คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 98 เหตุใดจึงฆ่าไม่ได้
“ผู้ที่สมควรตายมันคือเจ้ามิใช่รึ ?”
น้ำเสียงอันแสนเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกันกับที่ร่างร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาขัดขวางการโจมตีของลิ่วรุ่ย
ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น ทุกคนก็รู้สึกโล่งอกและอดยิ้มออกมาไม่ได้
เสี่ยวโร่วกำลังจะทำลายแผ่นป้ายและคิดว่าปีนี้คงจะไม่ได้เข้าไปเรียนพร้อมกับคุณหนูของนางแล้ว ทว่าก่อนที่สาวน้อยจะได้ทำลายป้ายแล้วสอบตก คุณหนูของนางก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
ตลอดการเดินทางเพราะไม่ได้พบเจอหรือได้ยินข่าวคราวของเสี่ยวโร่วเลย ฉินอวี้โม่จึงรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
และในทันทีที่นางล่วงเข้าสู่พื้นที่บริเวณนี้ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังที่รุนแรงมากอยู่ไม่ไกล นางจึงรู้ว่าเบื้องหน้าจะต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นแน่ และถ้าหากการคำนวณของนางไม่ผิดพลาดนี่ก็คือจุดนัดพบของนางและเหล่าสหาย ฉินอวี้โม่จึงรีบตรงเข้ามาอย่างไม่ลังเล
เมื่อเข้ามาถึง ฉินอวี้โม่ก็ได้เห็นเข็มที่เสี่ยวโร่วสร้างขึ้นมาจากพลังมายาพุ่งตรงเข้าใส่ลิ่วรุ่ยจนทำให้เขาบาดเจ็บ ซึ่งลิ่วรุ่ยที่โกรธจัดก็พุ่งเข้าโจมตีสาวใช้น้อยในทันที ภาพที่เสี่ยวโร่วกำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตกระตุ้นให้ฉินอวี้โม่พุ่งเข้าไปปัดป้องโดยไม่ต้องคิด
นางไม่อยากจะคิดเลยว่าหากว่านางช้ากว่านี้อีกเพียงก้าวเดียว เสี่ยวโร่วก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ความตายไปแล้ว
ถึงสาวน้อยจะทำลายแผ่นป้ายแต่ก็ยังเหลือเวลาอยู่ชั่วอึดใจ ซึ่งนั่นก็จะเป็นช่องเปิดของเวลาที่มากเพียงพอให้ลิ่วรุ่ยโจมตีได้ก่อนที่นางจะถูกส่งออกไป
“คุณหนู ?!”
เสี่ยวโร่วที่ยืนโงนเงนเพราะพลังเหือดหายไปจนหมดเบิกตากว้าง ถึงจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองแต่ก็ดีใจเป็นล้นพ้นที่ได้เห็นสตรีผู้เป็นที่รักในยามวิกฤตเช่นนี้
“ออกไปจากตรงนี้ก่อน ไปรอดูคุณหนูของเจ้าสั่งสอนเจ้าคนต่ำช้าผู้นี้ !”
คุณหนูผู้ขุ่นเคืองกล่าวกับสาวใช้น้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่ากระแสเสียงหวานนั้นกลับเจือไปด้วยความโกรธอย่างปิดไม่มิด เยว่ชิงเฉิงรีบวิ่งเข้ามาและพยุงเสี่ยวโร่วออกไปอยู่ด้านข้าง นางและสหายทั้งหมดสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายจากสภาวะพลังของสหายสาวตระกูลฉินไม่ได้ด้อยไปกว่าลิ่วรุ่ยเลยสักนิด ฉินอวี้โม่เป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง จากระดับพลังที่นางสัมผัสได้อยู่ในตอนนี้ก็นับว่าสาวงามตระกูลใหญ่ก้าวหน้าได้รวดเร็วจนน่าตกตะลึง
อย่างไรก็ตาม หากฉินอวี้โม่ล่วงรู้ว่าสหายทั้งหลายของนางคิดเช่นนั้นก็คงรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน เพราะแท้จริงแล้วที่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูมีพลังมากถึงเพียงนี้เป็นเพราะนางสวมเกราะอสูรของซิวอยู่ นางเองก็ไม่คิดว่าหลังจากใช้ทักษะอสูรเสริมร่างกับซิวแล้วพลังของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเช่นนี้
ในตอนนี้พลังของฉินอวี้โม่เทียบได้กับจอมยุทธ์ในขอบเขตมายาบรรพชนเป็นการชั่วคราวแล้ว
“ฉินอวี้โม่ ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที !”
เมื่อพบว่าการโจมตีของตนถูกสกัดเอาไว้โดยใครบางคน คราแรกลิ่วรุ่ยก็โกรธจัด ทว่าหลังจากมองดูให้ชัด ๆ แล้ว เขาก็พบว่าคนผู้นั้นเป็นฉินอวี้โม่ ดรุณีที่เขาต้องการสังหาร รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าอาวุโสของเขาในทันที จุดประสงค์ที่เขาต้องลงทุนใช้พลังเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เพื่อลวงตาผู้อื่นจนสามารถเข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ได้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการปลิดชีวิตสตรีตรงหน้าเซ่นสังเวยวิญญาณบุตรชายที่รัก ขอเพียงสังหารฉินอวี้โม่ได้ หลังจากนั้นค่อยหาทางจัดการกับหานโม่ฉือ เพียงเท่านี้เขาก็สะสางความแค้นให้กับลิ่วเยว่บุตรชายได้แล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าฉินอวี้โม่คงจงใจซ่อนตัว สตรีน้อยผู้นี้คงจะไม่กล้าเปิดเผยตัวเมื่อทราบว่าผู้นำของคนจากอารามคือเขาเองเป็นแน่ แต่ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นสตรีที่โง่งมจนเดินเข้ามาหาความตายง่าย ๆ เช่นนี้ นี่ทำให้ลิ่วรุ่ยรู้สึกสาสมใจเหลือเกิน
“มีคนกล่าวเอาไว้ว่าหากจะดูบุตรชายให้ดูบิดาของเขา เรื่องนี้ไม่ผิดเลย ผู้อาวุโสสองแห่งอารามช่างเป็นคนน่ารังเกียจและต่ำช้าไม่ต่างจากบุตรชายของเจ้าเลยจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่สาดวาจาเสียดสีเข้าใส่บุรุษผู้มีตำแหน่งเป็นถึงอาวุโสสองแห่งอาราม
“ว่าไงนะ ! เจ้ากล้าว่าข้าผู้นี้น่ารังเกียจอย่างนั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินวาจาถากถางอย่างจงใจไม่ปิดบังของสตรีรุ่นหลาน ลิ่วรุ่ยก็โกรธแค้นเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้ยินจากปากของผู้ที่ทำให้บุตรชายของเขาต้องตาย บิดาผู้รักบุตรชายยิ่งกว่าชีวิตก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชังและเคียดแค้น
“ฮ่า ๆ ไม่ใช่แค่น่ารังเกียจธรรมดานะ แต่น่ารังเกียจเป็นที่สุด เจ้าอยู่ดูโลกมาก็นาน ฝึกฝนพลังในฐานะจอมยุทธ์มาหลายปี แต่กลับนำเอาพลังที่เหนือกว่ามาข่มเหงคนรุ่นเยาว์ที่อ่อนแอกว่าเช่นนี้ก็ยิ่งกว่าเป็นตาเฒ่าหน้าไม่อายเสียอีก”
ฉินอวี้โม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยและรอยยิ้มเย็นชา ทันใดนั้นเสียงของนางก็แปรเปลี่ยนไป คุณหนูคนงามแสร้งบีบเสียงให้อ่อนหวานลงหลายส่วน ทว่าถ้อยคำที่ออกมาจากปากของนางกลับไม่ได้หวานหูเลยสักนิด
“ผู้อาวุโสสองแห่งอาราม ถ้าข้าฟังมาไม่ผิด อายุของท่านน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยปีแล้วกระมัง บุตรชายของท่านอายุเพียงยี่สิบ ข้าจึงเกิดความสงสัยเล็กน้อย ผู้อาวุโสกรุณาช่วยไขข้อข้องใจเล็ก ๆ ของข้าได้หรือไม่ว่า ลิ่วเยว่นั้นเขาใช่บุตรของท่านจริง ๆ หรือ ? ”
วาจาที่ฉินอวี้โม่กล่าวออกมา แม้ว่าจะไม่ใช้คำพูดที่ชัดเจน แต่ก็สื่อความหมายและเจตนาของนางดี และลิ่วรุ่ยที่เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งขุมกำลังใหญ่ก็เข้าใจในความหมายนั้น เวลานี้ลิ่วรุ่ยอายุเป็นร้อยปีแล้ว ตอนที่บุตรชายของเขาถือกำเนิดนั้นเขามีอายุย่างเก้าสิบปีแล้ว นั่นหมายความว่าช่วงที่ภรรยาของเขาตั้งท้องเขาก็มีอายุแปดสิบกว่า ซึ่งโดยปกติทั่วไปจะเป็นวัยที่แทบไม่มีโอกาสมีทายาทได้เลย
เหล่าสหายของฉินอวี้โม่และกลุ่มคนที่เฝ้าดูอยู่นั้น เมื่อได้ยินวาจาของสตรีตระกูลฉินก็เข้าใจความหมายของนางเช่นกัน พวกเขาหัวเราะลั่นอย่างขบขันและยกยิ้มอย่างมีเลศนัยไปตาม ๆ กัน
หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของอารามผู้เข้าสอบทั้งหลายที่กำลังยืนดูการต่อสู้อยู่โดยรอบก็คงเข้ามารุมเล่นงานผู้อาวุโสสองผู้น่ารังเกียจแห่งอารามผู้นี้ไปนานแล้ว
“นี่เจ้ากล้าหยามข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ ?”
ใบหน้าของลิ่วรุ่ยเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำไปทันที เขาโกรธจนแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่
ฉินอวี้โม่ยิ้มและไม่ปฏิเสธ
“ฮ่า ๆ ไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสสองแห่งอารามจะฉลาดกว่าบุตรชายอีกนะเนี่ย”
“เจ้า ! นังเด็กสารเลว หาที่ตายแล้ว !”
ผู้อาวุโสสองตะโกนก้องอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี้โม่และเตรียมซัดฝ่ามือจู่โจม
“ก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถพอจะทำได้หรือไม่”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นและเบี่ยงร่างหลบในพริบตา
อดีตนักฆ่าสาวชักกระบี่ที่เป็นถึง ‘อาวุธอสูรแปรสภาพ’ ของซิวออกมาและโจมตีตอบโต้ผู้อาวุโสสองในทันที
ซิวบอกเอาไว้ว่ากระบี่เล่มนี้ไร้เทียมทาน ไม่ต้องกล่าวถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชน เพราะต่อให้อยู่ระดับที่สูงกว่านี้ก็ยังไม่สามารถป้องกันการโจมตีของมันได้อย่างสมบูรณ์
— ฉึก ! —
เดิมทีลิ่วรุ่ยคิดว่าฉินอวี้โม่คงไม่สามารถโจมตีผ่านม่านพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของตนได้ ทว่าเขากลับต้องตกตะลึง เมื่อพบว่ากระบี่ของสตรีจองหองที่เขาชังนักหนาสามารถผ่านม่านพลังของเขามาได้ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดขวางกั้น กระบี่คมปลาบเฉือนเข้าที่ไหล่ของเขาจนเลือดสาดกระจาย หากว่าเขาหลบช้ากว่านี้อีกเพียงเสี้ยวลมหายใจ เขาก็คงจะเสียแขนข้างนั้นไปแล้ว
“โอ้ ! ตอบสนองได้เร็วดีนี่”
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของฉินอวี้โม่ ก่อนที่นางจะซัดพลังโจมตีลิ่วรุ่ยต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หยุดพัก
หลังจากใช้ทักษะอสูรเสริมร่างโดยอาศัยการผสานพลังจากซิวแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่าพลังในร่างกายของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่เพียงแต่พลังในทุก ๆ ด้านแต่ยังรวมถึงความเร็วที่กลายเป็นสูงส่งจนน่ากลัว แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของลิ่วรุ่ยในสายตานางเวลานี้ก็ยังดูคล้ายจะเชื่องช้ามากเกินไปเสียด้วยซ้ำ
‘เหอ ๆ นายหญิง ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ นี่เป็นเพียงพลังส่วนหนึ่งของข้าเท่านั้น หากว่าข้าเป็นผู้ต่อสู้ด้วยตัวเอง รับรองเลยว่าถึงจะใช้เพียงนิ้วเดียวก็จัดการเขาได้’
น้ำเสียงที่ยังคงหลงตัวเองไม่เปลี่ยนของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่
คุณหนูตระกูลฉินยิ้ม ถึงแม้นางจะมีความตั้งใจที่จะพึ่งพาซิวให้น้อยที่สุด ทว่าเพราะเหตุการณ์ในวันนี้อยู่ในระดับวิกฤตอย่างแท้จริง ดังนั้นฉินอวี้โม่จึงไม่ลังเลที่จะยืมพลังของซิวมาช่วย ยิ่งกว่านั้นนางยังมีก้อนกลมที่หานโม่ฉือให้มาอยู่ติดกายซึ่งนั่นก็ช่วยให้นางยิ่งรู้สึกอุ่นใจไม่น้อย
“กระบี่เล่มนั้นมันอะไรกัน ?!”
ลิ่วรุ่ยมองกระบี่ในมือของฉินอวี้โม่ด้วยความตื่นตะลึง ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ แม้แต่เสียงอุทานก็ยังแหบพร่าแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ผู้อาวุโสสองแห่งอารามไม่เคยคาดคิดว่าสตรีปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตรงหน้าจะมีอาวุธที่ร้ายกาจเพียงนี้ได้
เขารู้สึกได้ว่ากระบี่เล่มนั้นมันมีพลังอันแปลกประหลาด สิ่งที่เกิดเมื่อครู่ราวกับว่ามันสามารถเพิกเฉยต่อม่านพลังป้องกันของเขาได้ ที่สำคัญมันยังทำให้ม่านพลังที่ยากจะหาผู้ทำลายกลายเป็นเพียงอากาศไปได้โดยสมบูรณ์
“มันคืออะไรนั้นไม่สำคัญ แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่า กระบี่เล่มนี้สามารถตัดศีรษะของเจ้าได้ง่าย ๆ”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปอย่างมาดมั่น
“เหอะ เช่นนั้นข้าคงต้องเอาจริงแล้ว !”
ลิ่วรุ่ยเปล่งเสียงอย่างเย็นชาพลางชักกระบี่ยาวสีดำออกมา นัยน์ตาของเขาคล้ายกับมีเปลวเพลิงปะทุขึ้นอย่างน่าหวาดหวั่น
“รีบเอาจริงก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาส”
ฉินอวี้โม่ตอบโต้เสียงไม่ดังไม่เบา ดวงตาเนื้อทรายจับจ้องไปที่กระบี่ยาวในมือลิ่วรุ่ย นางสัมผัสได้ถึงพลังแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในแฝงเร้นอยู่ในกระบี่เล่มนั้น
‘หือ ? นั่นมันพลังธาตุมืด’
เสียงของซิวดังขึ้นราวกับมันเองก็รู้สึกถึงพลังที่อยู่ในกระบี่เล่มนั้น
‘เจ้ารู้จักมันหรือ ?’
เมื่อได้ยินเสียงของซิวปรากฏตัวในห้วงจิต ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
‘อืม ดูเหมือนว่าคนจากอารามที่ว่านี่จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว พวกมันกล้าติดต่อกับคนพวกนั้น หึ ! ช่างน่าขำจริง ๆ คำว่าอารามสื่อถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดีงาม แต่พวกมันที่กระทำต่ำช้าเพียงนี้ยังกล้าเรียกขุมกำลังตัวเองว่าอาราม’
ซิวด่าทออารามด้วยความเหยียดหยามก่อนจะกล่าวต่อ ‘เรื่องนี้ไว้รอนายหญิงทะลวงเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเสียก่อนแล้วข้าจะบอกท่านอีกครั้ง เวลานี้ท่านต้องรวบรวมสมาธิสู้กับคนตรงหน้า อีกฝ่ายไม่ใช่คนดี รวมทั้งอารามของมันด้วย ท่านไม่จำเป็นต้องยั้งมือหรือใจอ่อน’
ฉินอวี้โม่เข้าใจดีว่าซิวไม่ต้องการอธิบายให้มากความในตอนนี้ นางจึงพยักหน้าและไม่ถามสิ่งใดอีก
“หึ ! ของเล่นในมือเจ้ายังอ่อนหัดนัก ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่าอาวุธที่แท้จริงเป็นเช่นไร !”
ลิ่วรุ่ยแค่นเสียงเย็นชาพลางเสือกแทงกระบี่เล่มใหญ่เข้าใส่ฉินอวี้โม่
‘ฮึ่ย ตัดกระบี่นั่นซะ กล้าดียังไงมาเทียบชั้นกับข้า !’
วาจาสบประมาทนั้นทำให้ซิวหงุดหงิดขึ้นมาทันที อีกฝ่ายกล้าดูถูกอาวุธระดับสุดยอดในมือนายหญิงก็เท่ากับดูถูกมันซึ่ง ๆ หน้า บุรุษใกล้ชราหน้าตายผู้นี้รนหาที่ตายแล้ว
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำของซิวแล้วใช้กระบี่ในมือฟันเข้าใส่กระบี่ของลิ่วรุ่ย
— เคร๊ง ! —
กระบี่ที่เป็นร่างแปรสภาพของซิวปะทะกับกระบี่ยาวสีดำของผู้อาวุโสสองแห่งอารามจนเกิดเสียงดังสนั่น กลุ่มก้อนพลังสะท้อนกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าพลังมายาภายในร่างกายถึงกับหยุดชะงักไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วอึดใจมันก็กลับมาไหลเวียนเหมือนเช่นปกติ
เมื่อมองดูกระบี่ยาวสีดำของลิ่วรุ่ยอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี กระบี่เล่มนั้นมีไอพลังสีดำชวนขนลุกลอยคละคลุ้งวนเวียนอยู่ตลอดเวลา
หลังจากปะทะกันกว่าหลายสิบกระบวนท่า อดีตนักฆ่าสาวก็ยังคงพบว่าตนเองไม่ได้เปรียบอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกกดดันขึ้นมา
พลังธาตุมืดที่แฝงอยู่ในดาบเล่มนั้นทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด ทว่าสิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อใดก็ตามที่สัมผัสกับมัน พลังแห่งความมืดก็จะแทรกซึมเข้ามาภายในร่างกายของผู้สัมผัสทันที และถ้าหากมันเข้ามาได้พลังมายาที่มีอยู่ทั้งหมดก็จะถูกผนึกไว้ชั่วขณะ นี่ทำให้ฉินอวี้โม่ตอบสนองได้ช้า ขณะเดียวกันความกล้าหาญในจิตใจของนางก็ลดฮวบลงไปอย่างน่าใจหาย
การต่อสู้ของลิ่วรุ่ยและฉินอวี้โม่เป็นไปอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี ในตอนนี้ยังไม่มีฝ่ายใดที่ได้เปรียบ และเมื่อเห็นว่าหากยังคงต่อสู้พัวพันกันต่อไปก็คงจะไม่รู้ผลทั้งสองฝ่ายจึงถอยออกห่างจากกันเพื่อปลดปล่อยนภายุทธ์
“ทักษะนภายุทธ์: หมอกทมิฬโอบล้อม !”
ในตอนนั้นเอง กระบี่ในมือของลิ่วรุ่ยก็ปลดปล่อยหมอกสีดำจำนวนมากออกมา ไม่นานนักมันก็เข้าปกคลุมร่างบางของฉินอวี้โม่ไว้ทั้งหมด
“หึ ! หมอกทมิฬของข้ามีคุณสมบัติพิเศษและยังมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง ขอเพียงสัมผัสถูกมันพลังมายาของเจ้าก็จะถูกผนึก และหากยังคงถูกมันล้อมร่างเอาไว้เช่นนี้ไม่นานร่างกายของเจ้าก็จะเน่าเปื่อยจนตายในที่สุด !”
ลิ่วรุ่ยกล่าวขึ้นมาอย่างโล่งอกปนสะใจ ตอนนี้เขายืนปักหลักอยู่กับที่และไม่มุ่งหน้าโจมตีผู้ใดอีก
ในตอนนี้ ทัศนียภาพรอบตัวฉินอวี้โม่ถูกหมอกดำหนาทึบบดบังไปจนหมดสิ้นแล้ว เวลานี้นางไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ และก็แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดมองเห็นนางด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินวาจาของลิ่วรุ่ย บนใบหน้าของเสี่ยวโร่วและสหายคนอื่น ๆ ก็เต็มไปด้วยแววแห่งความกังวลและร้อนรน เสี่ยวโร่วเตรียมพุ่งไปข้างหน้า นางอยากจะรู้ว่าคุณหนูของนางปลอดภัยหรือไม่และต้องการจะเข้าไปช่วย
“อย่าห่วงเลย เจ้าต้องเชื่อในคุณหนูของเจ้า !”
เมื่อเห็นการกระทำของเสี่ยวโร่ว องค์ชายฉีอวี้ก็พุ่งออกไปขัดขวางสาวน้อยเอาไว้ทันที
บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์รู้สึกได้ว่าฉินอวี้โม่จะต้องไม่เป็นอะไร เขาเชื่อมั่นในตัวสหายโฉมงามแสนเก่งกาจผู้นี้อย่างไร้เงื่อนไขมาโดยตลอด และในครั้งนี้เขาก็ยังคงเชื่อว่านางจะรอดพ้นอันตรายนี้ได้
ลั่วอวิ๋นคือคนที่สงบที่สุด เขายังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในป่าแสงจันทร์เมื่อครั้งเข้าไปชิงผลหลิวหลีได้ ฉินอวี้โม่มีอสูรมายาแห่งโชคชะตาที่ทรงพลังและน่าเกรงกลัวอยู่ด้วย ขอเพียงแค่นางเรียกมันออกมาก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
“เสี่ยวโร่ว เจ้าลืมแล้วหรือว่าคุณหนูของเจ้ามีอสูรมายาแห่งโชคชะตา ?”
ลั่วอวิ๋นเดินไปหาเสี่ยวโร่วและกระซิบบอกนาง
ทันทีที่ได้ยินสาวใช้น้อยก็รู้สึกเบาใจลงไปมาก ใช่แล้ว นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท คุณหนูของนางมีอสูรมายาที่น่ากลัวนั่นอยู่ด้วย !
เมื่อเห็นว่าหมอกทมิฬห่อหุ้มร่างของฉินอวี้โม่มาได้ระยะหนึ่งโดยไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย หัวใจของลิ่วรุ่ยก็เต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก เขารู้สึกว่าสถานการณ์มันไม่เป็นตามที่เขาคาดคิด คล้ายกับว่าในตอนนี้มีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ตามหลักแล้วหมอกอันตรายพวกนั้นควรจะแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของฉินอวี้โม่จนหมดสิ้นและทำให้นางเจ็บปวดทรมานก่อนที่ร่างเล็ก ๆ นั่นจะเหลือเพียงซากเน่าเปื่อยให้ดูต่างหน้าถึงจะถูก
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นคือทั้งหมดที่เจ้ามีแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะหวานใสของฉินอวี้โม่ก็ดังออกมาจากกลุ่มหมอกหนา
ในตอนนั้นเองที่ทุกคนเห็นว่าหมอกสีดำไหลเข้าไปในร่างบางของสาวงามตระกูลฉินอย่างรวดเร็วโดยไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอยให้พบเห็น คุณหนูสี่ตระกูลใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาอย่างช้า ๆ ใบหน้างามยังคงงามล้ำดังเช่นก่อนหน้า
ในตอนนี้ร่างกายของฉินอวี้โม่ไร้รอยขีดข่วนใด ๆ แม้แต่อาการเหน็ดเหนื่อยหรืออ่อนล้าจากการต่อสู้ก็ไม่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่แต่เพียงเสมือนนางไม่ได้รับผลจากหมอกพิษนั้น แต่ยังราวกับนางเพิ่งตื่นนอนในยามเช้าอันแสนสดชื่น
เมื่อครู่ซิวบอกกับฉินอวี้โม่ให้ปล่อยหมอกสีดำไหลเข้าสู่ร่างกาย เพราะกายเทพมายาสามารถทำให้หมอกมืดนั้นหลอมรวมเข้ากับร่างกายนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นกายเทพมายายังสามารถดูดกลืนพลังของมันมาเป็นของตัวเองได้ด้วย ดังนั้นนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูจึงยินยอมให้หมอกอันตรายไหลเข้าสู่ร่างกายของตนโดยไม่ต่อต้าน
“ไม่มีทาง ทำไมเจ้าถึงไม่เป็นอะไรเลย ?!”
ลิ่วรุ่ยมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าและแววตาที่หวาดหวั่น
“ฮ่า ๆ ในเมื่อเจ้าใช้นภายุทธ์ไปแล้ว ก็เป็นทีข้าได้ทดสอบนภายุทธ์ของข้าบ้าง”
ฉินอวี้โม่หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงอ่อนหวานแต่หนักแน่น
“ทักษะนภายุทธ์: เปลวเพลิงเริงระบำ !”
สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่ ทุกผู้คนในที่แห่งนั้นก็มองเห็นเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นข้างกายของลิ่วรุ่ยก่อนที่จะโอบล้อมร่างของเขาเอาไว้
“อ๊ากกก~”
เมื่อ จู่ ๆ ร่างของตนก็ถูกเปลวเพลิงร้อนแรงล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา ลิ่วรุ่ยก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาน บุรุษอาวุโสพยายามทำทุกวิถีทางที่จะหยุดยั้งมันเอาไว้ อย่างไรก็ตาม เขากลับพบว่าพลังทั้งหมดของตนเองถูกผนึกเอาไว้ทำให้ในตอนนี้ผู้มีตำแหน่งยิ่งใหญ่จากอารามไม่เหลือหนทางต่อต้านได้เลย
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ! ข้าเป็นผู้อาวุโสสองแห่งอารามอันยิ่งใหญ่ !”
ขณะที่ถูกเปลวเพลิงล้อมกายอยู่นั้น ความร้อนแห่งพลังมายาก็ทำให้แผ่นป้ายผู้เข้าสอบของลิ่วรุ่ยถูกหลอมละลายไปทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ทำลายมันและหนีรอดออกไปภายนอกได้
“ฮ่า ๆ ๆ แค่ผู้อาวุโสคนหนึ่งของอาราม เหตุใดข้าจะฆ่าไม่ได้ล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยคำเย้ยหยันเสียงดัง วาจาของนางไม่ไว้หน้าผู้ใดแม้แต่น้อย
.