวาหรงและเผชิญกับความทุกข์ใจมาตลอด ข้าเชื่อว่าศิษย์ใหม่เหล่านั้นจะพัฒนาความแข็งแกร่งให้กับฝั่งซ้ายของเจ้าได้มากทีเดียว”
ฮวาเยว่ก็พยักศีรษะพลางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจที่จะกล่าวออกไป “ทว่าในช่วงเวลาที่ข้าออกไปในครานี้ ข้าได้ยินเรื่องแปลกพิลึกบางอย่างมาและมันเกี่ยวข้องกับนิกายหมื่นบุปผาของเรา”
ด้วยคำเตือนจากฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ ฮวาเยว่ก็ตระหนักดีว่าไม่ควรถามออกไปตรง ๆ นางจึงเอ่ยถามอย่างมีชั้นเชิง
“เรื่องแปลกอะไรรึ ?”
ฮวาฟางเฟยไม่คลางแคลงใจสิ่งใดขณะเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“มีข่าวที่แพร่กระจายไปในเมืองเทียนยงซึ่งบอกว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนนิกายหมื่นบุปผาของเราจับตัวสตรีที่มีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปและทำให้ครอบครัวของนางต้องพลัดพรากแยกจากกัน ทว่าเท่าที่ข้าจำได้ นิกายหมื่นบุปผาของเราก็ไม่มีศิษย์นามนั้นและไม่เคยจับตัวใครมา ข้าและคนอื่น ๆ ก็พยายามอธิบายความจริงไปแล้ว ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่เชื่อเราแม้แต่น้อย ช่างเป็นสถานการณ์ที่อับจนปัญญาจริง ๆ”
ก่อนหน้านี้เหลยเจี้ยนเชิงส่งคนไปปล่อยข่าวในเมืองเทียนหยวนแล้ว ต่อให้ฮวาฟางเฟยจะส่งคนไปสืบหาความจริงในตอนนี้ นางก็จะไม่พบพิรุธใด ๆ อย่างแน่นอน
“แปลกจริง ๆ ข้าจำได้ว่านิกายของเราไม่เคยทำอะไรเช่นนั้น”
สีหน้าของฮวาฟางเฟยไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและมีปฏิกิริยาท่าทางเหมือนว่าไม่รู้จักสตรีผู้นั้นอย่างแท้จริง
“ข้าเชื่อว่าไม่มีลมก็ไม่เกิดคลื่นและอยากจะสืบเรื่องนี้ให้ทราบความจริง บางทีอาจจะมีใครในนิกายของเราที่จงใจปล่อยข่าวนี้ออกไปหรือเป็นขุมกำลังอื่นที่พยายามจะทำลายชื่อเสียงของนิกายหมื่นบุปผาของเรา”
ฮวาเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและลองเชิงด้วยการเสนอแผนการออกไป
“ไม่จำเป็น บุคคลที่มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้างมือ ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องสืบหรอก หากผู้ใดอยากจะทำลายชื่อเสียงเราก็ปล่อยไปเถอะ ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเรา”
อย่างไรก็ตาม ฮวาฟางเฟยห้ามปรามนางไว้ทันทีและไม่ยอมให้ฮวาเยว่สืบสวนหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ภารกิจเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการฟูมฟักฝึกฝนศิษย์ใหม่เหล่านั้นให้ดีและเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกายในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องไปให้ความสนใจกับเรื่องที่ไม่สำคัญหรอก”
นางกล่าวต่อด้วยสีหน้าที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก
“เจ้าค่ะ ท่านจ้าวนิกายพูดถูก”
ฮวาเยว่พยักศีรษะตอบรับโดยไม่ถามสิ่งใดให้มากความ
ทว่าประกายความเยือกเย็นก็ฉายชัดในแววตาของฮวาฟางเฟยครู่หนึ่งก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั่งคุยกันพักใหญ่ ฮวาเยว่ก็ขอตัวกลับออกไป
เมื่อฮวาเยว่กลับออกไปได้เพียงไม่นาน สีหน้าของฮวาฟางเฟยก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที
ฮวาฟางเฟยลุกขึ้นและแตะผนังห้องหลายครั้งก่อนประตูลับจะเปิดออกตรงหน้า นางจึงเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
เบื้องหลังประตูลับบานนั้นคือห้องลับที่มีพื้นที่กว้างขวางและมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกเก็บอยู่ข้างใน
“หงส์ฟ้า เจ้าได้ยินสิ่งที่ฮวาเยว่กล่าวมาเมื่อครู่นี้รึไม่ ?”
ฮวาฟางเฟยเอ่ยถามขึ้นเบา ๆ ก่อนที่สตรีนางหนึ่งจะปรากฏตัวตรงหน้านาง
“นายหญิง ข้าได้ยินทุกอย่างแล้ว นางคงไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในครานั้นและเพียงเอ่ยถามเพราะบังเอิญได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น”
หงส์ฟ้าคืออสูรพันธสัญญาของฮวาฟางเฟยและเป็นสายพันธุ์หงส์ที่ทรงพลังมาก
ร่างจำแลงของสมาชิกในเผ่าพันธ์ุหงส์ส่วนใหญ่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างยิ่งและหงส์ฟ้าเองก็มิใช่ข้อยกเว้น รูปลักษณ์ของสตรีตรงหน้าในตอนนี้ก็ดูคล้ายกับฮวาฟางเฟยพอสมควรและยากที่ผู้พบเห็นจะละสายตาไปจากร่างของมันได้
“สิ่งที่เกิดขึ้นในครานั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะแดงขึ้นมาในตอนนี้ หรือว่าครอบครัวของนางจะค้นพบเรื่องนี้แล้ว ?”
ฮวาฟางเฟยขมวดคิ้วมุ่น สิ่งที่นางกล่าวออกไปก่อนหน้าเป็นเพียงคำตอบเพื่อหลอกให้ฮวาเยว่ตายใจเท่านั้น แน่นอนว่านางรู้จักสตรีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นอย่างดี
ในอดีตครานั้นนางเป็นคนดำเนินการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และนอกเหนือจากนาง ในทั่วทั้งนิกายหมื่นบุปผาก็มีเพียงฮวาหรงเท่านั้นที่ทราบถึงเรื่องนี้
“คงจะมิใช่ ครอบครัวของนางต่างก็เป็นประชากรของดินแดนในระดับต่ำเท่านั้นและไม่ได้มีความสามารถอะไรมากมาย”
หงส์ฟ้าไตร่ตรองครู่หนึ่งและตอบปัดข้อคาดเดาของฮวาฟางเฟย มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จอมยุทธ์จากดินแดนระดับต่ำจะเดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพแห่งนี้ได้ เมื่อคำนวณเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ผ่านมาได้เพียงประมาณสิบปีเท่านั้นและครอบครัวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ไม่ได้มีความสามารถที่มากนัก
“ข้าจะลองสืบหาเบาะแสดู บางทีอาจมีขุมกำลังใดค้นพบบางอย่างและจงใจปล่อยข่าวนี้ออกมาเพื่อทำให้นิกายหมื่นบุปผาของเราตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย”
แม้สิ่งต่าง ๆ ในอดีตจะถูกปิดเป็นความลับ ทว่ามันก็มิได้ปราศจากร่องรอยและเบาะแสเสมอไป อาจมีใครสักคนที่ค้นพบมันโดยบังเอิญและต้องการสร้างความวุ่นวายให้กับนิกายหมื่นบุปผา
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปที่เมืองเทียนยงเพื่อสืบหาเบาะแสของเรื่องนี้เถอะ”
ฮวาฟางเฟยพยักศีรษะเบา ๆ และกล่าวออกไป มีเพียงการส่งหงส์ฟ้าไปสืบด้วยตัวเองเท่านั้นที่นางพอจะวางใจได้
“อีกอย่าง…เจ้าคิดอย่างไรกับศิษย์ใหม่ทั้งสี่คน ?”
เมื่อนึกถึงฉินอวี้โม่และสหาย ฮวาฟางเฟยก็เอ่ยถามออกไป
“พวกนางเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีทีเดียว หากได้รับการฟูมฟักฝึกฝนเป็นอย่างดี ในอนาคตพวกนางจะมีประโยชน์ใช้งานต่อพวกเราเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์สองคนในหมู่ศิษย์ใหม่เหล่านั้นก็มีสภาวะร่างกายที่พิเศษบางอย่างและเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด”
หงส์ฟ้ากล่าวตอบด้วยสิ่งที่มีเพียงมันและฮวาฟางเฟยเท่านั้นที่จะเข้าใจความหมาย
“อีกหนึ่งปีข้างหน้า เมื่อการแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกายสิ้นสุดลง ข้าจะหาทางส่งทั้งสองคนไป เชื่อว่าท่านผู้นั้นจะพึงพอใจมากเป็นแน่ !”
ฮวาฟางเฟยกล่าวด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ทว่าเมื่อกล่าวถึง ‘ท่านผู้นั้น’ แววตาของนางก็ฉายแววความเสน่ห์หาอย่างชัดเจน…
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่รับรู้เกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างฮวาฟางเฟยและหงส์ฟ้าในห้องลับแห่งนี้แม้แต่น้อย
ในเวลานี้ เหมยเซียงก็พาฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ท่องชมรอบหุบเขาหมื่นบุปผาเพื่อแนะนำสถานที่รับประทานอาหาร สถานที่ฝึกวิชาและสถานที่ประลองยุทธ์ก่อนส่งพวกนางกลับไปที่เรือนเพื่อพักผ่อน
“ดูเหมือนว่านอกจากการที่ไม่สามารถออกไปข้างนอกนิกายได้อย่างอิสระ ที่นี่ก็ดูจะไม่แตกต่างไปจากข้างนอกมากนัก”
ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามกลับมาถึงเรือนที่พักและนั่งลงพูดคุยด้วยกันโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
“บรรดาศิษย์นอกจะเข้ามาที่หอชั้นในได้สามวันต่อเดือนและเราก็สามารถออกไปข้างนอกได้หลายครา เมื่อเป็นเช่นนั้น พี่อวี้โม่และพี่โม่ฉือก็จะได้มีโอกาสพบหน้ากันเป็นประจำ”
เหมียวเจินเจินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่จำเป็นต้องลิ้มรสความเจ็บปวดจากการโหยหาซึ่งกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น หากมีปัญหาใด นางก็สามารถหารือปรึกษากับหานโม่ฉือได้ทันเวลา
“นิกายหมื่นบุปผาแห่งนี้ไม่ได้เข้มงวดเท่าใดนักและการสืบข่าวก็ดูจะสะดวกมาก อย่างไรก็ตาม แม้แต่ท่านผู้คุมกฎของเราก็ยังไม่ทราบถึงเรื่องมารดาของข้า บางทีเราอาจสืบหาเบาะแสได้ไม่ง่ายนัก”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่งและตระหนักว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อพวกนางเท่าใดนัก
เมื่อลองไตร่ตรองดู นางเชื่อว่าคงมีเพียงฮวาฟางเฟยเท่านั้นที่จะรับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หากต้องการเบาะแสที่เป็นประโยชน์ นางก็จะต้องสืบหาความจริงอย่างช้า ๆ
“ไม่ต้องกังวลไป ถึงอย่างไรพวกเราก็เพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ในช่วงเวลานี้เราควรที่จะสืบหาข่าวอย่างระมัดระวังก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการที่จะเผยให้เห็นพิรุธใด ๆ”
อวิ๋นซื่อเทียนจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวย้ำเตือนนางเบา ๆ