คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 981 ฮวาหรงบาดเจ็บสาหัส
หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ก็เดินหน้าขึ้นไปบนยอดเขาโดยที่เงามืดปรากฏตัวขึ้นมาหลายครั้งหลายครา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเพลิงแห่งชีวิตอันทรงพลังของซิวอยู่ เงาทะมึนดังกล่าวจึงทำอันตรายใด ๆ ต่อนางไม่ได้ หลังจากความพยายามหลายครั้งล้มเหลวไม่เป็นผล มันก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไปและสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขาของภูเขาจันทรามากเพียงใด ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ประหลาดมากเพียงนั้นและนั่นทำให้นางหวั่นใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกและท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างมากขึ้น หมอกหนารอบตัวก็จางหายไปทีละน้อยจนสามารถมองเห็นพื้นที่รอบตัวได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้ฉินอวี้โม่มาถึงพื้นยกสูงบนยอดเขาแล้ว และเนื่องจากไม่มีร่องรอยของอสูรมายาหรือจอมยุทธ์คนอื่น ๆ บรรยากาศจึงเงียบสงบอย่างมาก
“นายหญิง กลิ่นอายที่ชั่วร้ายนั่นหายไปแล้ว”
จู่ ๆ กลิ่นอายที่แปลกประหลาดนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน ภูเขาจันทราแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งพิลึกอย่างแท้จริง ราวกับว่ากลิ่นอายนั้นจะปรากฏเพียงในยามค่ำคืนและไม่หลงเหลือร่องรอยใด ๆ ในยามกลางวัน
“สำรวจดูรอบ ๆ กันเถอะ”
เมื่อท้องฟ้าสว่างแล้วทว่ายังไม่พบฮวาหรง ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เงามืดนั้นน่าสะพรึงกลัวจนเกินไป แม้ฮวาหรงจะมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา แต่นางก็อาจรับมือกับมันไม่ได้
หลังจากเดินสำรวจไปรอบ ๆ บริเวณยอดเขา ฉินอวี้โม่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดและไม่พบเห็นร่องรอยใด ๆ ของฮวาหรงเช่นกัน จากนั้นนางจึงตัดสินใจเดินลงจากภูเขาและกลับไปที่โรงเตี๊ยม
ฉินอวี้โม่กลับลงมาจากภูเขาจันทราอย่างรวดเร็วและครานี้นางก็สวนทางกับจอมยุทธ์หลายคนในระหว่างทาง
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ลงมาจากยอดเขาในตอนเช้าตรู่ คนเหล่านั้นก็แสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างชัดเจน การเอาตัวรอดบนยอดเขาของภูเขาจันทราในตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากเพียงใดกัน…
ฉินอวี้โม่เมินเฉยต่อสายตางุนงงและสงสัยของคนเหล่านั้นขณะมุ่งหน้าต่อไปตามทางของตนและกลับไปยังโรงเตี๊ยมในเมือง
ภายในโรงเตี๊ยม ศิษย์พี่นามว่า ‘สิงโยว’ ผู้ซึ่งเดินทางมาด้วยกันก็กำลังรออยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินกลับมา นางก็รีบก้าวออกมาข้างหน้าและจับแขนฉินอวี้โม่ด้วยประกายความหวังในแววตาราวกับได้พบผู้กอบกู้ที่กำลังตามหา “ศิษย์น้องอวี้โม่ ท่าไม่ดีแล้ว เกิดเรื่องบางอย่างกับผู้คุมกฎฝั่งขวา”
เช้าตรู่ของวันนี้ ฮวาหรงกลับมาที่โรงเตี๊ยมในสภาพที่เต็มไปด้วยบาดแผลและลมหายใจก็อ่อนแอเต็มที ก่อนที่จะได้กล่าวสิ่งใด นางก็หมดสติไปเสียก่อนและจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นสติกลับคืนมา
พวกนางมิใช่ศิษย์หลักของนิกาย เมื่อฮวาหรงหมดสติไป พวกนางจึงไม่มีหลักที่พึ่งและหัวใจปั่นป่วนกันอย่างมาก
หนึ่งในศิษย์ของนิกายออกไปตามหมอมาดูตรวจอาการของฮวาหรงในขณะที่สิงโยวมารอฉินอวี้โม่อยู่หน้าโรงเตี๊ยม นางตระหนักดีว่าในบรรดาศิษย์ทุกคนที่เดินทางมาในครานี้ ฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่มีการตัดสินใจที่เฉียบขาดและมีไหวพริบดีที่สุด เพราะฉะนั้น ฉินอวี้โม่จะต้องทราบแน่ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะเข้าไปตรวจดูอาการของนางเอง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวเพื่อมิให้สิงโยวกังวลอีกต่อไปขณะเดินเข้าไปยังห้องพักของฮวาหรงอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องนั้น ฮวาหรงนอนอยู่บนเตียงในสภาพที่ใบหน้าซีดเซียวและลมหายใจรวยริน เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส เวลานี้ดวงตาของนางก็ปิดสนิทและยังไม่มีวี่แววว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมา สถานการณ์ของนางจึงดูไม่สู้ดีนัก
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นรึ ? เหตุใดท่านผู้คุมกฎฝั่งขวาจึงได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้ ?”
ศิษย์นอกคนหนึ่งอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ การที่ฉินอวี้โม่ปลอดภัยดีและกลับมาโดยไม่มีสิ่งใดผิดปกติในขณะที่ฮวาหรงบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ทำให้ทุกคนแปลกใจกันอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่มีความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่าฮวาหรง แล้วเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ?
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ผู้คุมกฎฝั่งขวาและข้าแยกกันในระหว่างทาง ข้าไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ศิษย์พี่รอท่านผู้คุมกฎฟื้นก่อนเถอะเจ้าค่ะ และเราจะได้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาขณะก้าวออกไปข้างหน้าและตรวจดูอาการบาดเจ็บของฮวาหรง
ฮวาหรงมีบาดแผลทั่วร่างกายทว่าดูไม่สาหัสนัก เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงมั่นใจว่าบาดแผลตามร่างกายมิใช่สาเหตุที่นางหมดสติไป
ฉินอวี้โม่ได้แผ่พลังวิญญาณเข้าไปในร่างกายของฮวาหรงและพบว่าพลังมายาในร่างของอีกฝ่ายหายไปจนเกือบหมด อีกทั้งยังมีพลังงานสีดำประหลาดล้อมรอบจุดตันเถียนของนางอยู่และกำลังดูดกลืนพลังมายาภายในร่างกายของนางอย่างช้า ๆ
“พลังงานสีดำนั่นคือต้นเหตุของปัญหานี้”
เสียงของบุปผาแห่งแสงดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และยืนยันว่าพลังงานสีดำที่แปลกประหลาดคือสาเหตุที่ฮวาหรงยังคงหมดสติจนถึงตอนนี้
“นายหญิง สตรีนางนี้มีจิตใจชั่วร้ายและหมายหัวเล่นงานท่านมาตลอด หากถามความเห็นของข้า…เราควรจะเพิกเฉยต่อนางและปล่อยให้นางรักษาตัวเองไปเถอะ”
เสี่ยวเฮยกล่าวออกมาและเห็นได้ชัดว่ามันไม่รู้สึกถูกชะตากับฮวาหรงแม้แต่น้อย
อสูรอื่น ๆ ก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน พวกมันเชื่อว่าผู้ที่เป็นศัตรูแล้วไม่มีทางกลับใจหรือเป็นสหายกันได้อีก เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือนาง
“นางมิใช่ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อข้าหรอก และตอนนี้ข้าก็ยังปล่อยให้นางตายไปไม่ได้ ข้าอยากรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและปฏิเสธทันที นางตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตฮวาหรงให้หายดีก่อน
ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อย่างมาก หากพิจารณาจากสิ่งที่เห็น คาดว่าฮวาหรงคงจะเผชิญกับการต่อสู้อย่างดุเดือดกับเงามืดนั้นและนางอาจทราบบางสิ่งบางอย่างก็เป็นได้
ตอนนี้นางพิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบนภูเขาจันทรามิใช่แผนการของฮวาฟางเฟยและฮวาหรงในการกำจัดตน ทว่าสถานการณ์ก็ยังคงแปลกประหลาดเกินเข้าใจ
พลังแห่งแสงถูกถ่ายเทเข้าไปในร่างกายของฮวาหรงและประจันหน้ากับพลังงานสีดำที่กัดกินข้างในร่างกาย พลังงานสีดำนั้นดูอ่อนแอ ทว่าอัดแน่นไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว แม้แต่พลังแห่งแสงจากฉินอวี้โม่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ง่าย ๆ
“ช่างเป็นพลังที่น่าขนลุกยิ่งนัก แม้แต่พลังแห่งแสงที่บริสุทธิ์ยังชำระล้างมันไปไม่ได้”
บุปผาแห่งแสงประหลาดใจเล็กน้อย พลังแห่งแสงของมันไม่สามารถครอบงำพลังงานสีดำในร่างกายของฮวาหรงได้ในเวลาสั้น ๆ และถือเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจยิ่งนัก
จากนั้นพลังของทั้งสองฝั่งก็ต่อกรกันภายในร่างกายของฮวาหรงโดยที่ยังไม่มีฝ่ายใดเอาชนะได้เป็นพักใหญ่ ส่งผลให้นางส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาเบา ๆ
ท้ายที่สุด พลังของบุปผาแห่งแสงก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบและปัดเป่าพลังงานสีดำไปได้อย่างสิ้นเชิง จากนั้นฮวาหรงก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น ?”
ฮวาหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในเวลานี้พลังมายาทั่วทั้งร่างของนางแทบจะไม่มีเหลือและนั่นทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งขวาเจ้าคะ ท่านหมดสติไปที่หน้าโรงเตี๊ยมเมื่อเช้านี้ เราช่วยพาท่านเข้ามาพักที่นี่ และศิษย์น้องอวี้โม่ก็เป็นคนช่วยท่านไว้เจ้าค่ะ”
สิงโยวกล่าวอธิบายเรื่องราวอย่างคร่าว ๆ
“เจ้าช่วยข้างั้นรึ ?”
ฮวาหรงชะงักไปเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตตนไว้เช่นนี้…
“ข้าเพียงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชาและไม่คิดที่จะเรียกร้องความดีความชอบจากการกระทำของตน
ฮวาหรงนิ่งเงียบพลางนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้และใบหน้าซีดเซียวของนางก็บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เมื่อคืนนี้เจ้าหายไปที่ใด ?”
นางเงยหน้าขึ้นสบตาฉินอวี้โม่พร้อมเอ่ยถามเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนและพลังในร่างกายก็ยังอยู่ในสภาวะอุดมสมบูรณ์ดี เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้เผชิญกับสถานการณ์เดียวกับตน
“ข้าก็ไม่ทราบ ในตอนนั้นหมอกหนาเข้าปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ข้าจึงขาดการติดต่อกับท่านผู้คุมกฎไป เงามืดบางอย่างก็เข้าโจมตีข้าครั้งหนึ่งทว่าถูกข้าขับไล่ออกไป สุดท้ายมันก็ไม่ปรากฏขึ้นอีกเลย ผู้คุมกฎฝั่งขวาได้พบกับเงามืดรึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวตอบเพียงคร่าว ๆ แน่นอนว่านางไม่มีทางบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เผชิญ
“เจ้าก็ได้สู้กับเงามืดนั่นรึ ?”
ฮวาหรงขมวดคิ้วมุ่นทันที นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าฉินอวี้โม่น่าจะได้ต่อสู้กับเงามืดเช่นกัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะขับไล่มันออกไปได้สำเร็จ
“ข้ามีเพลิงที่ทรงพลังอยู่ เงามืดนั้นหวาดกลัวและไม่กล้าเข้ามาใกล้ ข้าจึงรอดออกมาได้ หรือว่าอาการบาดเจ็บของท่านผู้คุมกฎฝั่งขวาจะเกิดจากฝีมือของเงามืดนั่นหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวถึงเพลิงแห่งชีวิตของซิว
ฮวาหรงไม่สงสัยสิ่งใดขณะส่ายศีรษะและกล่าวตอบ “สิ่งที่ทำร้ายข้ามิใช่เงามืดนั่น…”