คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 906 ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง
ลานประลองของนิกายหมื่นบุปผามีขนาดใหญ่และกว้างขวางมากพอที่จะรองรับผู้คนจำนวนหลายหมื่นคนได้
เวลานี้ที่นั่งรอบ ๆ ลานประลองก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว ศิษย์จากทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวานั่งอยู่ทั้งสองฟาก ซึ่งแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนว่าฝั่งไหนกำลังสนับสนุนผู้ใด
ครานี้ฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายท้าดวลกับเหลียนซวงก่อนและดูจะเป็นการประชันฝีมือระหว่างศิษย์สองคนซึ่งมิใช่ว่าจะต้องเป็นการแข่งขันระหว่างฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเสมอไป
ทว่าศิษย์ฝั่งขวาก็ก้าวร้าวดุดันกันอย่างยิ่ง ในขณะที่ศิษย์ฝั่งซ้ายก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน มันจึงกลายเป็นเหมือนการดวลที่เดิมพันไปด้วยศักดิ์ศรีของศิษย์ทั้งสองฝั่ง
ในการประลองของฉินอวี้โม่ในครานี้ ฮวาเยว่ก็พาศิษย์จำนวนมากมาที่นี่ด้วยตัวเองและเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
หากฉินอวี้โม่พ่ายแพ้ในการต่อสู้นี้ก็คงจะไม่มีผู้ใดกล่าวตำหนิอะไรและมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อฝั่งซ้ายมากนัก ถึงอย่างไรมันก็มิใช่เรื่องง่ายเลยที่ศิษย์หน้าใหม่ผู้เพิ่งเข้าร่วมกับนิกายจะเอาชนะศิษย์เก่าแก่ที่มีฝีมืออยู่ในอันดับต้น ๆ ของนิกายได้
อย่างไรก็ตาม หากฝ่ายที่พ่ายแพ้เป็นเหลียนซวง มันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ชื่อเสียงเกียรติยศของฝั่งขวาจะได้รับผลกระทบอย่างมากในขณะที่ฝั่งซ้ายจะก้าวทะยานขึ้นสู่ความรุ่งโรจน์มากขึ้นเรื่อย ๆ และในอนาคตขั้วอำนาจระหว่างฝั่งซ้ายและฝั่งขวาก็จะต้องเปลี่ยนไป
บรรดาศิษย์ทั้งฝั่งซ้ายและขวาต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจผู้ที่ตนสนับสนุน ทว่าหากเปรียบเทียบกัน เสียงร้องเอาใจช่วยฉินอวี้โม่ก็ดังกว่าเหลียนซวงมากนัก
แม้ฝั่งขวาจะมีสมาชิกอยู่มาก ทว่าหัวใจของพวกนางก็มิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหลียนซวงวางท่าเย่อหยิ่งและไม่เห็นหัวผู้ใดมาตลอด เป็นธรรมดาที่จะมีคนชื่นชอบนางเพียงไม่มาก
หลายคนที่สนับสนุนนางในตอนนี้จำเป็นต้องบังคับฝืนใจตนเองเพราะฮวาหรงอยู่ที่นี่ด้วย แท้จริงแล้วมีคนไม่น้อยเลยที่แอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าเหลียนซวงจะพ่ายแพ้ไป เมื่อถึงตอนนั้น นางอาจจะเปลี่ยนแปลงนิสัยของตนเองและไม่ดูถูกดูแคลนผู้อื่นอีก
บนลานประลองในตอนนี้ ฉินอวี้โม่และเหลียนซวงยืนประจันหน้ากันด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ฉินอวี้โม่ หากเจ้าตัดสินใจที่จะยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ ข้าก็ยังพอจะรักษาหน้าเจ้าได้บ้าง !”
เหลียนซวงมองฉินอวี้โม่อย่างเย่อหยิ่งและไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“ไม่ล่ะ หน้าของตัวเองก็ต้องรักษาด้วยตนเอง มิใช่หวังให้คนอื่นมารักษาหน้าเรา”
วาจาเรียบเฉยของฉินอวี้โม่ทำให้หลายคนคล้อยตามได้ในทันที
การรักษาหน้าเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยตัวเอง ตราบใดที่มีความแข็งแกร่งมากพอก็ไม่มีผู้ใดที่จะตบหน้าเราได้อย่างแน่นอน
“ช่างไม่รู้จักการประมาณตน !”
เหลียนซวงไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะตอบโต้เช่นนี้ นางจึงชะงักไปเล็กน้อยทันทีและสีหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยวเหยเก
“กล่าวได้ว่าความมั่นใจเป็นอีกชื่อหนึ่งของข้า ศิษย์พี่คงไม่เข้าใจสินะว่าการมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างไร มิฉะนั้นก็คงไม่เสียเวลากล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้อยู่หรอก !”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวเย้ยหยันอีกฝ่ายต่อไป
“ยโสโอหังนัก !”
ความคุกรุ่นในหัวใจของเหลียนซวงระเบิดออกมาแล้ว ทว่านางพยายามรักษาสีหน้าสงบนิ่งไว้ในขณะที่แผ่แรงกดดันออกไปกดข่มฉินอวี้โม่เพื่อพยายามควบคุมอีกฝ่ายไว้
น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวแรงกดดันของฮวาหรงด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับแรงกดดันของผู้ที่ด้อยกว่าอย่างเหลียนซวงซึ่งแทบจะไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่ ระวังด้วยล่ะ !”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอก่อนพุ่งตรงไปจู่โจมเหลียนซวงอย่างฉับพลัน
นางทราบดีว่าระดับพลังของเหลียนซวงสูงกว่านางพอสมควร เพียงแต่มั่นใจว่าคงไม่มากจนเกินไปและนั่นจึงเป็นที่มาของการตัดสินใจปิดฉากการต่อสู้นี้โดยเร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น การดวลระหว่างศิษย์นี้ก็มีกฎข้อห้ามในการใช้กระบวนท่าสังหารและนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสทองสำหรับนางเช่นกัน
ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างที่สุด ร่างของฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวตรงหน้าเหลียนซวงอย่างกะทันหันและประเคนหมัดเข้าที่ใบหน้าของนางอย่างจัง
“อ๊ะ !”
เหลียนซวงคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะรวดเร็วมากเพียงนี้และปรากฏขึ้นมาตรงหน้าตนภายในชั่วพริบตา อย่างไรก็ตาม นางก็รีบยกมือขึ้นเพื่อขัดขวางการโจมตีไว้อย่างรวดเร็ว
ต่อให้จะยกมือขึ้นมาป้องกันได้ พลังมหาศาลจากหมัดของฉินอวี้โม่ก็ยังคงกระแทกเหลียนซวงจนกระเด็นออกไปและหมุนตัวกลางอากาศหลายตลบก่อนทรงตัวได้อีกครั้งในสภาพที่ดูไม่ดีนัก
“แม่เจ้า ศิษย์น้องอวี้โม่ทรงพลังจริง ๆ !”
เมื่อเห็นการโจมตีของฉินอวี้โม่ที่ทำให้เหลียนซวงกระเด็นออกไป ใครคนหนึ่งก็อดอุทานด้วยความตกตะลึงไม่ได้
ศิษย์ทุกคนทราบถึงความแข็งแกร่งของเหลียนซวงเป็นอย่างดีซึ่งมากพอที่จะติดหนึ่งในห้าของศิษย์ทั้งหมดในนิกายหมื่นบุปผา อย่างไรก็ตาม การโจมตีของฉินอวี้โม่ก็รวดเร็วอย่างยิ่งจนนางตอบสนองได้ไม่ทันด้วยซ้ำ เพียงกำปั้นเดียวก็สามารถกระแทกผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนจนกระเด็นออกไปได้ เรียกได้ว่าพลังของฉินอวี้โม่นั้นเหนือกว่าจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูงทั่วไปเสียอีก
“เหอะ มีอะไรที่น่าภูมิใจกัน ศิษย์พี่เหลียนซวงเพียงไม่ทันได้ระวังตัวเท่านั้นจึงเสียหลักไปเล็กน้อย ตราบเท่าที่ข้าเห็น…ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนักหรอก”
ศิษย์ฝั่งขวาที่สนับสนุนเหลียนซวงคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน แม้รู้สึกว่าฉินอวี้โม่ก็มีความสามารถในระดับหนึ่ง นางก็ไม่มีทางยอมรับออกไปตรง ๆ
ฮวาหรงผู้ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยทันที นางสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้อย่างชัดเจน การโจมตีของฉินอวี้โม่ก้าวผ่านเหลียนซวงไปทั้งด้านความเร็วและความแข็งแกร่ง หากฉินอวี้โม่ยังต่อสู้เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเหลียนซวงคงมีโอกาสชนะเพียงน้อยนิดเท่านั้น
และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ กระบวนท่าต่อไปของฉินอวี้โม่ก็พิสูจน์ข้อสันนิษฐานของนางได้อย่างชัดเจน
ฉินอวี้โม่เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวจนถึงขีดสุดขณะกระหน่ำโจมตีด้วยกำปั้นและเท้าส่งผลให้เหลียนซวงทำได้เพียงป้องกันตัวโดยที่ไม่สามารถโต้กลับไปได้เลย
ท่ามกลางสายตาของทุกคนในตอนนี้ ฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายมีชัยเหนือกว่าอย่างชัดเจน แม้เหลียนซวงจะพยายามตอบโต้หลายครา นางก็ถูกฉินอวี้โม่ควบคุมการเคลื่อนไหวไว้อย่างรวดเร็ว
ต้องยอมรับความแข็งแกร่งของเหลียนซวงอยู่ในระดับที่ไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย ทว่าน่าเสียดายที่นางมีประสบการณ์การต่อสู้ที่น้อยเกินไป การที่ไม่สามารถใช้พลังมายาที่มีได้อย่างอิสระทำให้นางตื่นตระหนกอย่างมาก ด้วยการโจมตีอย่างดุดันและรวดเร็วของฉินอวี้โม่ ความพ่ายแพ้ของเหลียนซวงก็ใกล้ที่จะถูกตัดสินเต็มที
“สวรรค์ ศิษย์น้องอวี้โม่เก่งกาจมากเช่นนี้เชียวรึ ?!”
ศิษย์หลายคนถึงกับตกตะลึงอย่างที่สุดและแม้แต่ศิษย์ฝั่งขวาเองก็ถึงกับพูดไม่ออก น้ำเสียงของพวกนางแสดงถึงความชื่นชมที่มีต่อฉินอวี้โม่อย่างเต็มเปี่ยม
“นี่คือการที่ศิษย์น้องอวี้โม่แข็งแกร่งเกินไป…หรือศิษย์พี่เหลียนซวงอ่อนแอเกินไปกันแน่ ?”
ศิษย์บางคนเริ่มพึมพำกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม ทุกคนตระหนักถึงความแข็งแกร่งของเหลียนซวงเป็นอย่างดี นางเป็นถึงศิษย์ที่ทรงพลังในห้าอันดับแรกของนิกายหมื่นบุปผา หากกล่าวว่านางอ่อนแอเกินไป แล้วผู้ใดกันที่จะเรียกว่าทรงพลังมากพอ ?
“จิ๊จิ๊ ที่แท้ก็ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง ไม่ได้มีฝีมือจริง ๆ เลยสักนิด”
อวิ๋นซื่อเทียนคาดการณ์ผลลัพธ์เช่นนี้ไว้นานแล้ว ทว่านางก็อดกล่าวด้วยสีหน้าที่สาแก่ใจไม่ได้
หากมีโอกาสได้ทุ่มเทอย่างสุดฝีมือ เหลียนซวงก็อาจไม่อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อไม่สามารถแสดงกระบวนท่าทรงพลังที่สุดของตนออกมาได้ ข้อได้เปรียบในด้านพลังที่เหนือกว่าของนางจึงไร้ประโยชน์
หากเป็นเพียงทักษะการต่อสู้อย่างเดียว ฉินอวี้โม่ก็อาจจะมีฝีมือที่เหนือกว่าจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเอาชนะเหลียนซวงผู้นี้
สีหน้าของฮวาหรงและผู้อาวุโสฝั่งขวาสองคนเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเหลียนซวงพ่ายแพ้ ฝั่งขวาทั้งหมดก็คงจะเสียหน้าไปและไม่กล้ายืดอกอย่างมั่นใจได้อีกในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเหลียนซวงไม่มีพลังที่จะตอบโต้ได้และพวกนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะมองดูต่อไป
“เหลียนซวง สิ่งที่ข้าสอนเจ้ามาตลอดไม่มีประโยชน์เลยงั้นรึ ?”
ฮวาหรงอดทนไม่ไหวอีกต่อไปและยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ
สีหน้าของเหลียนซวงในตอนนี้ดูหดหู่ยิ่งนัก นางก็ต้องการปลดปล่อยพลังอำนาจทั้งหมดออกไปเช่นกัน ทว่ายากที่จะหาจังหวะได้
การโจมตีของฉินอวี้โม่ไม่เพียงแต่ประหลาดเกินคาดเดาเท่านั้น ทว่าพวกมันก็ยังรวดเร็วอย่างที่สุดและสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมดของนางได้
ทุกคราที่เหลียนซวงพยายามใช้ทักษะยุทธ์ ฉินอวี้โม่ก็ขัดขวางได้อย่างตรงจุดจนนางใช้ได้เพียงพลังมายาเท่านั้นและไม่สามารถแสดงกระบวนท่าที่ทรงพลังออกมาได้ กล่าวได้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเหลียนซวง ฮวาหรงก็เดือดดาลขึ้นมา จิตสังหารฉายชัดในแววตาของนางทันทีและเตรียมที่จะลงมือทำบางอย่าง
“ผู้คุมกฎฝั่งขวา อย่าละเมิดกฎระเบียบจะดีกว่า เราทำได้เพียงชมการดวลกันระหว่างศิษย์ทั้งสองเท่านั้น”
ฮวาเยว่คาดเดาความคิดของฮวาหรงได้ไม่ยากและยืนขึ้นทันทีพร้อมกล่าวขึ้นเบา ๆ
“เหอะ !”
ฮวาหรงก็เพียงแค่นเสียงอย่างเย็นชาก่อนสะบัดแขนเสื้อและหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว นางไม่ต้องการทนมองดูสถานการณ์ตรงหน้าอีกต่อไป
ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามก็ตามนางออกไปเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ศิษย์ฝั่งขวาคนอื่น ๆ ยังคงอยู่ในลานประลองเพื่อรับชมการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นนี้
“ศิษย์พี่เหลียนซวง พอแค่นี้เถอะ !”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็นและเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง
“อ๊ากกก !”
เหลียนซวงส่งเสียงร้องอย่างน่าสมเพชออกมาทันทีก่อนที่จะถูกฉินอวี้โม่เตะกระเด็นออกจากลานประลองซึ่งหมายความว่านางพ่ายแพ้แล้ว