คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1000 ถุงกระสอบ ลักพาตัวมหาราชครู
ตอนที่ 1000 ถุงกระสอบ ลักพาตัวมหาราชครู
ใช่ว่ามหาราชครูอู่ซั่งทำได้แค่โอ้อวดหลอกลวง เขาเป็นคนมีความสามารถจริงๆ ครั้นกลิ่นอายของฉินหลิวซีแผ่ออกมา เขาก็สัมผัสได้ในทันที
ฉินหลิวซีเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไวโดยไม่ได้ปะทะกันซึ่งๆ หน้า แต่กระโดดเข้าหารูปปั้นก่อนจะผลักลงไป
เพล้ง
รูปปั้นตกลงพื้น แตกละเอียดกระจัดกระจาย
มหาราชครูอู่ซั่งสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ คำรามด้วยความโกรธ ขณะที่สองนิ้วร่ายคาถาหมายปล่อยออกไป แผ่นหลังของเขาก็เย็นวาบ ยังไม่ทันรอเขาหันกลับมาด้วยท่าทีระแวดระวัง ภาพตรงหน้าก็มืดลง บนศีรษะถูกคลุมด้วยสิ่งของบางอย่าง
นี่มันอะไรกัน
เขาถูกถุงกระสอบสีดำคลุมหรือ
ยังไม่ทันตั้งตัว จุดหย่าเซวี่ย[1]ของเขาก็ถูกบางอย่างทิ่มแทง จากนั้นร่างก็ถูกพันธนาการจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อนจะมีกำปั้นทุบลงบนกายอย่างบ้าคลั่ง
เจ็บชะมัด
มหาราชครูอู่ซั่งกรีดร้องเจ็บปวดโดยไร้สุ้มเสียง ใคร…ใครแอบวางแผนทำร้ายเขา กล้าสู้กันซึ่งๆ หน้าหรือไม่เล่า
ทันใดนั้นจุดไท่หยาง[1]ก็ถูกหมัดกระแทกใส่อย่างแรง พลันขาของเขาก็ล้มพับลงพื้น
ครั้นฉินหลิวซีได้ยินเสียงสับเท้าเดินเร่งเข้ามา นางก็หยิบกระดาษรูปคนที่ตระเตรียมไว้ก่อนแล้วยกขึ้นร่ายคาถาแล้วโยนลงบนพื้น ชั่วพริบตาเดียวมหาราชครูอู่ซั่งคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง พร้อมกะพริบตาปริบๆ
“ท่านอาจารย์”
หุ่นเชิดเลียนเสียงของมหาราชครูอู่ซั่ง เอ่ยเสียงขรึม “ห้ามเข้ามา”
พลันฝีเท้านั้นหยุดชะงักไป
ฉินหลิวซีเอ่ยกับหุ่นเชิดนั้นว่า “ทำให้ฮ่องเต้คังอู่หยุดการสร้างวังอมตะ เปิดคลังแจกจ่ายเสบียงเพื่อบรรเทาภัยพิบัติอย่างเต็มกำลัง เตือนเขาว่าหากไม่ทำตามนี้จะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ เจ้าแสดงบทบาทนี้ให้สมจริงด้วย”
เวลานี้ฉินหลิวซีถึงแบกร่างมหาราชครูอู่ซั่งที่หมดสติขึ้นมา เปิดเส้นทางยมโลกก่อนจะจากไป
หลังนางจากไปแล้ว หุ่นเชิดมหาราชครูถึงเรียกคนด้วยเสียงนิ่งขรึม “เทพเจ้าลงสถิตแท่นบูชา สวรรค์เกรี้ยวโกรธเรื่องภัยพิบัติ ส่งคนไปรายงานว่าข้าขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เวลานี้ ณ หุบเขาสีเขาโพลนแห่งหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนหินก้อนขนาดมหึมาส่วนลึกของหุบเขา ท้องฟ้ามีเข็มน้ำแข็งโปรยปรายตกลงพื้น ทว่าข้างกายของเขากลับไร้ซึ่งหิมะ ราวกับหิมะหลบหลีกร่างของเขาก็มิปาน โดยไม่กล้าแปดเปื้อนกายเขาแม้แต่น้อย
เขาลืมตาขึ้น มุมปากยิ้มกระตุก หันหน้าเล็กน้อย เอ่ยกับหญิงสาวในชุดสีดำที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังว่า “นางผงาดขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้ว กระดานหมากนี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ใช่เพราะยังไม่ถึงเวลา ข้าอยากไปเจอนางด้วยตนเองจริงๆ เจ้าว่าใครจะชนะ”
หญิงสาวเผยสีหน้าเรียบนิ่งโดยไม่ปริปากพูดสักคำ ราวกับเขากำลังเล่าถึงเรื่องของคนอื่น ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับนางอย่างสิ้นเชิง
ซื่อหลัวลูบไล้เรียวนิ้วอย่างเบามือ ตรงนี้ยังขาดข้อกระดูกอีกท่อนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็รวบรวมกระดูกได้ไม่ครบ
“ใต้หล้านี้มีผู้วิเศษมากมายที่หลงคิดว่าตนเป็นผู้กู้โลก น่ารำคาญชะมัด” ซื่อหลัวเผยสีหน้าเย็นยะเยือก แววตาชิงชัง เขาลากตัวหญิงสาวมา มือใหญ่กุมลำคอยาวระหง สบดวงตาสีดำหมึกของนางพลางเอ่ย “อู่ฉิง เจ้าว่านางจะช่วยโลกนี้ได้หรือไม่”
อู่ฉิงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นัยน์ตาดำขลับสะท้อนใบหน้าของเขา เย็นยะเยือกดุจหิมะในหุบเขา
ครั้นซื่อหลัวเห็นว่านางหายใจรวยรินขึ้นเรื่อยๆ จึงเหวี่ยงนางทิ้ง “ออกไป ครั้งนี้เอาวิญญาณสาวพรหมจรรย์ที่มีดวงชะตาหยินกลับมาสักสิบคน”
อู่ฉิงหมุนตัวเดินจากไป
ซื่อหลัวฉีกยิ้ม มองไปยังความว่างเปล่า “ดูสิว่าเจ้าจะไปได้สักกี่น้ำ วันนั้นคงเป็นวันที่ควรค่าแก่การรอคอยจริงๆ อย่าทำให้ข้าผิดหวังถึงจะถูก”
สองมือของเขาแตะประสานกัน ปิดตาลง หิมะหมุนวนอยู่ข้างกายเขาก่อนจะหลอมเป็นไอวิญญาณถูกเขาสูบเข้าไป เสียงทุ้มท่องบทสวดภาษาสันสกฤตโบราณดังทะลุช่องแคบหุบเขา มีจิ้งจอกหิมะเดินผ่าน ก่อนมันจะเบี่ยงหลบด้วยท่าทีหวาดกลัว หลังจากเดินผ่านไปไม่ถึงร้อยเมตร มันก็ล้มลงบนหิมะ ก่อนจะสิ้นใจตาย
…
ณ จิ่วเสียน
เฟิงซิวกำลังนั่งสมาธิอยู่ภายในห้องตัวเอง ครั้นได้ยินเสียงอู้อี้ดังแว่วมาจากข้างนอก เขาจึงเปิดตาแล้วเดินออกไป
บนพื้นมีถุงกระสอบสีดำหนึ่งกำลังขยับไปมา
เฟิงซิวมองไปทางฉินหลิวซี “คนดวงซวยผู้นี้เป็นใครหรือ”
นางไปนอนที่จวนตระกูลฉินเพียงคืนเดียว พอกลับมาก็หอบของชิ้นหนึ่งกลับมาด้วย หรือจะเป็นจ้าวอ๋องที่ดวงซวย
จ้าวอ๋องจามสองครั้ง อากาศบ้านี่ก็หนาวเสียจริง!
ฉินหลิวซีหยิบชาบนโต๊ะขึ้นมากรอกใส่ปากอึกหนึ่งแล้วเอ่ย “สารเลวมหาราชครู”
“อ้อ” เฟิงซิวประหลาดใจอยู่บ้าง “ไม่สิ ท่านบอกว่าไม่รีบมิใช่หรือ เหตุใดถึงลักตัวคนมาได้เล่า ท่านไปจัดการด้วยตัวเองเลยหรือ ไม่สร้างความแตกตื่นใดเลยหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “วางใจได้ ในวังยังมีมหาราชครูอีกคน”
พอคนที่ขยับไปมาบนพื้นได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งดีดดิ้นแรงกว่าเดิม ร้องฮือๆ ไม่หยุด
ฉินหลิวซีเตะใส่ที จากนั้นเขาก็เงียบกริบก่อนจะนิ่งไป
เฟิงซิว จะกล่าวว่าอย่างไรดีล่ะ ก็น่าเวทนาอยู่แหละ!
เวลานี้ฉินหลิวซีถึงคลายถุงกระสอบออกก่อนพับเก็บ ดูท่าทางเดี๋ยวคงใช้งานต่อ
ไม่รู้ว่าผู้โชคร้ายคนต่อไปจะเป็นใคร
เฟิงซิวมองไปที่มหาราชครู ครั้นเห็นใบหน้าเขียวช้ำบวมเป่ง หนวดเคราถูกดึงออกเป็นกระจุก เส้นผมสีเงินพันยุ่งเหยิงราวรังไก่ เวลานี้ยังจะหลงเหลือมาดของมหาราชครูเสียเมื่อไร ไม่แตกต่างจากตาเฒ่าคลุ้มคลั่งเลยสักนิด
“เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนความคิดเล่า” เฟิงซิวใคร่รู้แรงจูงใจของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซียิ้มเย็นชาเอ่ย “เขาคิดจะลงมือกับเซินเซิน”
เฟิงซิวชะงักไป จากนั้นใบหน้าก็ขรึมลงแล้วเอ่ย “เขารู้เรื่องการมีอยู่ของเจ้าโสมน้อยด้วยหรือ”
“ใช่แล้ว เจ้าคงไม่เห็นว่าสองวันนี้ในเมืองมีผีเร่ร่อนลอยเกลื่อนเต็มไปหมด ซึ่งก็เพื่อตามหาตัวเซินเซินนั่นแหละ” ฉินหลิวซีขึงตามองมหาราชครูเอ่ย “เขามีความสามารถ สามารถทำนายได้ว่ามีวัตถุดิบล้ำค่าปรากฏในเมืองหลวง”
เฟิงซิวเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี จึงเอ่ย “หรือให้เสี่ยวเซินไปหลบที่อารามเต๋าก่อนดี”
“ไม่ต้อง นี่ก็จัดการมัดคนไว้แล้วมิใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยกับเฟิงซิวว่า “ใช้พลังปีศาจของเจ้ากางอาณาเขตหนึ่งขึ้นมา ข้ามีเรื่องจะถามเขา”
เฟิงซิวร่ายมนต์ในทันทีโดยไม่พูดให้มากความ เขาเองก็ไม่ถามเหตุผลเช่นกัน การกางอาณาเขตเช่นนี้ย่อมเป็นเพราะไม่อยากดึงดูดความสนใจจากคนภายนอก อีกอย่างมหาราชครูผู้นี้ก็เลิกหวังว่าจะหนีไปได้เลย
เมื่อร่ายคาถาปีศาจออกไป ทั้งๆ ที่อยู่ภายในห้องเดียวกัน ทว่าท่ามกลางสิ่งไร้รูปร่างนั้น ในความว่างเปล่ากลับเกิดการบิดเบี้ยว ภาพตรงหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลง
ท่ามกลางแดนหิมะอันเวิ้งว้าว ฉินหลิวซีปลุกมหาราชครูอู่ซั่ง อีกฝ่ายลืมตาขึ้นก่อนจะดีดตัวลุกพรวด จากนั้นถึงสะเทือนถูกแผลระบมตามร่างกายจนร้องสูดปาด เขาขึงตามองฉินหลิวซีแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นใคร เจ้าพาข้ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไรกัน”
เขากวาดตามองสถานที่แห่งนี้ เวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา ที่นี่คือที่ใด เหตุใดเขาถึงมาโผล่ที่นี่ได้
“อู่ซั่ง เทพชั่วร้ายที่เจ้ากราบไหว้ในวังอมตะเป็นใคร” ฉินหลิวซีถามเสียงเย็นชา
มหาราชครูอู่ซั่งแหวร้องด้วยความโมโห “สามหาว ท่านเป็นทวยเทพอันสูงศักดิ์ เป็นเทพชั่วร้ายเสียเมื่อไรกัน”
ขณะที่เขาคิดร่ายมนต์จู่โจมฉินหลิวซี ทว่าพอเขาขยับ ดวงตาของเฟิงซิวที่แปลงกายกลับมาอยู่ในร่างเดิมแล้วก็สาดแสงสีแดงพาดผ่าน
พลันมหาราชครูอู่ซั่งก็เจ็บแปล๊บที่หน้าอกก่อนจะกระอักเลือดออกมา เขามองมือของตนแล้วผงะไป รู้สึกมือทั้งสองข้างแผ่ความร้อนมอดไหม้ จากนั้นก็เกิดเสียงดังกระหึ่ม
สองมือของเขาผุดเพลิงไฟขึ้นมา เจ็บจนเขาต้องร้องโอดครวญ ก่อนจะเอาสองมือที่มีไฟลุกโหมแทรกเข้าไปในชั้นหิมะ
ทว่าพื้นหิมะไม่ได้ช่วยให้เพลิงไฟมอดลง ในทางกลับกันกลับช่วยกระพือให้เพลิงไฟลุกโหมมากกว่าเดิม
ราวกับมหาราชครูอู่ซั่งคลุ้มคลั่งไปแล้ว เขาร้องโอดโอยพลางใช้มือแทรกเข้าไปในชั้นหิมะไม่หยุด
ฉินหลิวซีมองไปทางเฟิงซิวอย่างเงียบๆ ล้อเล่นน่า
เฟิงซิวย่ามใจอย่างมาก ข้าเก่งหรือไม่เล่า เก็บตัวฝึกบำเพ็ญมาสามปี ใช่ว่ามีเพียงเจ้าที่ตรากตรำ หลอมพลังปีศาจเป็นไฟ ข้าก็ทำได้เช่นกัน!
[1] จุดหย่าเซวี่ย เป็นจุดลมปราณบริเวณลำคอข้างหู หากจิ้มโดนจะทำให้หูหนวกเป็นใบ้
[2] จุดไท่หยาง อยู่บริเวณรอยบุ๋มตรงขมับ ซึ่งเน้นการปรับลมปราณ