คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 934 เกิดเรื่องที่ชายฝั่งทางเหนือ
ณ สังเวียนประชันฝีมือ ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนเคลื่อนไหวออกไปในเวลาเดียวกัน
“ข้าตาลายไปหมดแล้ว ศิษย์น้องทั้งสองกำลังทำอะไรกัน ?”
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสอง หมิงเยี่ยนก็กลอกตาไปมาและแทบทรุดล้มลงกับพื้น
“เอ๋…นี่มันการต่อสู้ประเภทใดกัน ?!”
หลายคนแทบกระอักเลือดกับสิ่งที่เห็น พวกนางคาดหวังว่าจะได้เห็นการประชันฝีมือที่ดุเดือดและยังคงคาดเดากันไปว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ เป็นไปได้อย่างไรที่พวกนางจะคาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนจะ ‘แข่งขัน’ กันด้วยวิธีนี้
“ศิษย์น้องทั้งสองคงคิดว่าจะผ่านเข้ารอบสิบคนได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่สนใจว่าใครจะพ่ายแพ้ ดูเหมือนว่าพวกนางจะมั่นใจเกี่ยวกับการต่อสู้ในคู่ต่อไปเป็นอย่างมาก”
เหมยเซียงไม่แปลกใจแต่อย่างใด ด้วยความแข็งแกร่งและบุคลิกนิสัยของฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียน การที่ทั้งสองตัดสินใจหาผู้ชนะด้วยวิธีนี้ถือว่ามิใช่เรื่องที่แปลกเกินเข้าใจ
เพราะถึงอย่างไร หากทั้งสองต่อสู้กันอย่างเต็มที่และแสดงไพ่ตายทั้งหมดออกมา มันจะไม่เป็นผลดีกับพวกนางแม้แต่น้อย
“แม่เจ้า ! อวี้โม่ เจ้าโกงข้าชัด ๆ !”
ณ สังเวียนประชันฝีมือ อวิ๋นซื่อเทียนจับมือฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่ฉุนเฉียวเล็กน้อย
“เห็นได้ชัดว่าท่านเองก็เปลี่ยนมือสองครั้ง ยังกล้าบอกว่าข้าโกงอีกรึ ?”
ฉินอวี้โม่จับมืออวิ๋นซื่อเทียนก่อนเดินลงจากสังเวียน เมื่อครู่นี้นางเอาชนะการเป่ายิ้งฉุบได้ นางจึงผ่านเข้าสู่รอบสิบคนไปโดยตรง
“ฮ่า ๆ ๆ ต่อให้ข้าเปลี่ยนมือสองครั้ง ข้าก็ยังแพ้เจ้าอยู่ดี”
ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะร่าอย่างสบาย ๆ ขณะเดินกลับไปยังที่นั่งเดิมด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“เหอะ !”
เหลียนซวงผู้ซึ่งอยู่ไม่ไกลแค่นเสียงเย็นชาในลำคอทันที ในตอนแรกนางคิดว่าฉินอวี้โม่จะแสดงให้เห็นถึงไพ่ตายที่ซ่อนไว้ คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งคู่จะต่อสู้กันด้วยวิธีนี้ ตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็ผ่านเข้ารอบสิบคนแล้วและไม่จำเป็นต้องต่อสู้อีกในรอบต่อไปซึ่งไม่มีโอกาสที่นางจะได้เห็นไพ่ตายที่แท้จริงของฉินอวี้โม่อีกแล้ว
“ศิษย์พี่เหลียนซวงไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน การเอาชนะฉินอวี้โม่มิใช่เรื่องยากเลย นางทำได้เพียงแสดงตัวอวดอ้างเท่านั้นและไม่ได้มีความสามารถอะไรจริง ๆ หรอก”
เมื่อได้ยินเหลียนซวงแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ เหลียนอู้จอมประจบประแจงก็รีบกล่าวอย่างเอาอกเอาใจทันที
“ต่อให้นางจะมีความสามารถจริง ๆ ข้าก็ไม่มีทางแพ้แน่ !”
แววตาของเหลียนซวงเต็มไปด้วยความเย็นชา ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะพ่ายแพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
การต่อสู้ครานี้มิใช่เป็นเพียงการประชันฝีมือระหว่างศิษย์สองคน หากแต่เป็นการต่อสู้ที่จะชี้ชัดถึงทัศนคติความคิดของทุกคนในนิกายหมื่นบุปผา หากเหลียนซวงเพลี่ยงพล้ำ อำนาจบารมีที่นางสร้างมาในนิกายหมื่นบุปผาจะป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี ซ้ำร้ายฉินอวี้โม่ก็จะเหยียบย่ำนางจนจมดินและเหลียนซวงจะไม่มีทางที่จะเชิดหน้าชูตาได้อีกต่อไป
“โม่เอ๋อร์ ในฝั่งนั้นเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง”
เมื่อฉินอวี้โม่กลับมานั่งลงที่เดิม หานโม่ฉือก็ดึงนางเข้ามาข้างกายและกล่าวข้างหูเบา ๆ
วันนี้จ้าวนิกายฮวาฟางเฟยไม่ปรากฏตัวที่ลานประลองซึ่งทำให้หานโม่ฉือแปลกใจไม่น้อย เมื่อครู่เขาจึงสั่งให้เนตรปีศาจออกไปสืบที่เรือนของฮวาฟางเฟยและพบสิ่งที่แปลกพิกล
ฮวาฟางเฟยไม่ได้อยู่ในเรือนที่พักของตนและไม่ได้เข้าไปในห้องลับ สิ่งที่เกิดขึ้นราวกับว่านางหายตัวไปจากนิกายหมื่นบุปผาอย่างไร้ร่องรอย
“ในช่วงที่ผ่านมานี้ไม่มีศิษย์นอกคนใดที่เห็นฮวาฟางเฟยเดินทางออกไป สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าในนิกายหมื่นบุปผาน่าจะมีทางออกไปสู่โลกภายนอกทางอื่นอีก”
หานโม่ฉือมั่นใจมากพอสมควรว่านิกายหมื่นบุปผาแห่งนี้จะต้องมีทางออกมากกว่าหนึ่งทาง
ถึงอย่างไรนิกายหมื่นบุปผาก็ตั้งอยู่ในหุบเขากว้างใหญ่ นอกเหนือจากเส้นทางที่เขาและคณะของฉินอวี้โม่เดินทางเข้ามาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็สามารถเหาะออกไปจากบนยอดเขาได้
เพียงแต่ภูเขาทั้งสองฟากฝั่งของหุบเขาหมื่นบุปผาสูงตระหง่านจนเสียดฟ้าและอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ แม้แต่ผู้ที่ทรงพลังมากเช่นหานโม่ฉือก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเหาะผ่านไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น บนภูเขาเหล่านั้นก็อาจจะมีวิกฤตร้ายแรงซ่อนอยู่ ต่อให้มีโอกาส คนส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าเหาะออกไปง่าย ๆ
เพราะเหตุนั้น เขาจึงคาดการณ์ได้ว่าฮวาฟางเฟยน่าจะออกจากนิกายหมื่นบุปผาไปทางช่องทางอื่น
สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่านิกายหมื่นบุปผายังมีปริศนาที่ซ่อนไว้ เพียงแต่พวกเขายังไม่อาจคาดเดาได้ว่าเส้นทางนั้นอยู่ที่ใด
“เมื่อวานนางก็มาที่นี่ ทว่าวันนี้กลับรีบร้อนออกไป หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในโลกภายนอก ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ฮวาฟางเฟยสนใจการประชันฝีมือภายในของนิกายหมื่นบุปผาเป็นอย่างมาก และต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ เพราะเหตุนั้น นางก็คงจะไม่ต้องการพลาดการประชันฝีมือในครานี้หากไม่เกิดเรื่องที่จำเป็นขึ้นมาจริง ๆ
หากการสืบข้อมูลของเนตรปีศาจไม่ผิดพลาด เช่นนั้นก็หมายความว่าเกิดเรื่องขึ้นที่โลกภายนอกซึ่งทำให้ฮวาฟางเฟยต้องเดินทางออกไปเป็นการเร่งด่วน
“ข้าจะให้กิเลนอัคคีไปสืบดู”
หานโม่ฉือครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่งกระแสจิตไปหากิเลนอัคคีและสั่งให้มันออกไปสำรวจสถานการณ์ด้วยตัวเอง
“ข้าจะส่งมารยาไปกับกิเลนด้วย”
ฉินอวี้โม่เองก็สื่อสารกับมารยา ถึงอย่างไรรอบ ๆ นิกายหมื่นบุปผาก็มีข่ายอาคมที่ถูกจัดวางไว้เป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านี้มารยาได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ข่ายอาคมเหล่านี้แล้วและทราบวิธีการออกไปโดยไม่ทำให้คนในนิกายรู้ตัว นอกจากนี้ หากส่งมันไปกับกิเลนอัคคี ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็จะวางใจได้มากขึ้น
อสูรมายาทั้งสองรับคำสั่งและมุ่งหน้าออกจากหุบเขาไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักกลิ่นอายของพวกมันก็หายไปในอากาศ
สายตาของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกลับมาให้ความสนใจกับสังเวียนต่อสู้อีกครั้งขณะรอการประชันฝีมือของผู้เข้ารอบในชุดต่อไป…
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทั้งสองคาดเดาก็ถูกต้องทุกอย่าง เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่โลกภายนอกจริง ๆ
เช้าตรู่ของวันนี้ ฮวาฟางเฟยได้รับข่าวจากโลกภายนอกก่อนที่จะตื่นขึ้นมาด้วยซ้ำ
‘เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ชายฝั่งทางเหนือ รีบมาที่นิกายเมฆาล่องลอยโดยเร็วที่สุด’
ระหว่างขุมกำลังใหญ่จะมีวิธีการสื่อสารพิเศษบางอย่างอยู่ และลูกแก้ววิญญาณในห้องนอนของฮวาฟางเฟยก็แสดงข่าวด่วนจากนิกายเมฆาล่องลอย
ประโยคเพียงสั้น ๆ ที่แสดงขึ้นมานี้ก็ทำให้ฮวาฟางเฟยรับรู้ถึงวิกฤตร้ายแรงในทันที นางเพียงฝากเรื่องทุกอย่างไว้กับฮวาหรงก่อนเดินทางออกจากนิกายหมื่นบุปผาด้วยความเร่งรีบ
ชายฝั่งทางเหนือตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางเหนือของดินแดนและเป็นสถานที่ที่ไข่มุกเลี่ยงวารีเคยปรากฏตัวขึ้นมา
ชายฝั่งทางเหนือเต็มไปด้วยชาวพื้นเมืองที่ทรงพลังอย่างยิ่ง คนเหล่านั้นใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่นและแทบไม่เคยเหยียบเข้ามาในแผ่นดินใหญ่ โดยปกติแล้ววิกฤตใด ๆ ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรทางเหนือมักจะถูกสะสางโดยชาวพื้นเมืองเหล่านั้นและจะไม่ทำให้เกิดปัญหามาถึงแผ่นดินใหญ่
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ มีสิ่งที่แปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น
ชาวพื้นเมืองของชายฝั่งทางเหนือหายตัวไปเรื่อย ๆ โดยไม่อาจทราบได้ว่าหายไปที่ใด นอกจากนี้ ในมหาสมุทรทางเหนือก็ยังมีพลังประหลาดบางอย่างที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ ราวกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นมา
เดิมที ชาวพื้นเมืองเหล่านั้นได้วางแผนที่จะสะสางปัญหานี้ด้วยตัวเอง ทว่าจู่ ๆ พวกเขาเหล่านั้นก็หายตัวไปอย่างต่อเนื่องทีละคน ๆ ซึ่งก่อให้เกิดความแตกตื่นอย่างรุนแรง เมื่อไม่ได้ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และผู้ที่ถูกส่งออกไปในเบื้องลึกของมหาสมุทรก็ไม่ได้กลับมาอีก ความแตกตื่นเหล่านั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว เมื่อถึงคราวจนปัญญา พวกเขาจึงส่งสาส์นมาหาขุมกำลังใหญ่ของดินแดนเพื่อขอความช่วยเหลือ
สามสำนักได้รับข่าวพร้อมกันในขณะที่นิกายเมฆาล่องลอยเป็นขุมกำลังแรกในเก้านิกายที่ได้ทราบข่าว หลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งสาส์นไปยังขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ทั้งหมดเพื่อเชิญให้ผู้นำของขุมกำลังเหล่านั้นเดินทางไปที่นิกายเมฆาล่องลอยเพื่อหารือวางแผนกันต่อไป
แม้ชายฝั่งทางเหนือดูเหมือนจะห่างไกลไปจากแผ่นดินใหญ่ แต่มันก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนมหาเทพ เมื่อเกิดเรื่องร้ายใดขึ้นที่นั่น ขุมกำลังในแผ่นดินใหญ่ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะเหตุนั้น สามสำนักและเก้านิกายจึงเรียกประชุมกันอย่างเร่งด่วนเพื่อหารือถึงวิธีการรับมือกับปัญหานี้
นิกายเมฆาล่องลอยตั้งอยู่ไม่ไกลจากนิกายหมื่นบุปผามากนักและฮวาฟางเฟยใช้เวลาสามวันในการเดินทางมาถึงนิกายเมฆาล่องลอย นอกเหนือจากนาง จ้าวนิกายอื่น ๆ ก็มาถึงแล้วเช่นกัน
“สาเหตุที่ข้าเชิญทุกคนมาที่นิกายเมฆาล่องลอยก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับชายฝั่งทางเหนือ ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความคิดเห็นกันอย่างไร ?”
มู่หลิวอวิ๋น—จ้าวนิกายของนิกายเมฆาล่องลอยผู้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักกวาดสายตามองผู้นำของขุมกำลังอื่น ๆ ทีละคนขณะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างคร่าว ๆ และรอฟังคำตอบจากทุกคน