คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 924 ประกาศศึก
จางซือถงและเหมียวเจินเจินกล่าวแสดงความหมายอย่างชัดเจน ต่อให้เหลียนซวงจะเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา นางก็จะเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าพวกนางหมายถึงผู้ใด
“เจ้าอีกแล้วรึ ?!”
เหลียนซวงตวัดสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่อย่างเยือกเย็นและไม่อาจปิดบังความโกรธในแววตาได้เลย
“ใช่แล้วล่ะ ข้าเอง”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เหลียนซวงคงไม่ทราบว่าสาเหตุที่สามีของข้ามาเป็นศิษย์นอกที่นิกายหมื่นบุปผาแห่งนี้ก็เพราะไม่ต้องการพลัดพรากจากข้า มิฉะนั้น ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นของเขา เขาก็คงจะกลายเป็นศิษย์หลักของขุมกำลังอื่น ๆ ได้ทุกแห่ง”
นางเขย่งเท้าและจุมพิตข้างแก้มหานโม่ฉือก่อนชายตามองเหลียนซวงอย่างยั่วยุโดยที่แสดงความรักใคร่อย่างออกนอกหน้า
“ฉินอวี้โม่ ศิษย์น้องหานควรที่จะเป็นจอมยุทธ์มากพรสวรรค์ที่มีอนาคตกว้างไกล ทว่าเจ้าทำให้เขาต้องพลาดโอกาสในชีวิตและกลายมาเป็นศิษย์นอกของนิกายเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของเจ้า เจ้าไม่คิดว่าเจ้าเห็นแก่ตัวมากเกินไปรึ ?”
เหลียนซวงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ทว่าเมื่อนึกถึงวาจาของฉินอวี้โม่เมื่อครู่ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ นางจึงกล่าวออกไปอย่างฉะฉานฟังชัดด้วยความตั้งใจที่จะยุยงให้ความสัมพันธ์ของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ร้าวฉาน
นางคิดว่าบุรุษทุกคนบนโลกก็คงไม่ต่างกัน สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดคือสถานะและอำนาจของตนโดยที่สตรีเป็นเพียงเครื่องประดับข้างกายเท่านั้น การที่หานโม่ฉือยอมมาเป็นศิษย์นอกของนิกายหมื่นบุปผาคงเป็นเพราะฉินอวี้โม่บีบบังคับเขามา เหลียนซวงเชื่อว่าตราบใดที่นางยกประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตี หานโม่ฉือคงจะตงิดใจในการกระทำของฉินอวี้โม่เป็นแน่ และเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มสั่นคลอน นางก็จะถือโอกาสนั้นเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง
“ความสามารถในการเข้าใจของศิษย์พี่เหลียนซวงดูจะย่ำแย่มากนัก ข้ากล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่าสามีของข้าไม่อยากแยกจากข้า เขาจึงเลือกมาที่นิกายหมื่นบุปผาด้วยตนเอง ข้าไม่เคยบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ข้าขอบอกไว้เลยว่าสามีของข้าตัวติดข้ามากและไม่อยากอยู่ห่างจากแม้แต่วินาทีเดียว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวอย่างไร้ความกังวล นางและหานโม่ฉือเผชิญกับการปลุกปั่นยุยงที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้มาหลายครั้งหลายคราและไม่มีทางที่สิ่งเหล่านั้นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกนางได้เลย
“ภรรยาของข้า ป้าคนนี้คือใครรึ ?”
หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่ไว้แน่นขณะมองนางด้วยแววตาเปี่ยมความรักและเอ่ยถามด้วยท่าทางที่เสแสร้งงุนงง
“ป้างั้นรึ ?!”
ใบหน้าของเหลียนซวงแดงก่ำทันที เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางเกรี้ยวโกรธจนแทบทนไม่ไหว
“ในเมื่อท่านแก่กว่าภรรยาของข้ามากนัก แน่นอนว่าต้องมีศักดิ์เป็นป้า แต่หากต้องการให้ข้าเรียกว่ายายแก่ ข้าก็ไม่มีปัญหา”
วาจาของหานโม่ฉือมักเฉียบคมและรุนแรงเสมอ เขาเพียงมิใช่คนช่างจ้อเท่านั้นและจะเอ่ยปากออกมาเพียงในคราวที่จำเป็น
เนื่องจากทราบดีว่าหลังจากนี้ฉินอวี้โม่คิดที่จะจัดการกับเหลียนซวงด้วยตนเอง เขาจึงกล่าวเพียงไม่กี่คำและไม่คิดเสียเวลากล่าวสิ่งใดต่อ
“สามีของข้า สตรีผู้นี้มิใช่ป้าที่ไหนหรอก หากแต่เป็นศิษย์พี่เหลียนซวงที่ฝึกฝนอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปีและถือว่าเป็นศิษย์หลักของนิกาย”
ฉินอวี้โม่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและจงใจเน้นย้ำว่าอีกฝ่ายฝึกฝนอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปีและเป็นศิษย์หลักของนิกาย
“ดูเหมือนว่าการคัดเลือกของศิษย์ในคงจะไม่เข้มงวดนัก ในเมื่อนางเองก็ยังเป็นได้ถึงศิษย์หลักของนิกาย ภรรยาของข้าก็คงจะเป็นได้ถึงผู้อาวุโสของนิกาย”
หานโม่ฉือพยักศีรษะด้วยสีหน้าพึงพอใจ
เฉียนจ้วงและเถียนเล่ยถึงกับงุนงงไม่น้อย ศิษย์น้องหานโม่ฉือที่พวกเขารู้จักมิใช่คนช่างพูดนักและคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้เขาจะสาดวาจาโจมตีเหลียนซวงได้อย่างสาแก่ใจเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เหลียนซวงก็ทำตัวน่ารำคาญอย่างที่สุด ทั้งที่ทราบแล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นภรรยาของหานโม่ฉือ นางก็ยังกล้ายุยงทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างหน้าไม่อาย
“เจ้า…”
เหลียนซวงฉุนเฉียวอย่างที่สุดทว่าทำได้เพียงยกนิ้วชี้หน้าหานโม่ฉือโดยที่พูดไม่ออก
“เหลียนซวง ในฐานะศิษย์หลักของนิกาย เจ้าไม่รู้สึกอายบ้างรึที่ยั่วยวนสามีของผู้อื่นเช่นนี้ ?”
เฉียนจ้วงอดกล่าวออกไปไม่ได้ เขากล่าววาจาหยาบคายกับเหลียนซวงได้โดยที่ไม่สนใจว่าตนเป็นเพียงศิษย์นอก
“นั่นสิ ลองมองดูให้ดีเถิด เจ้าจะเทียบศิษย์น้องอวี้โม่ได้อย่างไร ? แม้ภายนอกนางอาจดูไม่แข็งแกร่งมากเท่าเจ้า ทว่านางก็เข้ามาในนิกายนี้ช้ากว่าเจ้ามากกว่าสิบปี ข้าว่าหากศิษย์น้องอวี้โม่ได้มีเวลาฝึกฝนสักปี นางจะบดขยี้เจ้าจนแหลกละเอียดได้แน่ !”
เถียนเล่ยกล่าวเสริมเช่นกันและเขามั่นใจในตัวฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
สถานการณ์ในดินแดนต้องห้ามพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้อย่างชัดเจน และไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงหานโม่ฉือ เพราะเพียงแค่ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงได้เป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพอสูรมายาที่ทรงพลัง ทักษะการหลอมอาวุธอุปกรณ์ระดับสูง พรสวรรค์อันน่าทึ่งและไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในการครอบครอง แม้ตอนนี้ฉินอวี้โม่เป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียนขั้นกลาง เขาก็เชื่อว่านางจะบรรลุขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงได้ภายในครึ่งปีซึ่งจะเหนือชั้นกว่าเหลียนซวงและศิษย์ทุกคนในนิกายหมื่นบุปผา
“พวกเจ้าทั้งสองหุบปากไปเสีย !”
เหลียนซวงเดือดดาลทันทีและรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเพราะวาจาของศิษย์นอกทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง
“ฉินอวี้โม่ เจ้ากล้ารับคำท้าจากข้ารึไม่ ?”
เหลียนซวงกล่าวอย่างเย็นชาทันที หากไม่เอาชนะฉินอวี้โม่เพื่อกอบกู้หน้าตนเอง ทุกคนก็จะคิดว่านางไม่สมฐานะกับการที่เป็นศิษย์สามอันดับแรกของนิกายหมื่นบุปผาอย่างแน่นอน การที่ฉินอวี้โม่เอาชนะนางได้ก่อนหน้านี้เป็นเพียงเพราะนางยังไม่ได้ทุ่มสุดฝีมือเท่านั้น หากได้ประชันฝีมืออีกครา เหลียนซวงจะไม่ยั้งมืออย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่อยากจะทำให้ตัวเองอับอายไปอีกครารึ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าววาจาถากถางอย่างไม่ปิดบัง
“ไม่ว่าจะทำให้ตัวเองอับอายหรือประกาศศักดา อีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้เอง ตอนนี้มีเวลามากกว่าหนึ่งเดือนก่อนถึงการแข่งขันประชันฝีมือภายในของนิกายหมื่นบุปผา ในตอนนั้นข้าจะขอท้าดวลกับศิษย์น้องอวี้โม่เอง ในเมื่อศิษย์น้องอวี้โม่มีทั้งความสามารถและพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ เชื่อว่าศิษย์น้องอวี้โม่คงจะไม่ปฏิเสธคำท้าของข้าใช่รึไม่ ?”
น้ำเสียงของนางเจือด้วยความยั่วยุและด้วยการที่กังวลว่าฉินอวี้โม่จะไม่รับคำท้าของนาง นางจึงต้องใช้กลยุทธ์การยุยงปลุกปั่นเข้ามาช่วย
“เดิมทีข้าก็คิดไว้เช่นกัน ข้าวางแผนที่จะเอาชนะศิษย์พี่อีกครา ทว่าตอนนี้ข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่จริง ๆ ที่มอบโอกาสนั้นให้ข้า”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่คิดปฏิเสธใด ๆ
ภายในเวลาประมาณหนึ่งเดือน การที่มีไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่นั้นก็มากพอที่จะช่วยให้นางบรรลุขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงได้ ด้วยพลังในระดับนั้น กอปรกับประสบการณ์การต่อสู้ที่มี การเอาชนะเหลียนซวงก็มิใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย
นางยังมีความบาดหมางที่ต้องการสะสางให้สิ้นซากและเมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีฝ่ายใดค้างคาใจอีก
ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีเวลาไปเสียในการทะเลาะเบาะแว้งกับเหลียนซวงมากนัก เนื่องจากยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการ อีกอย่าง นิกายหมื่นบุปผาแห่งนี้ก็อาจจะดำรงอยู่ได้อีกไม่นานเช่นกัน…
“เหอะ อย่าเพิ่งมั่นใจเกินไปนักเลย เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไม่ยั้งมือแน่ !”
เหลียนซวงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวทิ้งท้ายก่อนหันหลังและเดินจากไปพร้อมคณะศิษย์ที่ติดตามตน
“เหตุใดถึงใจกล้านักนะ ? นางเพิ่งพ่ายแพ้ต่อพี่อวี้โม่ไปก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้นางทำท่าทางราวกับกุมชัยชนะไว้ในมือ สติฟั่นเฟือนไปแล้วรึ !”
ขณะมองตามไปในทิศทางของคนเหล่านั้น เหมียวเจินเจินก็อดกล่าวออกไปไม่ได้
นางไม่เข้าใจเลยว่าความยโสโอหังทั้งหมดของเหลียนซวงมาจากที่ใด ไม่เพียงแต่มั่นใจว่าจะเอาชนะฉินอวี้โม่ได้เท่านั้น ทว่าเหลียนซวงยังมั่นใจว่าหานโม่ฉือจะหลงใหลตนอีกด้วย ซึ่งถือเป็นความคิดที่น่าขันอย่างที่สุด
หากกล่าวตามตรง เหลียนซวงเพียงแค่มีระดับพลังที่เหนือกว่าพวกนางเล็กน้อยและใช้เวลาอยู่ในนิกายหมื่นบุปผานานกว่าเท่านั้น แม้แต่เหมียวเจินเจินเองก็ยังรู้สึกว่าพรสวรรค์ของตนเองเหนือกว่าเหลียนซวงด้วยซ้ำ
“คนหลงตัวเองมีอยู่ในทุกหนแห่ง”
จางซือถงไม่ชอบหน้าเหลียนซวงมาตั้งแต่ต้นและเมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้ นางก็นึกถึงภาพของจางซือฉีขึ้นมา
เหลียนซวงและจางซือฉีมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร แม้เหลียนซวงจะตรงไปตรงมาและแข็งแกร่งมากกว่าจางซือถง ทว่าความคิดทัศนคติของทั้งสองก็ไม่ต่างกัน
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนางหรอก พวกเจ้ารีบไปเลือกสิ่งของที่ต้องการเถอะ ตอนนี้ก็ใกล้มืดเต็มที”
ฉินอวี้โม่ลูบศีรษะเหมียวเจินเจินเบา ๆ ขณะกล่าวให้นางและจางซือถงเลือกสิ่งของที่สนใจต่อไป
ถึงอย่างไรศิษย์นอกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ค้างคืนในหอชั้นใน เมื่อท้องฟ้ามืดลง หานโม่ฉือ เฉียนจ้วงและเถียนเล่ยจะต้องออกไปจากหอชั้นในเพื่อกลับไปยังหอชั้นนอกของตน นี่คือกฎเหล็กของนิกายหมื่นบุปผา