คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 905 ท้าดวลเหลียนซวง
สี่ยอดสตรีงามเพิ่งรู้จักฉินอวี้โม่ได้เพียงไม่นานเท่านั้น ทว่าอวิ๋นซื่อเทียนรู้จักนางเป็นอย่างดี หากฉินอวี้โม่ตัดสินใจที่จะท้าดวลกับเหลียนซวง นั่นหมายความว่านางมีความมั่นใจมากถึงเจ็ดในสิบส่วน
แม้เหลียนซวงจะมีพลังที่แกร่งกล้าอย่างมาก แต่ความสามารถในการต่อสู้ของนางก็ไม่ถือว่าสูงนัก
ในความเป็นจริง ความแข็งแกร่งภายนอกของฉินอวี้โม่ก็ด้อยกว่าเหลียนซวงพอสมควร ทว่าหากต่อสู้กันจริง ๆ ก็มีแนวโน้มน้อยมากที่ฉินอวี้โม่จะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไป
“ใช่ ใช่แล้วเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ทั้งหลายไม่ต้องห่วงเลย พี่อวี้โม่มีฝีมือที่สุดยอดมากเจ้าค่ะ”
เหมียวเจินเจินเดินเข้าไปเกาะแขนจู๋เซียงพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นและชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่อย่างแท้จริง
“ถูกต้อง เจ้าเหลียนซวงนั่นยโสโอหังยิ่งนัก นางควรได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดเสียบ้าง”
จางซือถงกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจเช่นกัน หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งของนางยังถือว่าอ่อนแอและเทียบกับสตรีผู้นั้นไม่ได้ นางก็คงจะท้าดวลเหลียนซวงด้วยตัวเองไปแล้ว
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จะไม่กังวลอีก”
สี่ยอดสตรีงามมองหน้ากันและกล่าวออกไป
“เหลียนซวงมีแต้มทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยแต้ม ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะมอบแต้มให้ศิษย์น้องอวี้โม่คนละห้าร้อยแต้มก็แล้วกัน”
ถึงแม้ว่าแต้มของพวกนางเพียงสองคนก็ถือมากพอที่จะให้ฉินอวี้โม่ยืมได้ ทว่าสี่ยอดสตรีงามก็สนิทสนมกันมากและต้องการแบ่งแต้มให้กับฉินอวี้โม่อย่างเท่า ๆ กัน
“ขอบคุณศิษย์พี่ทั้งสี่เจ้าค่ะ”
ทั้งสี่ส่งต่อแต้มของตนคนละห้าร้อยแต้มลงในป้ายหยกประจำตัวของฉินอวี้โม่และฉินอวี้โม่ก็กล่าวขอบคุณพวกนางอย่างจริงใจ
“ศิษย์น้องอวี้โม่ไม่ต้องเกรงใจพวกเราหรอก จงจำไว้ก็พอว่าหากเผชิญอันตรายใด ความปลอดภัยของเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและไม่ต้องสนใจแต้มพวกนั้น”
เหมยเซียงกำชับฉินอวี้โม่อีกครั้งเพื่อมิให้นางทำสิ่งใดสุดโต่งเพียงเพื่อครอบครองแต้มมา
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าทราบดี”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างมั่นใจและตอนนี้นางก็คิดว่าแต้มครึ่งหนึ่งของเหลียนซวงอยู่ในกระเป๋าของนางแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่มั่นใจเต็มเปี่ยมของฉินอวี้โม่ ศิษย์พี่ทั้งสี่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามก็กลับไปยังเรือนที่พักของตน
“จิ๊จิ๊ หากครานี้โม่เอ๋อร์เอาชนะได้ เหลียนซวงก็จะเหลือแต้มเพียงเก้าร้อยแต้มเท่านั้น และเมื่อใดที่นางมีแต้มครบหนึ่งพัน ข้าก็จะท้าดวลนางอีกครั้งและทำให้นางต้องเผชิญกับฝันร้ายซ้ำอีกรอบ !”
อวิ๋นซื่อเทียนเกาะแขนฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจือความมั่นใจ
“ได้สิ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะคอยเอาใจช่วยท่านเอง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ นางเองก็มั่นใจในความแข็งแกร่งของอวิ๋นซื่อเทียนมากเช่นกัน อวิ๋นซื่อเทียนผู้นี้มีทั้งความสามารถในการต่อสู้และอุปกรณ์ทุ่นแรงนับไม่ถ้วน การเอาชนะเหลียนซวงเพียงคนเดียวมิใช่เรื่องยากเลย
“เยี่ยมจริง ๆ เมื่อได้ยินวาจาของเจ้าทั้งสองเช่นนี้ก็ราวกับว่าเหลียนซวงเป็นเพียงกระต่ายตัวน้อย ๆ ที่จะตกเป็นเหยื่อของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา”
เมื่อเห็นสีหน้าที่มั่นใจเต็มเปี่ยมของสหาย จางซือถงก็อดกล่าวออกไปด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมล้นไม่ได้
“พี่ซือถง สำหรับพี่อวี้โม่และพี่ซื่อเทียนก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าค่ะ ทว่าสำหรับท่าน มันคงจะแตกต่างออกไป”
เหมียวเจินเจินยิ้มกว้างและกล่าวอย่างซุกซน
“เชอะ เจ้าคงจะหมายถึงอาหารการกินของข้าสินะที่ไม่เหมือนพวกนาง”
จางซือถงก้าวออกไปข้างหน้าและหยิกแก้มเหมียวเจินเจินอย่างไม่โกรธเคือง
แม้ว่าความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้จะไม่มากเท่าเหลียนซวง ทว่านางก็ไม่มีทางติดอยู่ในระดับนี้ไปตลอดไป จางซือถงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าหลังจากการฝึกฝนอีกสามปี ความแข็งแกร่งของนางจะเหนือกว่าเหลียนซวงอย่างแน่นอน และเมื่อเวลานั้นมาถึง นางจะไปท้าดวลกับสตรีผู้นั้นด้วยตัวเอง
ทุกคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดีขณะเดินกลับไปยังเรือนที่พักของตน เนื่องจากในตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจว่าจะไปท้าดวลกับเหลียนซวงในวันพรุ่งนี้
ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่เกิดเรื่องวุ่นวายใดและในเช้าตรู่ของวันต่อมา ทั้งสี่ก็มุ่งหน้าไปยังเรือนที่พักของเหลียนซวง
“ศิษย์พี่เหลียนซวง ข้าต้องการจะขอท้าดวลกับท่าน !”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสียงดังฟังชัดและเสียงนี้ก็ดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขาหมื่นบุปผา
เรื่องที่ฉินอวี้โม่จะท้าดวลเหลียนซวงในหอสมบัติก่อนหน้านี้ก็ได้เป็นที่ทราบกันไปทั่วนิกายหมื่นบุปผาแล้วและหลายคนมารอที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ นอกจากนี้ยังมีศิษย์ฝั่งซ้ายหลายคนที่ไปรวมตัวกันที่หน้าเรือนของฉินอวี้โม่เพื่อให้กำลังใจนางเช่นกัน
“เหอะ กล้าโผล่หน้ามาจริง ๆ รึ ไม่รู้เลยว่าใครมอบความกล้าเช่นนี้ให้กับเจ้า !”
เมื่อคืนนี้เหลียนซวงไม่ได้นอนหลับพักผ่อนมาทั้งคืนและคิดว่าฉินอวี้โม่คงจะไม่กล้ามาจริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าในเช้าตรู่ของวันนี้ อีกฝ่ายจะเข้ามาท้าดวลกับนางด้วยตนเองเช่นนี้ นับว่าเป็นการกระทำที่อาจหาญอย่างยิ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ ความกล้าเป็นสิ่งที่ต้องมีด้วยตัวเอง ไม่ว่าผู้ใดก็มอบให้ไม่ได้ !”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ พร้อมหยิบป้ายหยกของตนออกมาและแต้มมากกว่าสองพันแต้มก็ปรากฏต่อหน้าทุกคนทันที
“จิ๊จิ๊ ไม่รู้เลยว่าคนโง่ที่ไหนกันที่กล้าให้เจ้ายืมแต้มมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะเสียเลือดเสียเนื้อกันไปรึ ?!”
สายตาของนางชำเลืองมองไปที่สี่ยอดสตรีงามของฝั่งซ้ายพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน แน่นอนว่าเหลียนซวงทราบดีว่าแต้มเหล่านี้มาจากพวกนาง
“เหลียนซวง อย่ามัวแต่เสียเวลาพูดจาวางท่าอยู่เลย ระวังจะแพ้โดยที่ไม่ทันตั้งตัว เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าคงจะเชิดหน้าชูตาอยู่ในนิกายหมื่นบุปผาไม่ได้อีก”
หลานเซียงเป็นคนตรงไปตรงมาและตอบกลับไปทันทีโดยแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่มีต่อฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม
“ถูกต้อง การที่เจ้าฝึกฝนอยู่ในนิกายหมื่นบุปผามานาน หากพ่ายแพ้ต่อศิษย์น้องอวี้โม่ที่เป็นเพียงศิษย์ใหม่ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด !”
จู๋เซียงกล่าวเสริมอย่างเห็นด้วยกับหลานเซียงและแสดงความเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยมเช่นกัน
“เหอะ เป็นเพียงแค่ศิษย์ใหม่จะมีฝีมือสักแค่ไหนกัน ! ข้าต้องขอบคุณเจ้าเป็นการล่วงหน้ามากกว่าที่นำแต้มมาให้ข้าถึงที่”
เหลียนซวงไม่สนใจวาจาของใครอื่นแม้แต่น้อยและรับคำท้าของฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวอย่างมั่นใจราวกับกำชัยชนะไว้ในมือแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปที่ลานประลองกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ไม่เสียเวลากล่าววาจาไร้สาระและหันหลังมุ่งหน้าไปยังลานประลองที่จัดไว้สำหรับการประลองยุทธ์ทันที
เหลียนซวงและคนอื่น ๆ ก็ตามไปอย่างรวดเร็วและไปถึงลานประลองภายในเวลาเพียงไม่นาน
ในเวลานี้ ภายในลานประลองก็มีผู้คนนั่งอยู่ทั้งสองฟากฝั่งซึ่งประกอบไปด้วยผู้คุมกฎฝั่งซ้าย ผู้คุมกฎฝั่งขวาและผู้อาวุโสอีกสี่คน
ฮวาหรงและผู้อาวุโสสองคนนั่งอยู่ทางซ้ายมือในขณะที่ฮวาเยว่ ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสี่นั่งอยู่ทางขวามือ
“ช่างตลกจริง ๆ ที่ได้ยินว่ามีใครบางคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงริอาจท้าดวลศิษย์ที่เรียกได้ว่าฝีมือดีที่สุดของข้า !”
ฮวาหรงกล่าวอย่างเย็นชา เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินเข้ามา น้ำเสียงของนางก็แสดงถึงความเยาะเย้ยถากถางอย่างที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างนั้นรึ ? ข้าว่าผู้คุมกฎฝั่งขวาจะมั่นอกมั่นใจเกินไปแล้ว ข้าเชื่อว่าอวี้โม่ที่ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายได้อย่างไร้รอยขีดข่วนย่อมมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้ว่าเหลียนซวงจะแข็งแกร่งจริง ๆ ทว่าการเอาชนะอวี้โม่ก็คงจะมิใช่เรื่องง่าย”
ฮวาเยว่กล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่แสดงถึงความมั่นใจในตัวฉินอวี้โม่
นางทราบเรื่องราวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากพอสมควร สำหรับผู้ที่ฝ่าฟันอุปสรรคและพัฒนาตนเพื่อบรรลุเป้าหมายทีละขั้น ๆ จากดินแดนระดับต่ำจนกระทั่งประสบความสำเร็จในระดับปัจจุบันนี้ มั่นใจได้เลยว่าจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเกี่ยวกับตัวนางอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางก็ทราบดีว่าในการคัดเลือกศิษย์รอบสุดท้ายที่ผ่านมานี้มีกลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่าง การที่ฉินอวี้โม่ผ่านมันมาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนเช่นนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางมีไพ่ตายบางอย่างซ่อนไว้
ฮวาเยว่เชื่อว่าตนมองคนไม่ผิดและฉินอวี้โม่มิใช่คนที่ทะนงตนจนทำอะไรวู่วาม ในเมื่อฉินอวี้โม่กล้าท้าดวลกับเหลียนซวงเช่นนี้ย่อมหมายความว่านางมั่นใจในชัยชนะมากพอสมควร
“ตลกชะมัด ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมกับนิกายได้เพียงไม่นานคิดจะเอาชนะศิษย์ฝีมือดีที่ฝึกฝนในนิกายหมื่นบุปผามานานมากกว่าสิบปี เจ้าคิดว่ามันจะเป็นไปได้งั้นรึ ?”
ฮวาหรงกล่าวอย่างเย้ยหยันและเชื่อว่าฮวาเยว่กำลังปลอบประโลมตนเองอยู่
นางทราบถึงความแข็งแกร่งของเหลียนซวงดีที่สุดและมันมิใช่ระดับที่ศิษย์ใหม่จะเทียบชั้นได้
“นั่นสิ หากฉินอวี้โม่เอาชนะเหลียนซวงได้จริง ๆ นั่นจะไม่หมายความว่าทักษะวิชาของนิกายหมื่นบุปผาอ่อนแอเกินไปอย่างนั้นรึ ?”
ผู้อาวุโสรอง—ฮวาเฉินกล่าวเห็นด้วยกับฮวาหรง นางเป็นคนของฝั่งขวาและแน่นอนว่าจะต้องให้การสนับสนุนเหลียนซวงอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น นางก็แอบเชื่อมั่นอยู่ภายในใจว่าฉินอวี้โม่จะมิใช่คู่มือของเหลียนซวง
“ถ้าเช่นนั้นก็รอดูเถอะ ศิษย์ฝั่งซ้ายของเรามิใช่เป้าหมายที่จะรังแกได้ง่าย ๆ !”
ผู้อาวุโสฮวาลั่วกล่าวเพื่อยุติบทสนทนาเกี่ยวกับประเด็นนี้ขณะสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่และเหลียนซวงซึ่งปรากฏตัวอยู่ตรงกลางลานประลองแล้ว
.