คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 919 ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าและยังคงดูดซับสภาวะพลังรอบตัวอย่างไม่หยุดหย่อน ภายในเวลาเพียงไม่นาน สภาวะพลังทั่วบริเวณก็ถูกดูดซับไปโดยสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้นและยังคงดูดซับพลังงานฟ้าดินเข้าไปเช่นกัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหน้าผาสูงเบื้องบนก็พบว่ากลุ่มเมฆและม่านหมอกที่รายล้อมถูกดูดกลืนเข้าไปโดยไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทีละน้อยจนกลายเป็นพลังมายาและค่อย ๆ สลายหายไป
เวลานี้ยอดหน้าผาสูงก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างเลือนรางแล้วและจุดที่ฉินอวี้โม่ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวลงมานั้นก็สูงถึงเกือบครึ่งลี้
ต่อให้เป็นผู้ที่เหาะเหินเดินอากาศได้อย่างอิสระ หน้าผาสูงเช่นนี้ก็ยังถือว่าอันตรายอย่างแท้จริง
เพียงไม่นาน หมอกเมฆบริเวณหน้าผาก็ถูกดูดกลืนไปจนหมดและเผยให้เห็นท้องฟ้าสว่างสดใสเบื้องบน
ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หยุดการเคลื่อนไหวของมันเช่นกัน แสงสว่างเจิดจ้าที่ส่องออกมาก่อนหน้านี้ก็สลัวลงและในตอนนี้มันกลายเป็นเพียงไข่มุกที่ดูโดดเด่นเม็ดหนึ่งเท่านั้น
“กุ๊กกุ๊ก~”
เสียงร้องประหลาดดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ก่อนร่างของเจ้าตัวจิ๋วที่ได้มาจากเมืองเทียนหยวนและเกี่ยวข้องกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่บินออกมาและตรงเข้าไปหาไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“นี่มัน…”
เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ขนาดเล็กจิ๋วปรากฏตัว หมาป่าขาวก็ประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าสีหน้าท่าทางของมันก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ
ฉินอวี้โม่จดจ่อความสนใจอยู่ที่เจ้าตัวจิ๋วและไม่ทันสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของหมาป่าขาว อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือก็หันไปมองหมาป่าขาวด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยครู่หนึ่งโดยที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเช่นกัน
“จิ๊บจิ๊บ~”
เจ้าตัวจิ๋วบินเข้าไปหาไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พร้อมส่งเสียงที่ยากเกินเข้าใจอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนี้ก็ราวกับว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กำลังมองดูเจ้าตัวจิ๋วเช่นกันขณะลอยตัวไปรอบ ๆ ร่างจิ๋วหลายครั้งหลายครา
นับตั้งแต่วันนั้น สิ่งมีชีวิตประหลาดนี้ก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ยังจดจำโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ เกรงว่านางก็คงจะลืมมันไปนานแล้ว การที่มันแสดงตัวออกมาด้วยตนเองเช่นนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าอย่างแน่นอน
ในเวลานี้ก็ราวกับว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เข้าใจความหมายของเจ้าตัวน้อยขณะหมุนวนรอบตัวและลอยตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
“ฉิวฉิว นี่มันหมายความว่าอะไรรึ ?”
‘ฉิวฉิว’ คือชื่อที่ฉินอวี้โม่ตั้งให้เจ้าตัวจิ๋ว สิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้ก็เป็นตัวตนที่แปลกประหลาดอย่างมาก ฉินอวี้โม่ไม่สามารถทำพันธสัญญากับมันและไม่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้แม้แต่น้อย เพราะเหตุนั้นจึงทำได้เพียงคาดเดาจากภาษากายของมัน
ฉิวฉิวพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่และส่งเสียงจิ๊บจิ๊บอีกหลายครั้งก่อนนั่งลงบนไหล่ของนาง
“เจ้ากำลังบอกให้ข้าเก็บไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้งั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ก็พยายามคาดเดาความหมายของเจ้าตัวน้อยและเหมือนว่ามันกำลังจะบอกนางว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยินดีติดตามนางไป
ฉิวฉิวพยักหน้าหงึกหงักทันทีแสดงให้เห็นว่าฉินอวี้โม่คาดเดาถูกแล้ว
อันที่จริง สมบัติแห่งฟ้าดินที่มหัศจรรย์อย่างไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มิใช่สิ่งที่ผู้ใดจะครอบครองได้ง่าย ๆ เว้นแต่ว่ามันจะยินยอมด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ผู้ใดใช้กำลังครอบครองไข่มุกดังกล่าวไปได้ มันก็ยังมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง หากปราศจากการยินยอมจากมัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถกระตุ้นพลังอำนาจที่แท้จริงของไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้
เดิมทีนางก็คิดว่าจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการโน้มน้าวไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ ไม่อาจทราบได้เลยว่าฉิวฉิวกล่าวสิ่งใดกับมัน ไข่มุกวิเศษจึงเต็มใจที่จะติดตามฉินอวี้โม่อย่างง่ายดายเช่นนี้
“จิ๊บจิ๊บ~”
ฉิวฉิวยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปและทำท่าบางอย่างหลายคราพร้อมส่งเสียงกล่าวด้วยภาษาที่ฉินอวี้โม่ยังคงไม่เข้าใจเช่นเดิม
“นายหญิง มันต้องการให้ท่านทำพันธสัญญากับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ต้องกังวลว่าผู้ใดจะคิดแย่งชิงมันไป”
หมาป่าขาวก็ก้าวออกมาข้างหน้าและอธิบายความหมายของฉิวฉิวกับฉินอวี้โม่
เจ้าตัวน้อยพยักศีรษะอีกครั้งและมองหมาป่าขาวพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนบินเข้าไปเกาะไหล่ของมัน
“นี่เจ้าเข้าใจคำพูดของฉิวฉิวด้วยรึ ?”
ฉินอวี้โม่หันมองหมาป่าขาวด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ทันที ไม่คิดเลยว่าอสูรจากดินแดนต้องห้ามจะเข้าใจความหมายของเจ้าตัวจิ๋วที่ประหลาดนี้
“ตระกูลวิญญาณหมาป่าขาวของข้ามีความสามารถพิเศษในการเข้าใจความหมายของแต่ละเผ่าพันธุ์ แน่นอนว่าคำพูดของเจ้าตัวน้อยนี้มิใช่ปัญหาสำหรับข้า”
หมาป่าขาวไม่อธิบายให้ยืดยาวนักและเพียงกล่าวอ้างอย่างสมเหตุสมผล
ฉินอวี้โม่ไม่สงสัยสิ่งใดเช่นกัน นางเพียงกรีดปลายนิ้วมือเล็กน้อยและปล่อยให้เลือดของตนหยดลงบนไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
แน่นอนว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยอมสยบต่อฉินอวี้โม่แต่โดยดีและไม่ต่อต้านขัดขืนแต่อย่างใด อึดใจต่อมา ลำแสงสว่างจ้าก็ครอบคลุมนางและไข่มุกดังกล่าวไว้ทันที ไม่นานนักฉินอวี้โม่ก็รับรู้ได้ถึงการเชื่อมต่อกับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในจิตวิญญาณของตน
“คารวะนายหญิง”
เสียงใสดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และฟังดูเหมือนเสียงของเด็กน้อย
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ในดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผาได้ล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่โบกมือเล็กน้อยและไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏบนฝ่ามือของนาง ในเวลานี้ พลังมายาหนาแน่นก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว ต่อให้จะไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยตนเอง พลังมายาก็หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของนางอย่างต่อเนื่องและนั่นทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของฉินอวี้โม่พัฒนามากขึ้นเล็กน้อย
“นายหญิง ขออภัยด้วย ข้าลืมเลือนเรื่องนี้ไปแล้ว ข้าจดจำได้เพียงว่ามีสตรีชราคนหนึ่งที่พาข้ามาที่นี่และโยนข้าลงจากหน้าผาโดยบอกให้ข้ารอผู้ที่ถูกโชคชะตาลิขิตไว้ ข้าจำรายละเอียดอื่น ๆ นอกจากนั้นไม่ได้เลย”
ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ปิดบังสิ่งใดจากฉินอวี้โม่และกล่าวบอกทุกอย่างที่มันจำได้ทันที
ในความทรงจำของมัน สตรีชราผู้หนึ่งที่มันจดจำรูปลักษณ์หน้าตาไม่ได้นำมันมาที่นี่และโยนมันลงจากหน้าผาจนตกลงมาถึงก้นหน้าผาแห่งนี้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไข่มุกก็อาศัยอยู่ที่นี่มาตลอดและแผ่สภาวะพลังที่หนาแน่นให้กับบ่อน้ำและหน้าผาสูง
ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีผู้ใดที่เข้ามาที่นี่ได้ ฉินอวี้โม่และคณะเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาที่นี่ในรอบนับพันปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าพวกนางคือผู้ที่ถูกลิขิตไว้ให้พบไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
“ข้านึกออกแล้ว สตรีผู้นั้นคือจ้าวนิกายรุ่นแรกของนิกายหมื่นบุปผาและตอนนั้นนางก็ตกอยู่ในสภาพที่ใกล้ตายเต็มที”
หมาป่าขาวนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วและกล่าวแทรกขึ้นมาทันที ไม่นานหลังจากผู้เป็นนายของมันจากไปในครานั้น จ้าวนิกายรุ่นแรกของนิกายหมื่นบุปผาก็เข้ามาที่ดินแดนต้องห้ามแห่งนี้
ในตอนนั้นอาการของจ้าวนิกายรุ่นแรกก็อยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก นางอ่อนแออย่างมากและกลิ่นอายจากร่างของนางก็บางเบาเต็มที นางมุ่งหน้ามาที่หน้าผาแห่งนี้เพียงลำพังก่อนออกไปโดยไม่อาจล่วงรู้ได้ว่านางเข้ามาเพื่อจุดประสงค์ใด
ก่อนหน้านี้หมาป่าขาวก็ไม่ได้สืบทราบถึงการกระทำของอีกฝ่าย ทว่าเมื่อลองคิดไตร่ตรองดูในตอนนี้ การกระทำของจ้าวนิกายรุ่นแรกในตอนนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน
เกรงว่าครานั้นจ้าวนิกายหมื่นบุปผาคงจะเข้ามาที่นี่เพื่อนำไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาซ่อนไว้ที่นี่และอาการบาดเจ็บของนางในตอนนั้นก็น่าจะเกี่ยวข้องกับมัน
เนื่องจากมีไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการครอบครอง จ้าวนิกายรุ่นแรกของนิกายหมื่นบุปผาก็คงจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ชั่วร้ายมากมายจึงได้ลงเอยในสภาพเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้มันแปลกใจคือในเมื่อมีไข่มุกวิเศษนี้อยู่กับตัว เหตุใดจ้าวนิกายผู้นั้นจึงนำมันมาโยนลงหน้าผาแทนที่จะส่งต่อให้จ้าวนิกายรุ่นต่อไป ?
ฉินอวี้โม่เองก็สงสัยในประเด็นนี้เช่นกัน หากนิกายหมื่นบุปผาครอบครองไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ นิกายหมื่นบุปผาก็อาจกลายเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งของดินแดนมหาเทพไปแล้วและไม่ต้องเป็นรองขุมกำลังอื่นเช่นทุกวันนี้
จ้าวนิกายรุ่นแรกของนิกายหมื่นบุปผาก็ควรจะทราบถึงเรื่องนี้ดี แล้วเหตุใดนางจึงเลือกนำไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาซ่อนไว้ที่นี่ ?
“รีบไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
หานโม่ฉือเขย่ามือฉินอวี้โม่เบา ๆ นิกายหมื่นบุปผาแห่งนี้เต็มไปด้วยปริศนามากมายและล้วนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง หากต้องการสืบความจริงให้ได้อย่างชัดเจน พวกนางก็ไม่สามารถทำได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เพราะเหตุนั้นจึงต้องมีการตั้งหลักและวางแผนเป็นระยะยาว
“ตกลง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนกล่าวกับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง “เจ้ารู้รึไม่ว่าเราจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร ?”
ก่อนหน้านี้ฮวาเฉินกล่าวว่าเมื่อพบกับสมบัติที่สูญหายของนิกายหมื่นบุปผา พวกนางก็จะออกไปจากที่นี่ได้เอง ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้นึกสงสัยในวาจาของอีกฝ่าย
“ง่ายมาก อีกประเดี๋ยวข้าจะแหวกเปิดช่องทางห้วงมิติขึ้นมาและทุกท่านก็จะกลับไปที่นิกายหมื่นบุปผาได้”
เสียงใสชัดเจนของไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่อีกครั้งและมันขยับไปมาเล็กน้อยก่อนรอยแยกห้วงมิติปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“ไปกันเถอะ !”
หลังจากพยักหน้าให้กับทุกคน ฉินอวี้โม่ก็เดินนำไปและก้าวเข้าสู่รอยแยกห้วงมิติโดยตรง
ทุกคนก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิดทีละคนเพื่อก้าวเข้าสู่รอยแยกห้วงมิติที่ถูกเปิดออกโดยไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์