คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1003 ชี้แนะปีศาจโสมน้อย
ตอนที่ 1003 ชี้แนะปีศาจโสมน้อย
ยามที่ฉินหลิวซีออกมาจากอาณาเขตของเฟิงซิว หิมะด้านนอกก็หยุดตกแล้ว ในเมื่อตกมาครึ่งเดือนเต็ม ชั้นหิมะในบางพื้นที่จึงหนาสูงถึงสามนิ้ว
“หิมะหยุดตกแล้ว” เฟิงซิวมองเส้นทางขาวโพลนด้านนอก ในที่สุดท้องฟ้าก็มีดวงอาทิตย์สาดทอแสงออกมาสักที
“ควรจะหยุดได้แล้ว หากไม่หยุด ภัยพิบัติหิมะครั้งนี้คงยากที่จะช่วยได้”
พวกเขาทั้งสองหมุนตัวจับจ้องปีศาจโสมน้อยและเถิงเจาที่ยืนเงียบกริบอยู่กลางห้องก่อนจะเอ่ย “พวกเจ้ายืนนิ่งเป็นเทพเฝ้าประตูกันหรือไร”
เสี่ยวเซินเซินชี้มาทางนาง แล้วชี้ไปทางเฟิงซิว ก่อนที่นิ้วทั้งสองจะมาบรรจบกัน “พวกท่านเข้าไปทำอะไรกันหรือ”
แถมยังกางอาณาเขตทับซ้อนขึ้นมา ทำเรื่องสำคัญใดถึงขั้นต้องเก็บเป็นความลับขนาดนี้เชียว
เฟิวซิวยิ้มชั่วร้าย “เจ้าว่าพวกเราทำอะไรกันล่ะ”
เขาจงใจเหล่มองไปทางฉินหลิวซีแวบหนึ่งอย่างมีเลศนัย
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ทำตัวจริงจังหน่อย”
เฟิงซิวเบะปากเอ่ย “ข้าทำตัวไม่จริงจังอย่างไรหรือ ฆ่าคนวางเพลิงทำลายศพลบร่องรอยยังไม่ถือว่าทำตัวจริงจังอีกหรือ” ก่อนจะหันไปเอ่ยกับโสมน้อยว่า “เจ้าควรจะคำนับโขกศีรษะให้พี่ชายอย่างข้า พี่ช่วยจัดการเผาบุคคลอันตรายจนกลายเป็นเถ้าธุลีก็เพื่อเจ้า มิเช่นนั้นเกรงว่าเจ้าคงถูกจับไปปรุงยาแล้ว”
โสมน้อยเบิกตากว้าง อะไรนะ ปรุงยาหรือ
เถิงเจามุ่นคิ้วก่อนจะมองไปทางอาจารย์ตนแล้วเอ่ย “เสี่ยวเซินถูกจับตามองหรือ”
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความตึงเครียด พลันนึกถึงวั่งชวนที่ถูกลักพาตัวไป กลัวว่าเจ้าโสมน้อยจะเจริญรอยตามเฉกเช่นนาง
ฉินหลิวซีพยักหน้า “จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวลไป”
นางมองเจ้าโสมน้อยพลางเอ่ย “แต่ไม่ว่าไปไหนในเมืองหลวงก็ต้องระวังตัวให้มาก ดั่งที่บอกว่ายอดฝีมือมักแฝงตัวอยู่ในหมู่คนธรรมดา นักบวชบางคน ใช่ว่าจะมาจากสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงเสมอไป บางสำนักไม่ชอบพันธนาการ เป็นดั่งนักพเนจรท่องเที่ยวไปยังแว่นแคว้นต่างๆ อย่างอิสระหรือหลบหลีกจากโลกภายนอกนั่นเอง แต่ในบรรดาพวกเขา ใช่ว่าจะไม่มีคนเก่งๆ เลย หากมีขีดจำกัดบ้างก็ดีไป แต่หากไม่มีขีดจำกัดและไม่ให้สำคัญเรื่องกฎแห่งกรรม ทันทีที่ตรวจเจอว่าในเมืองหลวงมีวัตถุดิบล้ำค่าปรากฏ คงพยายามทุกหนทางเพื่อตามหาเจ้า”
เจ้าโสมน้อยโอบกระชับร่างตน จิตใจมนุษย์ช่างน่ากลัวนัก
“ใช่แล้ว มหาราชครูอู่ซั่งก็คือหนึ่งในนั้น หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวซีจับผิดสังเกตได้ เกรงว่าตอนนี้เจ้าคงเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อปรุงยาแล้วกระมัง” เฟิงซิวจงใจข่มขู่ให้เขาตกใจ
เจ้าโสมน้อยแทบระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ข้าเองก็ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้แปลงร่าง ไม่กล้าแผ่กลิ่นอาย คนพวกนี้ว่างนักหรือไร จมูกไวขนาดนี้เชียว”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ถึงบอกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน มักมีคนที่เก่งกว่าเราคงอยู่เสมอ”
“แถมเก่งมากกว่าท่านด้วยหรือ” เจ้าโสมน้อยพึมพำขึ้นมา
“ข้าเองก็ไม่กล้าบอกว่าข้าเก่งอะไรมากมาย แต่อย่าประเมินตนเองสูงเกินไปต่างหาก” เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกตบหน้าในสักวัน
เจ้าโสมน้อยอารมณ์ดิ่งลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยท่าทีหดหู่ “เข้าใจแล้ว”
“ถึงแม้เจ้าจะเดินเส้นทางสายเต๋ามาพันปี แต่ก่อนหน้านี้เจ้าก็ฝึกบำเพ็ญอยู่ในขุนเขาป่าลึกมาโดยตลอด จิตใจจึงบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เจ้าไม่เคยตระหนักรู้ว่าจิตใจมนุษย์ซับซ้อนมากเพียงใด ดังนั้นอย่าเชื่อคนง่าย รวมถึงข้าด้วย!” ฉินหลิวซีจับจ้องเขาพลางเอ่ยเตือน “รักษาความหวาดระแวงไว้ตลอด เพราะสิ่งนี้อาจจะช่วยชีวิตเจ้าไว้”
เจ้าโสมน้อยชะงักไป พลางมองนางแน่นิ่ง
ฉินหลิวซีเอ่ย “ตอนนี้ดาวจักรพรรดิเริ่มหม่นหมอง ราชวงศ์ต้าเฟิงที่เคยสงบสุขน่าจะเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นทีละน้อย ทันทีที่บ้านเมืองตกอยู่ในความโกลาหล พวกปีศาจร้ายในรูปแบบต่างๆ ก็จะปรากฏตัว หากเจ้าหลงเชื่อคนง่ายก็คงเหมือนอย่างที่ตาเฒ่าจิ้งจอกนี่บอก ไม่รู้ว่าจะถูกคนโยนลงหม้อปรุงยาไปเมื่อไร”
เฟิงซิว “เอ๊ะๆ เจ้าจิ้งจอกก็เจ้าจิ้งจอกสิ เหตุใดต้องเปลี่ยนคำเรียกข้าด้วย”
ทั้งๆ ที่เขาเป็นถึงจิ้งจอกผู้หล่อเหลาอันดับหนึ่งในใต้หล้า!
ครั้นเขาเห็นท่าทีเศร้าสร้อยของเจ้าโสมน้อยเช่นนั้นก็เอ่ย “ตอนนี้แค่สอนเจ้าเป็นมนุษย์ หากฟังแล้วเก็บไว้ในใจก็ช่างเถอะ เห็นทีคงไม่ได้เฉลียวฉลาดมากเท่าไร พวกเราควรเตรียมของปกป้องชีวิตเขาไว้บ้าง กันไว้ดีกว่าแก้”
เฟิงซิวยื่นกำไลสีแดงเพลิงชิ้นหนึ่งไปให้ บนกำไลข้อมือมีจิ้งจอกน้อยน่ารักตัวหนึ่ง ยามแกว่งไปมา ขนบนร่างจิ้งจอกตัวนั้นก็จะปลิวไสวไปตามลม ราวกับมีชีวิตจริงๆ
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าหลอมมาจากพลังปีศาจ คงต้องเอาเปรียบเจ้าให้เจ้ายอมรับข้าเป็นนาย หากเผชิญอันตราย ขอแค่เจ้ากดลงที่ร่างของจิ้งจอกตัวนี้พร้อมตะโกนบอกข้อความลงไป ข้าก็จะไปช่วยเจ้าเอง”
มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ
เจ้าโสมน้อยรีบรับมาก่อนที่สองดวงตาจะเปล่งประกาย เอ่ยถามว่า “ข้อความใดหรือ”
เฟิงซิวเอ่ยพลางยิ้มตาหยี “ท่านปู่ของข้าอยู่ที่นี่!”
เจ้าโสมน้อย “?”
กำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือ
“ตะโกนว่าท่านปู่ของข้าอยู่ที่นี่นั่นแหละ” เฟิงซิวเอ่ย “ของดีๆ ไว้ใช้ช่วยชีวิต หากพี่ชายอย่างข้าขอเอาเปรียบเจ้าบ้างจะเป็นไรไป เรียกข้าว่าท่านปู่จะเสียเปรียบมากหรือไร”
เหมือนจะพูดถูก ชีวิตสำคัญกว่า!
เจ้าโสมน้อยสวมกำไลใส่ข้อมือด้วยท่าทีเริงร่า กำไลหยกสีแดงเพลิงขับให้แขนสีขาวดุจหยกดูสะดุดตาเป็นพิเศษ เอ่ยพร้อมรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าอย่างกลั้นไม่อยู่ “สวยมากจริงๆ”
เถิงเจาถอนหายใจแผ่วเบา เห็นทีคงเป็นมนุษย์ครั้งแรกจริงๆ ไม่เข้าใจเรื่องบนโลกนี้อย่างสิ้นเชิง!
แบบนี้ก็หมายความว่าเป็นหลานของเฟิงจิ้งจอกแล้วมิใช่หรือ แถมยังข้ามเผ่าพันธุ์ด้วย
พลันฉินหลิวซีเองก็หมดคำพูดกับความชั่วร้ายของเฟิงซิวเช่นกัน มีสิ่งคุ้มกันภัยย่อมดีกว่า นางให้ยันต์ห้าสายฟ้าไว้หลายใบ บวกกับตรายันต์เต๋าทั่วร่างกาย ซึ่งช่วยกลบกลิ่นอายบนร่างไม่ให้แพร่ออกไป แต่หากเผชิญหน้ากับนักพรตที่มีปราณรากฐานขึ้นไปจริงๆ ลำพังแค่ร่ายคาถาก็มองเห็นแล้ว
“หากเจ้าถูกคนจับตัวไปจริงๆ เจ้าปล่อยร่างทิ้งได้ แต่ต้องรักษาพลังชีวิตแล้วหนีเอาตัวรอดออกมาให้ได้ ไร้ร่างแล้วยังบ่มเพาะเลี้ยงใหม่ได้ แต่หากไร้ซึ่งพลังชีวิต เจ้าก็เลิกคิดการเป็นมนุษย์ไปได้เลย” แม้แต่เป็นโสมก็ไม่ได้
เจ้าโสมน้อยขานรับที
“อย่าปล่อยให้มันอยู่เพียงลำพัง” ฉินหลิวซีเอ่ยกับเถิงเจา
เถิงเจาพยักหน้า
ครั้นเจ้าโสมน้อยเห็นพวกเขาระมัดระวังตัวเช่นนี้ก็รู้สึกผิด เอ่ยเสียงอ่อนแอ “ข้าไร้ประโยชน์มากใช่หรือไม่ แถมยังต้องอาศัยการคุ้มกันจากพวกท่านด้วย แถมใช้คาถาอะไรก็ไม่เป็น”
เขาเป็นเพียงวัตถุดิบล้ำค่าที่กลายเป็นปีศาจผู้มีปัญญา ต่างจากจิ้งจอกพันปีอย่างเฟิงซิวที่ยามปกติฝึกฝนบำเพ็ญศาสตร์ปีศาจและพลังปีศาจ เรื่องปกป้องตัวเองย่อมไม่มีปัญหา
แต่คุณสมบัติของเขาน่าจะแค่ช่วยฟื้นคืนชีพกระมัง
ครั้นเจ้าโสมน้อยคิดได้เช่นนั้น อารมณ์ก็ดิ่งวูบ เศร้าใจอย่างหนัก
“ทุกคนย่อมมีคุณค่าในตัวเอง ตัวเจ้าเองก็ย่อมมีประโยชน์ในตัวเองเช่นกัน อย่างเช่นร่างกายของเจ้า” ฉินหลิวซีเลิกคิ้วเอ่ย “โสมพันปีที่กลายเป็นปีศาจเฉลียวฉลาด อีกทั้งผ่านวิบากแห่งสวรรค์มาได้ ย่อมเก่งกว่าโสมธรรมดาพันปีมากโข หากเจ้าอยู่ในหุบเขาคงต้องขึ้นเป็นราชา เรื่องสื่อสารกับพวกพฤกษาเหล่านั้น เจ้าย่อมเก่งกว่าพวกเราแน่นอน”
ทุกสรรพสิ่งย่อมมีจิตวิญญาณ เหล่าพฤกษาพืชพรรณเหล่านั้นก็เช่นกัน หากต้องหาของบางอย่างบนภูเขาขึ้นมาจริงๆ ใครจะสู้พืชพรรณเหล่านั้นได้ แต่หากอยากล้วงความรู้ของพวกมันย่อมต้องใช้การสื่อสาร เดิมทีปีศาจโสมน้อยก็เกิดบนภูเขา ก่อนจะผ่านวิบากแห่งสวรรค์จนกลายร่าง กระทั่งเข้าสู่วิถีแห่งธรรมะอย่างเป็นทางการ เรื่องสื่อสารกับพืชพรรณพฤกษาย่อมเก่งกาจกว่าพวกเขามากโข
เจ้าโสมน้อยยืดอก “เป็นเช่นนั้น ข้าฟังความในใจของพวกมันออกหมด”
“ดังนั้นเจ้าจึงเหมาะกับการปลูกสมุนไพร ตั้งใจทำงานดีๆ” ฉินหลิวซีเอ่ย “ยาช่วยคนได้ในขณะเดียวกันก็ทำร้ายคนได้เช่นกัน หากเจ้าอยากปกป้องตนเอง เจ้าก็แค่ใช้พิษ ในพืชชนิดใดมีพิษ เจ้าจะเอามาใช้งานไม่ได้เลยหรือ พึ่งพาภูเขายังมีวันถล่ม พึ่งพาคนยังมีวันหนี เรื่องปกป้องตนเอง หากพึ่งพาตัวเองย่อมตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด ในเมื่อหลายๆ คราสายน้ำที่อยู่ไกลมักใช้ดับไฟไม่ได้ ต่อให้สู้ไม่ได้ก็คงพอหาทางเอาตัวรอดได้กระมัง”
เจ้าโสมน้อยจึงตกอยู่ในห้วงความคิด