คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1001 ค้นหาดวงวิญญาณ คนไร้หน้า
ตอนที่ 1001 ค้นหาดวงวิญญาณ คนไร้หน้า
มหาราชครูอู่ซั่งแทบคลั่ง อย่าว่าแต่ตนถูกลักพาตัวมาที่ใดเลย แถมไม่รู้ความเป็นมาของหนึ่งคนกับหนึ่งจิ้งจอกตรงหน้าด้วย สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือไฟแผดเผามือของตนโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ ต่อให้มีวิธีการร้อยแปดก็ใช้งานไม่ได้
เขาเจ็บจนกลิ้งไปมา ไม่นานก็ค้นพบว่าสองมือของเขาด้านชาไร้ความรู้สึก พลันใบหน้าก็ซีดเผือด
หากสองมือใช้การไม่ได้ เขาจะใช้อะไรปรุงยา แล้วจะปรุงออกมาได้อย่างไร
การปรุงยาต้องพิถีพิถันเรื่องการคุมไฟและเขียนยันต์ หากมือของเขาใช้การไม่ได้ ทุกอย่างก็จบเห่ ถึงแม้เขาจะมีตำรับฟื้นคืนวิญญาณ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องปรุงออกมาถึงจะใช้การได้!
กลิ่นหอมของเนื้อย่างสุกแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นไหม้แสบจมูก สุดท้ายเปลวไฟนั้นก็มอดลง
มหาราชครูอู่ซั่งเผยสีหน้าไร้เลือดฝาด ครั้นเห็นตนยังมีไอควันพวยพุ่ง อีกทั้งกระดูกทั้งสองมือไหม้เกรียมบ้างแล้ว ดวงตาก็เบิกกว้างอย่างเดือดดาล
เขาหายใจหอบ ใบหน้าชราเผยท่าทีดุดัน สายตาชิงชังสาดมองไปยังฉินหลิวซีและสุนัขจิ้งจอกขนสีแดงทองเงาวาวนุ่มสลวยที่พาดบนบ่าของนาง รอกระทั่งเขามองพื้นฐานร่างกายของเจ้าสุนัขจิ้งจอกจนชัดเจนดีแล้ว แววตาของเขาก็ผุดความประหลาดใจ ก่อนนัยน์ตาจะประกายแสงวิบวับออกมา
เฟิงซิว บ้าน่า ข้าเองก็ถูกจับจ้องเหมือนกันหรือ!
เขาขยับเข้าซุกลำคอของฉินหลิวซี ข้ากลัว โปรดปกป้องข้าด้วย
ฉินหลิวซีปัดเขาออก เจ้าบ้านี่ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรกเสียด้วย
มหาราชครูอู่ซั่งจับจ้องเฟิงซิวไม่วางตา อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ “จิ้งจอกปีศาจพันปี”
สายตาของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความโลภและกระหาย หากเอาปราณปีศาจออกมาได้ มือของเขาจะเป็นอะไรได้อีก พลังบำเพ็ญของเขาย่อมเลื่อนขั้นไปอีกระดับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเป็นอมตะเลย!
ทันทีที่กลืนปราณปีศาจเข้าไป เขาก็ต้องอายุยืนไม่แก่เฒ่า และมีความหวังในวันหน้ามิใช่หรือ
ถึงแม้ความโลภกระหายของเขาจะถูกกลบมิด แต่เพราะเฟิงซิวกางอาณาเขตนี้ขึ้นจากพลังปีศาจ เปรียบดั่งอยู่ในอุ้งมือทั้งห้า ด้วยสายตาอันคมกริบของเขา ท่าทีกระหายของมหาราชครูอู่ซั่งที่มีต่อเขาจะเล็ดลอดผ่านสายตาไปได้อย่างไร
อุ้งมือของเฟิงซิววาดขึ้นกลางอากาศ
“โอ๊ย!” มหาราชครูอู่ซั่งได้สติจากความเจ็บปวด พอก้มลงมองก็เห็นว่าข้อมือข้างขวาที่ถูกเผาจนเกรียมถูกตัดขาดจนเห็นตอ เลือดจากมือข้างที่ขาดพุ่งกระฉูดวาดเป็นลวดลายกิ่งเหมยบนพื้นหิมะ จากนั้นถึงค่อยๆ ไหลหยดลงด้านล่าง
มหาราชครูอู่ซั่งเจ็บจนแทบเป็นลมหมดสติ ทว่ายังประคองสติได้อยู่ ก่อนรีบร่ายคาถาห้ามเลือด พอห้ามเลือดได้แล้วถึงมองพวกเขาด้วยท่าทีหวาดกลัว เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ “พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”
“จะตอบคำถามดีๆ ได้หรือยัง” ฉินหลิวซีเพิกเฉยต่อเรื่องแขนขาด เอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
มหาราชครูอู่ซั่งอดกลั้นอย่างถึงที่สุด เขาตอบคำถามมาโดยตลอด แต่เป็นพวกเขาต่างหากที่ทั้งเผามือทั้งตัดแขนเขาโดยไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง!
“รูปปั้นเทพที่เจ้าบูชาเป็นใคร กราบไหว้มานานเท่าไรแล้ว สาเหตุที่กราบไหว้เป็นเพราะอะไร สื่อจิตมาหาเจ้าหรือไม่ เคยทำอะไรมาแล้วบ้าง”
มหาราชครูอู่ซั่งขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “ข้า…”
“คิดให้ดีๆ ก่อนตอบ เพราะความอดทนของข้ามีจำกัด”
มหาราชครูอู่ซั่งเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ย “เมื่อสามปีก่อน ตอนที่ข้าปรุงยาปราณอู่จี๋[1]ซึ่งขาดเพียงการคุมไฟในด่านสุดท้าย ทว่าไร้ความสามารถเลื่อนไปอีกขั้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ยอมแพ้จนผุดความชั่วร้ายขึ้นในใจ จากนั้นเทพที่ราวกับเทพบนสวรรค์ก็ปรากฏกาย ประทานการเชื่อมจิตกับวิญญาณทวยเทพให้ข้า นอกจากจะทำให้ข้าปรุงยาปราณอู่จี๋สำเร็จแล้ว ยังช่วยให้ฝีมือการปรุงยาของข้าก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วย”
“ข้ออ้างมากกว่ากระมัง!” เฟิงซิวเย้ยหยันที “เหมือนเทพสวรรค์ แถมปรากฏตัวมาช่วยชี้แนะนักพรตบำเพ็ญธรรมดาอย่างเจ้าอย่างนั้นหรือ แต่งเรื่องน่าฟังกว่าร้องเพลงเสียอีก”
มหาราชครูอู่ซั่งกลับไม่ได้รู้สึกเหนือคาดต่อคำสบถของเขาเลย ในทางกลับกันสายตากลับจับจ้องเขาแน่นิ่งแล้วเอ่ย “ข้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกับปรมาจารย์จัง หลังจากเดินเส้นทางเต๋า พรสวรรค์ความสามารถเป็นเลิศ หลงใหลในศาสตร์การปรุงยา สำหรับเรื่องปรุงยาแล้ว น่าค้นคว้ากว่าเรื่องทำนายชะตาดูโหงวเฮ้งมากโข ยาปราณอู่จี๋ช่วยให้ตื่นรู้และไร้โรคภัย กล่าวได้ว่าแม้แต่คนโง่ที่ได้กินเข้าไปยังทำให้ตื่นรู้และกระจ่างใจเลย อีกทั้งช่วยให้เส้นลมปราณบนล่างไหลเวียนคล่องด้วย แต่นับว่ายาขนานนี้ขัดกับธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ตำรับยาได้มายาก วัตถุดิบเองก็หายากเช่นกัน หากอยากปรุงยาสำเร็จ ศาสตร์พลังวิญญาณที่ใช้ย่อมยากตามไปด้วย ขาดเพียงขั้นเดียวก็จะสำเร็จแล้ว ทว่ากลับเห็นมันล้มเหลวลงต่อหน้าต่อตา เช่นนี้ข้าจะยอมได้อย่างไร เหมือนกับจิ้งจอกปีศาจอย่างเจ้า ขณะที่ฝึกบำเพ็ญ ขาดอีกแค่นิดเดียวก็ผ่านวิบากไปได้แล้ว กระทั่งบรรลุถึงเส้นทางสูงสุด แต่เท้านั้นดันก้าวพลาด การผ่านวิบากนั้นล้มเหลว เจ้าเองก็คงคลุ้มคลั่งไม่แพ้กันกระมัง!”
ไม่สิ ไม่ใช่แค่คลุ้มคลั่ง ในเมื่อการผ่านวิบากนั้นล้มเหลว เช่นนั้นก็จบเห่แล้ว!
เฟิงซิว “…”
ถูกตาแก่นี่ยั่วอารมณ์เข้าแล้ว!
มหาราชครูอู่ซั่งเอ่ยต่อ “แต่องค์เทพก็แค่ประทานการเชื่อมจิตกับวิญญาณทวยเทพให้ก็เท่านั้น ก็เหมือนเป็นการติดปีกให้เสือ ใจอันชั่วร้ายถูกขจัด ปรุงยาสำเร็จ พลังบำเพ็ญเลื่อนขั้น เหตุใดเขาถึงไม่คู่ควรให้ข้าบูชา เขาเชื่อมจิตกับวิญญาณทวยเทพได้อย่างกว้างขวาง ราวกับเทพแห่งสวรรค์ลงมาจุติ”
เฟิงซิวมองไปทางฉินหลิวซี เจ้าดูเอาเถิดว่าเจ้าหมอนี่เหมือนเข้าร่วมลัทธิมารล้างสมองอะไรทำนองนั้นหรือไม่เล่า โง่ชะมัด!
ครั้นฉินหลิวซีเห็นความเคารพและศรัทธาที่แฝงอยู่ในแววตาของมหาราชครูอู่ซั่ง ในใจก็รู้ดีว่าคนผู้นี้เชื่อมั่นในตัวเทพผู้นี้อย่างแท้จริง
นางเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ไม่รู้ว่าเจ้ามีหน้ามาบอกว่าเป็นศิษย์ของปรมาจารย์จังได้อย่างไร หากเทียบกับปรมาจารย์จังแล้ว เจ้าดูนับถือเทพองค์นี้มากกว่าเสียอีก กระทั่งตั้งรูปปั้นของเขาไว้ด้านหลังของปรมาจารย์ ไม่รู้ว่าปรมาจารย์จังจะเกรี้ยวโกรธจนอยากลงมาบนโลกมนุษย์เพื่อฆ่าศิษย์เนรคุณอย่างเจ้าหรือไม่!”
มหาราชครูอู่ซั่งสำลักกับคำพูดนี้ ฝืนโต้แย้งกลับไปว่า “แค่บูชาเอง ใครออกกฎว่านักพรตสามารถนับถือได้แค่เทพองค์เดียว แม้แต่ในวัดยังกราบไหว้พระได้หลายองค์เลยกระมัง”
ฉินหลิวซีถูกตอกกลับเช่นนั้นแต่กลับไม่โมโห เอ่ยเพียงว่า “เจ้าพูดถูก แต่เจ้าเชื่อเทพองค์นี้มากกว่า!”
“ข้า…”
“เจ้าเชื่อเขามากกว่า!” ฉินหลิวซีชี้ไปที่ดวงตาของเขา “แววตาของเจ้าบอกหมดทุกอย่างแล้ว!”
มหาราชครูอู่ซั่งเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ “โต้กันไปมาเรื่องนี้จะมีประโยชน์อะไรกัน”
“ไม่มีประโยชน์อะไร แค่จะบอกเจ้าว่าข้าพูดถูก แต่ต่อให้ผิดก็ถูกอีกเช่นกัน”
มหาราชครูอู่ซั่ง “…”
เจ้าจะบอกว่าข้าอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว จะทำตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้ต่างหาก!
“เจ้ามีเจตนาใดกันแน่”
ฉินหลิวซีชี้ไปทางเฟิงซิว “เจ้าเห็นว่าเขาเป็นอย่างไร”
มหาราชครูอู่ซั่งหันมองตามสัญชาตญาณ ยามที่สบสองดวงตาเล็กแคบเปล่งประกายของจิ้งจอก พลันในสมองก็ตกอยู่ในภวังค์ กระทั่งไม่ทันสังเกตว่าฉินหลิวซีเดินมาอยู่ด้านหลัง ก่อนจะวางมือไว้บนศีรษะเขา
ร่างของมหาราชครูอู่ซั่งแข็งทื่อ ก่อนจะสั่นเทาเล็กน้อย
ฉินหลิวซีกำลังค้นดวงวิญญาณ
นางอยากรู้ว่าองค์เทพที่มหาราชครูอู่ซั่งไปมาหาสู่ด้วยหน้าตาเป็นอย่างไร
ฉินหลิวซีแวบเข้าไปในความทรงจำของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่ง สีหน้าของนางก็ขรึมลง แรงที่ใช้กดมหาราชครูก็หนักขึ้น ทำเอาร่างสะท้านเฮือกด้วยความตกใจ มุมปากมีเลือดไหลรินออกมาเป็นสาย
ครั้นเฟิงซิวเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ดวงตาเล็กแคบก็หรี่ลง
สีหน้าของฉินหลิวซีซีดลงเรื่อยๆ นางยืนอยู่ท่ามกลางความทรงจำของมหาราชครูอู่ซั่ง มองคนผู้นั้นสั่งการทำงานโดยไม่กะพริบตา
ราวกับคนผู้นั้นรู้ทัน ก่อนจะหันมามองนาง
เพียงแต่ใบหน้าดวงนั้นมีเพียงความว่างเปล่า
คนไร้หน้า
ฉินหลิวซีฉีกยิ้ม เจ้าบ้านี่คิดจะเล่นเกมตามหากับนางหรืออย่างไร!
นางกับเขามองหน้ากันแวบหนึ่ง คนผู้นั้นก็ทำมือไม้ส่งมาทางนาง ก่อนที่เขาจะหายตัวไป
ในสมองของมหาราชครูอู่ซั่งส่งเสียงดังวิ้ง ราวกับภายในมีหินไฟระเบิด เขาขาอ่อนยวบพับลงกับพื้น ร่างชักกระตุกไม่หยุด ก่อนเลือดจะไหลออกทั้งเจ็ดทวาร
ฉินหลิวซีเก็บมือร่ายคาถากลับมา แล้วมองมหาราชครูอู่ซั่งที่ค่อยๆ หายใจรวยรินด้วยใบหน้าเย็นชา
“ฝีมือของเจ้าหรือ” เฟิงซิวเลิกคิ้วพลางมองมหาราชครูที่ไร้การเคลื่อนไหว
ฉินหลิวซีเอามือไพล่หลัง ก่อนจะดีดเปลวไฟส่งไป มองเขาถูกแผดเผาถึงเอ่ย “เปล่า ฝีมือของซื่อหลัว”
เขาคาดเดาทุกอย่างได้แต่แรกแล้ว
แต่อู่ซั่งเองก็ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์แต่อย่างใด ในเมื่อเขาเอาเลือดของเด็กแรกเกิดมาปรุงยาโดยไร้ซึ่งขีดจำกัด เขาบ้าไปแล้ว!
[1] เป็นยาที่ใช้ในการบำเพ็ญจิตภายใน ถือว่าเป็นหนึ่งในระบบการบำเพ็ญของลัทธิเต๋า หากบรรลุขั้นแล้วก็จะอายุยืนยาว