คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 921 ความปรารถนาของฮวาฟางเฟย
ฉินอวี้โม่ยื่นไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในมือให้กับฮวาฟางเฟยและสายตาของทุกคนทั่วบริเวณก็จับจ้องตามไปทันทีด้วยต้องการเห็นกับตาว่าฉินอวี้โม่ทำภารกิจค้นหาสมบัติที่สูญหายของนิกายหมื่นบุปผาได้สำเร็จจริงหรือไม่
“นี่มัน…ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ !”
หลังจากมองดูอย่างพินิจพิจารณาครู่หนึ่ง ฮวาฟางเฟยก็ระบุได้อย่างรวดเร็วว่าไข่มุกดังกล่าวคือสิ่งใด
‘ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ คือสมบัติล้ำค่าในตำนานที่นางเคยเห็นเพียงในตำราเท่านั้น กล่าวกันว่าการครอบครองไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกยุทธ์ของผู้เป็นเจ้าของได้หลายเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้น ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีพลังการโจมตีและพลังการป้องกันที่แกร่งกล้าเป็นอย่างมาก หากได้มันมาครอบครอง ไม่ว่าผู้ใดก็จะมีไพ่ตายที่ร้ายกาจเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
“อะไรนะ ? ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ ?!”
ฮวาเยว่และคนอื่น ๆ อุทานออกมาด้วยความตกใจทันที แน่นอนว่าพวกนางก็เคยได้ยินเกี่ยวกับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาแล้วเช่นกัน
แม้เคยเห็นเพียงในตำรา ทุกคนก็ทราบถึงความพิเศษของไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วไข่มุกวิเศษดังกล่าวจะเป็นสมบัติที่หายสาบสูญซึ่งนิกายหมื่นบุปผาตามหามานาน
“ฮ่า ๆ ๆ ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่าเม็ดนี้คือสิ่งที่นิกายหมื่นบุปผาเราทำสูญหายไปในดินแดนต้องห้าม อวี้โม่…ภารกิจของเจ้าและทุกคนสำเร็จลุล่วงจริง ๆ”
ฮวาฟางเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่ายังไม่คิดยื่นไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คืนให้กับฉินอวี้โม่
“อวี้โม่ ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของนิกายหมื่นบุปผา มันถือว่าเป็นสมบัติที่นำพาโชควาสนามาสู่ทั่วทั้งนิกาย แม้ผู้คุมกฎฝั่งขวาเคยกล่าวไว้ว่าเจ้าจะได้ครอบครองสมบัติเมื่อทำภารกิจได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม นี่คือไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญต่อนิกายหมื่นบุปผาของเราเป็นอย่างมาก ข้าจะให้แต้มกับเจ้าหนึ่งหมื่นแต้มเพื่อแลกกับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้”
ประกายความปรารถนาฉายชัดในแววตาของฮวาฟางเฟย ทว่านางก็ควบคุมสีหน้ามิให้แสดงออกอย่างชัดเจนจนเกินไป
หากเป็นสมบัติอื่น ๆ นางก็คงปล่อยผ่านไปได้ ทว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้มีแรงดึงดูดใจที่มหาศาลต่อฮวาฟางเฟย ตราบใดที่ได้ครอบครองมัน ฮวาฟางเฟยมั่นใจว่านางจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในดินแดนมหาเทพภายในเวลาสามปีอย่างแน่นอน
“อันที่จริงมันก็มิใช่ปัญหา เพียงแต่…”
ฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้แล้วว่าฮวาฟางเฟยจะต้องสนใจไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้และมีความคิดที่จะครอบครองมันไปเป็นของตนเองอย่างแน่นอน นางจึงมิได้รู้สึกแปลกใจนัก
“เพียงแต่อะไร ?”
ฮวาฟางเฟยคิดไม่ถึงว่าฉินอวี้โม่จะตอบกลับเช่นนี้ เดิมทีนางคิดว่าฉินอวี้โม่จะยินยอมมอบไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ให้แต่โดยดี คำปฏิเสธดังกล่าวจึงทำให้สีหน้าของนางกลายเป็นเย็นชาเล็กน้อย
“ฉินอวี้โม่ นี่เจ้ากำลังจะปฏิเสธท่านจ้าวนิกายรึ ?”
ฮวาหรงอดกล่าวออกมาไม่ได้และพยายามเล่นงานฉินอวี้โม่ด้วยวาจา
ตราบใดที่ฉินอวี้โม่กล้าปฏิเสธ ฮวาฟางเฟยจะไม่ยอมอยู่เฉยและหาทางจัดการกับนางอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น มันก็จะช่วยระบายความโกรธแค้นในใจของฮวาหรงได้ ต่อให้นางจะยังสังหารหรือกำจัดฉินอวี้โม่ด้วยตัวเองไม่ได้ นางก็ยังมีโอกาสเล่นงานอีกฝ่ายอย่างสาสม
“ข้ามิใช่ท่านผู้คุมกฎฝั่งขวาที่สนใจเพียงผลประโยชน์ของตัวเองและไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของนิกายหมื่นบุปผา”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบเบา ๆ ด้วยวาจาที่ทำให้สีหน้าของฮวาหรงบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม
“หากเจ้าคำนึงถึงผลประโยชน์นิกายหมื่นบุปผาจริง ๆ เหตุใดเจ้าจึงยังลังเลอยู่เช่นนี้ล่ะ ?”
เมื่อเห็นว่าผู้คุมกฎฝั่งขวาถูกตอกกลับ ฮวาเฉินก็ไม่นิ่งเฉยแต่อย่างใดและก้าวเข้ามาช่วยสาดวาจาโจมตีฉินอวี้โม่
“มิใช่ว่าข้าลังเล เพียงแต่ข้าทำพันธสัญญากับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ในดินแดนต้องห้ามแล้ว ตอนนี้หากท่านต้องการจะครอบครองไข่มุกนี้ไป ท่านก็คงต้องฆ่าข้าและลบล้างประทับตราวิญญาณของข้าไป ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ท่านจะลบล้างประทับตราวิญญาณของข้าไปได้จริง ๆ ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังจะเลือกนายของมันเองและอาจไม่คิดอยู่ร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาด้วยซ้ำ ข้าเชื่อว่าท่านจ้าวนิกายคงไม่อยากสังเวยชีวิตของผู้ใดเพื่อครอบครองไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้”
ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบายความจริงว่าตนได้ทำพันธสัญญากับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว
นางมั่นใจว่าฮวาฟางเฟยไม่กล้าสังหารตนต่อหน้าคนมากมายอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวนิกายของนิกายหมื่นบุปผาผู้นี้ก็วางตัวอ่อนโยน จิตใจดีมีเมตตาและเป็นผู้นำที่ดีต่อหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ นางไม่มีทางทำสิ่งใดที่จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตนอย่างแน่นอน
สีหน้าของฮวาฟางเฟยกลายเป็นซับซ้อนทันทีขณะจิตสังหารฉายวาบขึ้นมาในแววตาชั่วขณะหนึ่ง ทว่ามันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“แน่นอนว่าข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก ข้าเพียงเสนอดูเท่านั้น ในเมื่อไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทำพันธสัญญากับอวี้โม่แล้ว นั่นก็หมายความว่าเจ้าคือผู้ถูกเลือก เจ้าเองก็เป็นสมาชิกของนิกายหมื่นบุปผา ต่อให้ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่กับเจ้าก็ไม่มีปัญหาหรอก เพียงแต่…ในอนาคตข้างหน้า ห้ามทุกคนเปิดเผยออกไปโดยเด็ดขาดว่าอวี้โม่มีไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัว มิฉะนั้นข้าผู้นี้จะลงโทษบุคคลผู้นั้นด้วยตนเอง !”
นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มราวกับต้องการปกป้องฉินอวี้โม่
เนื่องจากทราบข้อมูลเกี่ยวกับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พอสมควร ฮวาฟางเฟยจึงทราบว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมามิใช่เรื่องโกหก สมบัติฟ้าดินอย่างไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเลือกนายของตนเองเสมอ ในเมื่อมันเลือกทำพันธสัญญากับฉินอวี้โม่แล้ว นั่นก็หมายความว่ามันยอมรับในตัวของนาง การสังหารฉินอวี้โม่อาจทำให้ไข่มุกล้ำค่านี้หายสาบสูญไปและไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย
เพราะฉะนั้น การเก็บฉินอวี้โม่ไว้ใกล้ตัวและฟูมฟักฝึกฝนนางต่อไปคือทางเลือกที่ดีที่สุด ตราบใดที่นางยังเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา ฉินอวี้โม่ก็จะไม่เป็นภัยคุกคามใด ๆ สำหรับฮวาฟางเฟย
การสังหารฉินอวี้โม่มิใช่การกระทำที่ส่งผลดีและถือเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับนิกายหมื่นบุปผา
ในทางตรงกันข้าม หากฮวาฟางเฟยแสดงออกว่าต้องการปกป้องฉินอวี้โม่ นั่นจะทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกซาบซึ้งใจและจงรักภักดีกับตนยิ่งกว่าเดิม
ต้องกล่าวเลยว่าฮวาฟางเฟยผู้นี้เฉลียวฉลาดไม่น้อย นางวิเคราะห์ผลดีและผลเสียของเรื่องนี้อย่างรวดเร็วก่อนแสดงจุดยืนออกมา
“ผู้คุมกฎฝั่งขวา ข้าทราบดีว่าเจ้าจ้องเล่นงานอวี้โม่มาตลอด ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ข้าไม่กล่าวสิ่งใดก็เพราะอยากจะให้อวี้โม่ได้รับประสบการณ์ในการเอาตัวรอดด้วยตนเอง ตอนนี้การที่นางทำพันธสัญญากับไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว มันถึงเวลาที่นางจะต้องฝึกฝนอย่างเต็มที่และพัฒนาความแข็งแกร่งของตน ในอนาคตข้างหน้า พวกเจ้าอย่าคิดสร้างปัญหาให้กับอวี้โม่และสหายอีก เข้าใจรึไม่ ?”
นางลั่นวาจาและออกคำสั่งกับฮวาหรงในขณะที่แสดงตัวปกป้องฉินอวี้โม่อย่างออกนอกหน้า
“เจ้าค่ะ ท่านจ้าวนิกาย”
แม้ฮวาหรงจะไม่สบอารมณ์นัก ทว่าเมื่อสังเกตเห็นฮวาฟางเฟยขยิบตาส่งสัญญาณให้กับตน นางก็พยักศีรษะอย่างจำยอม
“เอาล่ะ ตอนนี้แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ช่วงนี้พวกเจ้าจงเก็บตัวอยู่ในเรือนและฝึกวิชาอย่างเต็มที่ หากมีเรื่องใดก็ไปหาผู้คุมกฎฝั่งซ้ายหรือมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะตั้งตารอดูผลงานที่ดีขึ้นของพวกเจ้า !”
ฮวาฟางเฟยก้าวออกไปข้างหน้าและตบไหล่ฉินอวี้โม่เบา ๆ ก่อนหันหลังและหายวับไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณท่านจ้าวนิกายเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวขอบคุณในทิศทางที่ฮวาฟางเฟยหายไป เดิมทีนางก็คาดการณ์ถึงผลลัพธ์เช่นนี้ไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเกี่ยวข้องกับฮวาฟางเฟยจริง นางจะไม่มีทางปฏิบัติต่อฮวาฟางเฟยอย่างจริงใจแน่
“อวี้โม่ ยินดีด้วย การที่เจ้าได้ครอบครองสมบัติฟ้าดินอย่างไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อีกไม่นานความแข็งแกร่งของเจ้าจะก้าวผ่านข้าไปแน่ ๆ”
ฮวาเยว่ตบไหล่ฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ
อันที่จริง เมื่อครู่นี้นางมองเห็นจิตสังหารที่ฉายวาบในแววตาของฮวาฟางเฟยอย่างชัดเจน เดิมทีนางไม่เคยนึกสงสัยจ้าวนิกายมากเช่นนี้มาก่อน ทว่าตอนนี้นางเริ่มมีความคิดอื่นอยู่ในใจ เพียงแต่นางยังไม่แสดงออกทางสีหน้าก็เท่านั้น
“ขอบคุณท่านผู้คุมกฎเจ้าค่ะ หากท่านไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไปในดินแดนต้องห้าม ข้าก็คงไม่ได้รับโอกาสเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ในนิกายหมื่นบุปผาแห่งนี้ยังมีหลายคนในฝั่งซ้ายที่นางรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นฮวาเยว่ ฮวาลั่ว ฮวาปี้หรือศิษย์คนอื่น ๆ พวกนางล้วนแต่เป็นคนตรงไปตรงมาและเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย สตรีเหล่านี้คู่ควรแก่มิตรภาพอย่างแท้จริง
“เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันกลับได้”
ฮวาเยว่โบกมือให้กับคนอื่น ๆ เพื่อให้แยกย้ายกันกลับไปยังเรือนของตน
“ผู้อาวุโสรอง พวกเราจะได้รับหนึ่งพันแต้มหลังจากทำภารกิจสำเร็จใช่รึไม่ ? ไม่ทราบว่าตอนนี้สะดวกสำหรับท่านหรือไม่เจ้าคะ ?”
สายตาของฉินอวี้โม่เลื่อนไปที่ฮวาเฉินและกล่าวพร้อมรอยยิ้มยั่วยุอย่างไม่ปิดบัง
ครานี้ฝั่งขวาของพวกนางเสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึกอย่างแท้จริง !
* 了夫人又折兵 เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก ความหมายคือ การสูญเสียซ้ำสองอย่างในครั้งเดียว