คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1002 ตักเตือนอย่างแรง
ตอนที่ 1002 ตักเตือนอย่างแรง
ฉินหลิวซียืนอยู่ตรงหน้ามหาราชครูอู่ซั่งที่ถูกเผากลายเป็นเถ้าธุลี มองขี้เถ้าพลางตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เฟิงซิวผลักนาง “หลอมจนกลายเป็นเถ้าธุลีแล้ว ยังมัวมองอะไรอยู่อีก”
“มันง่ายเกินไป!”
“หืม?”
ฉินหลิวซีมองมาก่อนชี้ไปที่เถ้าธุลีบนพื้นแล้วเอ่ย “เจ้าไม่คิดว่าการฆ่ามหาราชครูอู่ซั่งให้ตายมันง่ายดายเกินไปหรือ”
“ไม่เลย” เฟิงซิวยิ้มบาง “เสี่ยวซีซี เกรงว่าท่านคงลืมไปแล้วว่านี่ผ่านไปสามปีแล้วนะ”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว
“สามปีแล้ว หากแค่อยากฆ่านักพรตคนหนึ่งให้ตายยังต้องเปลืองแรงขนาดนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ควรฉวยโอกาสนี้รีบหาสถานที่ที่สงบเพื่อหลบหลีกจากโลกภายนอกก่อนดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเทพชั่วร้ายหรือดี เราแค่เป็นผู้ชมอยู่ข้างๆ ก็พอ ถึงอย่างไรก็แพ้แล้วนี่นา” เฟิงซิวเอ่ยอย่างผยอง “เวลาสามปีกลับไม่พัฒนาอะไรขึ้นเลย เช่นนั้นยังจะทำอะไรต่อได้ อย่าว่าแต่เรื่องต่อกรกับพวกเราสองคน ถ้าจัดการเขาง่ายดายขนาดนั้นก็ตัวต่อตัวไปเลย หากเป็นท่านหรือข้าปะทะกับเขาเดี่ยวๆ มันยากมากนักหรือ”
ต่อให้เป็นเมื่อสามปีก่อนก็ไม่ยากสักนิด
อู่ซั่งผู้นี้มีความสามารถก็จริง แต่ก็อย่างที่เขาบอกว่าพรสวรรค์ของเขากลับอยู่ในแง่ของศาสตร์การปรุงยามากกว่า ส่วนทักษะด้านอื่นๆ กลับไม่เห็นว่าจะเก่งกาจสักเท่าไร
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “เจ้าก็ช่างมั่นใจเหลือเกิน”
“แน่นอนสิ”
ฉินหลิวซีก้มหน้าก่อนใช้ปลายเท้าเตะหิมะบางส่วนกลบใส่ขี้เถ้านั้นแล้วเอ่ย “ข้าไม่ได้สงสัยในความสามารถของตนเอง แต่รู้สึกว่าซื่อหลัวใช้ลูกไม้ใหม่มากกว่า ตอนนี้ข้ายังมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาเลือกอู่ซั่งก็เพียงเพื่อให้มาปรุงยาอยู่ข้างกายฮ่องเต้คังอู่โดยไม่มีเรื่องอื่นใด กระทั่งไม่ได้สร้างรูปปั้นให้คนกราบไหว้บูชาเพื่อดึงดูดความศรัทธาและความเชื่อจากทุกคนซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อน”
ดังนั้นนางจึงคิดว่าจิตใจของซื่อหลัวเปลี่ยนไปแล้ว ลูกไม้ก็เปลี่ยนไปด้วย ทำเอานางเดาไม่ออกจริงๆ
เฟิงซิวขบคิดแล้วเอ่ย “ไม่ว่าเขาคิดอย่างไร เอาเป็นว่าไม่ได้ทำเรื่องดีๆ แน่นอน สั่งให้ไปปรุงยาข้างกายฮ่องเต้คังอู่เช่นนั้น ท่านดูเอาเถิดว่าตอนนี้เจ้านั่นเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่ามัวเมาอยู่กับการปรุงยาเพื่อให้เป็นอมตะจนทำให้เรื่องราชสำนักพังไม่เป็นท่า กระทั่งราษฎรต่างพากันชิงชังหรือ ทันทีที่กษัตริย์ทรงกริ้ว ร่างศพก็จะกองถมยาวเป็นหลายพันลี้ ในทำนองเดียวกันหากกษัตริย์ไร้ความสามารถ บ้านเมืองก็จะไม่เป็นบ้านเมืองอีกต่อไป บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการก็ได้”
ฉินหลิวซีครุ่นคิด “ก็สมเหตุสมผลอยู่บ้าง”
“ส่วนเรื่องแรงจูงใจ บางทีอาจจะไม่มีแรงจูงใจใดเลย ท่านควรรู้ว่าคนบ้าไม่มีเหตุผลให้พูดถึงหรอก เฉกเช่นคนพรรค์นั้น เกรงกลัวเรื่องชีวิตด้วยหรือ เรื่องชีวิตสำหรับเขาแล้ว บางทีอาจเป็นเพียงเกม ซึ่งเขาไม่ได้ให้ความสนใจเลยสักนิด” เฟิงซิวเอ่ย “นี่ก็ข้อหนึ่ง เขาก็แค่อยากเห็นความวุ่นวายโกลาหลสนุกๆ ไปอย่างนั้น หากเขาปรารถนาเป็นเทพ เช่นนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง ทันทีที่โลกนี้วุ่นวาย เขาก็จะกลายเป็นเทพผู้สร้างโลกใบใหม่”
ฉินหลิวซีกดปลายเท้าเบาๆ นี่ก็ใช่ว่าไร้เหตุผลเสียทีเดียว
“ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหน ท่านแค่ทำในสิ่งที่ท่านควรทำก็พอแล้ว”
ฉินหลิวซีมุ่นคิ้ว “แต่ถ้าคาดเดาผิดเล่า เช่นนั้น…”
มือของเฟิงซิวแตะลงบนบ่าของนางแล้วเอ่ย “เสี่ยวซีซี ต่อให้วางแผนการมากมายก็ต้านทานการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก แม้แต่กฎแห่งฟ้าดินยังเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ต่อให้วางแผนการไว้แล้ว สุดท้ายก็ย่อมมีความไม่แน่นอนเสมอ ท่านจะหาเรื่องกลัดกลุ้มไปไย ข้ารู้ว่าท่านยังปล่อยวางเรื่องการตายของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนไม่ได้ อยากรีบหาตัวซื่อหลัวออกมาแก้แค้นแทนอาจารย์เสีย แต่หากท่านเอาแต่ยึดติดเช่นนี้ เปลืองแรงคิดวางแผนอย่างเดียว บางครั้งผลลัพธ์อาจจะกลายเป็นผลเสีย ซึ่งก็เหมือนการมองเห็นเพียงเรื่องเล็กน้อยจนพลาดสิ่งที่สำคัญกว่าไป”
ฉินหลิวซีตกใจเฮือก สีหน้าขรึมลง ริมฝีปากบางค่อยๆ เม้มเข้าหากัน
“ก่อนหน้านี้ที่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนยังไม่ตาย ท่านกลับผ่อนคลายสบายๆ ถึงแม้จะรู้ถึงการมีอยู่ของซื่อหลัว ท่านก็ยังสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย แต่พอเขาจากไป ตลอดสามปีที่ท่านไม่อยู่ ข้ารู้ว่าท่านต้องไปเสาะหาเบาะแสของซื่อหลัวและเก็บตัวฝึกวิทยายุทธ์อย่างแน่นอน ถึงแม้ท่านจะกลับมาแล้ว แต่ความจริงสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจท่าน ไม่ใช่ความวุ่นวายในใต้หล้า แต่เพื่อแก้แค้นให้นักพรตเฒ่าชื่อหยวนต่างหาก ข้าพูดถูกหรือไม่เล่า”
เฟิงซิวมองนางพลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องแก้แค้นต้องทำอยู่แล้ว แต่เสี่ยวซี หากท่านเอาความแค้นมาบังตา กลับมีแต่จะทำให้ท่านตัดสินใจผิดพลาด ตอนนี้ท่านเคร่งเกินไปจนกลายเป็นเส้นที่ขึงจนตึง ความจริงไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ เส้นที่ตึงเกินไปมักขาดง่าย ปล่อยวางลงบ้างเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เดินไปตามเส้นทางที่เขาวางไว้ ยามที่ท่านไม่ได้ถูกจูงพาเดินย่อมเห็นภาพตรงหน้าได้กว้างไกลกว่า ท่านนี่นะ อย่าตกหลุมพรางที่เขาวางไว้สิ”
นานๆ ทีฉินหลิวซีจะเผยท่าทีว้าวุ่นใจ ซึ่งเป็นความว้าวุ่นที่ถูกคนอื่นเปิดโปงมองออก
นานๆ ทีนัยน์ตาของนางประกายความสับสนให้เห็น เอ่ยขึ้นว่า “แต่เจ้าจิ้งจอก หากข้าพยายามสุดความสามารถและทุ่มเททุกอย่างแล้วแต่ก็ยังหมดปัญญาที่จะแก้แค้นแทนอาจารย์ได้ หมดหนทางจะลากตัวซื่อหลัวลงมาจากแท่นบูชาได้เล่า ตอนแรกข้ารวบรวมวัตถุดิบทุกอย่างไว้ให้อาจารย์แล้ว กระทั่งสร้างรากฐานปราณก็เตรียมไว้แล้ว แต่ก็ยังรั้งเขาไว้ไม่ได้ แต่ว่าบางเรื่องบนโลกใบนี้ ใช่ว่าข้าเก่งมากพอ มุมานะตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วจะเป็นไปได้ตามใจหวัง การตายของอาจารย์ก็คือคำเตือนอย่างหนึ่ง!”
นางทำทุกอย่างที่ควรจะทำ แต่ก็ยังรั้งชีวิตของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนไว้ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่นางข้ามไปไม่ได้!
ดังนั้นนางจึงเกิดอาการตึงเครียดอย่างเลี่ยงไม่ได้ กลัวว่าสิ่งที่ตนทำไปจะเสียเปล่า สุดท้ายนางก็ยังแพ้ให้ซื่อหลัว อีกทั้งนางยังปกป้องคนที่นางอยากปกป้องไว้ไม่ได้
เฟิงซิวดึงนางเข้ามาในอ้อมอก ใช้แรงกระชับกอดนางพลางเอ่ย “เสี่ยวซีซี ความสามารถของคนเรามีจำกัด ไม่ว่าชาติก่อนท่านจะเคยทำสิ่งใดมา คงอยู่มาเช่นไร แต่บนโลกใบนี้ท่านกลับเป็นเพียงนักพรตเต๋า เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ใช่เทพ! ถึงแม้ท่านจะเป็นเทพ แต่ด้วยกฎแห่งฟ้าดินแล้วย่อมต้องกดข่มความสามารถของท่านไว้ เพราะที่นี่เป็นดินแดนมนุษย์ ในขณะเดียวกันมันก็จะกดซื่อหลัวไว้เช่นกัน ข้าเชื่อว่ากฎแห่งสวรรค์ย่อมเป็นธรรมเสมอ”
“ท่านกลัวว่าจะเอาชนะซื่อหลัวไม่ได้ ท่านกลัวแพ้ แต่ลำพังแค่วางแผนรอบคอบก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ ทุกเรื่องย่อมมีช่องโหว่เสมอ ต่อให้วางแผนดีเยี่ยมเพียงใด ข้อแค่มีช่องโหว่ หมากบนกระดานนั้นย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ อีกฝ่ายจะรอบคอบถึงเพียงนั้นเลยหรือ ไม่มีทาง! ยามเผชิญกับศัตรูที่เก่งกาจ ทุกกลอุบายต่างๆ จะเหมือนเสือกระดาษ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องเสริมความสามารถให้แข็งแกร่งขึ้นหรอกหรือ ปล่อยวางลงบ้างเถิด ทำในสิ่งที่เราควรทำ ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของความหวัง รอวันที่กองทัพปะทะกันเมื่อไร แค่ลงมือก็จบแล้ว!”
ฉินหลิวซีไม่ตอบอะไร เงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ย “ข้าถูกเจ้าเปิดโปงจนดึงสติกลับมาได้แล้ว ปล่อยได้หรือยัง หากมือของเจ้ายังลงไปอีก ข้าจะตัดทิ้งโดยไม่สนใจอะไรเลย!”
เฟิงซิว “…”
เฮ้อ เจ้าตัวน้อยน่ารักทำตัวไม่ถูก สับสน สิ้นหวังก่อนจะหดตัวกลับไปในที่ที่ของตนเอง!
“ข้าช่วยปลอบโยนคลายปมให้ท่านอย่างรู้ใจ เอาเปรียบนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไปเล่า” เฟิงซิวแค่นเสียงใส่
ฉินหลิวซีกลอกตาขาวใส่ สูดหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ย “ความจริงเจ้าก็พูดถูก ข้าตึงเกินไปจริงๆ”
ยิ่งคิดให้ลึกขึ้นก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก ถึงอย่างไรก็มองแก่นแท้ของเรื่องนี้ไม่ออก
“ท่านก็แค่ให้ความสำคัญต่อนักพรตเฒ่าชื่อหยวนเกินไป การตายของเขากระทบต่อท่านอย่างหนัก ความจริงหากนี้เป็นหมากที่ซื่อหลัวเลือกเดิน ก็นับว่าเขาเดินถูกแล้ว เพราะก้าวนี้ จี้จุดท่านเต็มเปา” หากฉินหลิวซีไม่ฮึดสู้ขึ้นมา คงกล่าวได้ว่านางยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้ด้วยซ้ำ
ซื่อหลัวได้ทำลายจุดอ่อนของนางเข้าอย่างจัง
แต่ในขณะเดียวกันการถูกทำลายจุดอ่อนครั้งนี้ นางก็ไม่มีจุดอ่อนใดให้เขาใช้บงการนางได้อีก
“เช่นนั้นหมากอีกครึ่งกระดานก็วัดกันที่ความสามารถแล้วกัน” นัยน์ตาของฉินหลิวซีประกายแสงสีทองแดงหม่นพาดผ่าน กำมือแน่นก่อนจะคลายออก