คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1004 มหาราชครูเปลี่ยนไป
ตอนที่ 1004 มหาราชครูเปลี่ยนไป
พอจบเรื่องของเจ้าโสมน้อยได้แล้ว เฟิงซิวก็เอ่ยถึง ‘มหาราชครู’ ในวังหลวง
“ตอนนี้อู่ซั่งตายไปแล้ว มหาราชครูหุ่นเชิดในวังหลวงจะทำอย่างไรต่อไปหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “นั่นก็คือมหาราชครู”
เฟิงซิวมุ่นคิ้ว ฉับพลันก็เข้าใจในความหมายของนางก่อนเอ่ย “เจ้าจะให้เขามาแทนที่หรือ”
“มีอะไรที่ทำไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้ ตอนนี้ราษฎรต่างพากันเกลียดชังมหาราชครู หากเอาหุ่นเชิดมาเป็นตัวแทน ถ้อยคำด่าทอที่สะสมมากขึ้นย่อมส่งผลสะท้อนมาถึงเจ้าด้วย” เฟิงซิวกลับเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยนัก “อีกอย่างหากมหาราชครูผู้นั้นยังอยู่ คงต้องบงการเขาทำงานไปเรื่อยๆ อีกอย่างเขาต้องสื่อสารกับฝ่าบาทโดยตรง เจ้าทำแบบนี้จะถือว่าใช้คนในวิถีเต๋ามาแทนที่อู่ซั่งแล้วเข้ามาพัวพันในโลกมนุษย์หรือไม่ หากการกระทำเช่นนี้ส่งผลสะท้อนมาถึงเจ้าเล่า…”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอาคำด่า แต่เอาคำดีๆ แทนสิ ก่อนหน้าที่ข้าจะลักพาตัวอู่ซั่งมา ข้าได้บอกให้เขาหยุดการสร้างวังอมตะ ปลุกปั่นให้ฝ่าบาทช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติชาวบ้าน นี่คงถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วกระมัง”
เฟิงซิวเงียบไป
“เวลานี้ฝ่าบาททรงลุ่มหลงในการปรุงยาอมตะ หากตอนนี้มหาราชครูหายตัวไป พระองค์ก็คงต้องหามหาราชครูคนใหม่มาแทน” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ถึงอย่างไรอู่ซั่งในอดีตก็ถือว่าเป็นศิษย์สืบทอดมาจากปรมาจารย์จัง อีกทั้งยังปรุงยาอายุวัฒนะขั้นแท้จริง ถึงแม้จะไม่ช่วยให้อายุยืนยาว แต่ถึงอย่างไรก็กินแล้วไม่ตาย หากเปลี่ยนเป็นมหาราชครูคนอื่น ใครจะไปรู้ว่าปรุงยาแบบใดออกมา อีกอย่างนักปรุงยาที่ชั่วร้ายจริงๆ เพื่อการปรุงยาย่อมทำได้ทุกวิถีทาง กระทั่งอู่ซั่งยังเคยใช้เลือดส่วนหัวใจของเด็กทารกแรกเกิดเลย”
ครั้นทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็สีหน้าเปลี่ยน
เจ้าโสมน้อยเอ่ย “เด็กทารกแรกเกิดหรือ ปรุงยาอะไรเหตุใดต้องใช้เลือดที่หัวใจด้วย โหดเหี้ยมเกินไปแล้วกระมัง!”
“ใช้เลือดปรุงยา ไม่ว่ายาขนานใดล้วนมีทั้งนั้น เลือดของทารกแรกเกิดเป็นเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งก็พวกยาบำรุงผิวพรรณบางส่วน รวมถึงเลือดของหญิงสาวพรหมจรรย์ด้วย กระทั่งน้ำมันจากศพที่ใส่ลงในยา…”
เจ้าโสมน้อยและเถิงเจาใบหน้าซีดเผือด กระเพาะปั่นป่วน น้ำมันจากศพใส่ลงในยา แบบนี้จะกินเข้าไปได้อย่างไรกัน
“น้ำมันจากศพ มีคนกล้ากินด้วยหรือ” เจ้าโสมน้อยเอ่ยถามด้วยใบหน้าซีดขาว น่าสะอิดสะเอียนชะมัด
ฉินหลิวซีฉีกยิ้มเอ่ย “หากไม่พูด ใครจะรู้ว่ามีวัตถุดิบยาอะไรบ้าง ต่อให้กินเข้าไปเจ้าก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี”
เจ้าอย่าฉีกยิ้มเชียว รอยยิ้มที่เหมือนรอยยิ้มปีศาจเช่นนั้น น่ากลัวที่สุด
แหวะ
เจ้าโสมน้อยทำท่าคลื่นไส้
เถิงเจาบีบบริเวณช่องปากเสือ[1]พลางเอ่ย “ยาแบบนี้ได้ผลจริงๆ หรือ”
“ต้องดูว่าจับคู่กันอย่างไร ได้ผลลัพธ์ก็จริงแต่ก็ส่งผลสะท้อนกลับมามากเช่นกัน” แววตาของฉินหลิวซีแผ่ไอเย็นยะเยือก “แต่การใช้สิ่งเหล่านี้ปรุงยา ย่อมแลกมากับชีวิตคน แล้วแบบนี้มีใครไม่โกรธแค้นบ้างเล่า ความโกรธนี้ก็จะติดตามยานั้นไปด้วย”
การทำความชั่วบ่อยครั้งย่อมนำมาซึ่งหายนะ คำพูดนี้ใช่ว่าจะไร้เหตุผลซี้ซั้วเสียทีเดียว
“เอาล่ะๆ จะขู่ให้พวกเขากลัวไปทำไม ลากยาวไปไกลแล้ว!” เฟิงซิวปรามประเด็นข้อนี้ไว้
ฉินหลิวซีกระแอมไอเสียงเบาทีแล้วเอ่ย “ดังนั้นหากปล่อยให้ฝ่าบาททรงตามหามหาราชครูที่ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรบ้างมาทำงาน สู้ทิ้งหุ่นเชิดไว้ที่นั่นดีกว่า อย่างน้อยหากเขาอยากได้ยา เราก็แค่ให้ยาบำรุงร่างกายไปก็พอแล้ว อย่างน้อยหุ่นเชิดของพวกเราก็คงไม่ได้วิงวอนขอให้สร้างวังอมตะก่อความเดือดร้อนให้ประชาชนกระมัง”
“ข้าขอเตือนเจ้าว่าวังอมตะ เป็นวังที่ฝ่าบาททรงอยากสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง” เฟิงซิวเหลือบมองนางแล้วเอ่ย “ใช่ว่ามหาราชครูบอกว่าจะไม่สร้างแล้วพระองค์จะไม่สร้างเสียเมื่อไร หากเขาอยากมีชีวิตอยู่ยืนนาน ย่อมต้องสร้างวังเซียนอยู่แล้ว เช่นนี้เทพเซียนของเขาถึงจะประทับบำเพ็ญอยู่ภายในมิใช่หรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เช่นนั้นก็ต้องสร้างสถานการณ์หลอกลวงเขาว่าหากสร้างขึ้นมาจะเกิดเรื่องขึ้น ดูสิว่าเขายังจะกล้าสร้างต่ออีกหรือไม่”
“แบบนี้จะต่างอะไรกับทำร้ายเขา คนที่ต้องถูกสายฟ้าฟาดก็คือเขา เกรงว่าสายฟ้าคงขนาดเท่าแขนได้!” เฟิงซิวเอ่ยราวกับมีความสุขเหนือความทุกข์ของคนอื่น
ฉินหลิวซีโมโหสุดขีด “กล้าหรือ! หากคิดปกป้องคนผู้นั้น เหตุใดถึงไม่ฆ่าซื่อหลัวให้ตายก่อน ซื่อหลัวไต่ขึ้นมาจากมหาอเวจีนรก ทั้งเล่นและทำอะไรตามใจชอบ เช่นนี้ก็เท่ากับเพิกเฉยเหมือนคนตาบอดไม่ต่างกัน ซื่อหลัวเป็นลูกรักของมันหรือไร หากกล้าแตะต้องเอาสายฟ้าฟาดข้าแม้แต่นิดเดียว ทุกคนก็อย่าหวังจะได้อยู่เป็นสุขเลย!”
สวรรค์ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด แต่อารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้กลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย!
ฉินหลิวซีมองเฟิงซิวที่หมายพูดบางอย่างอึกอัก ก่อนแหวเสียงใส่ “เจ้าหุบปากไปเลย! หุ่นเชิดนี่อยู่ในวังไปก่อน มิเช่นนั้นหากมหาราชครูหายตัวไป ฝ่าบาทย่อมทรงกริ้ว บัดนี้ภัยพิบัติหิมะยังไม่ทันคลี่คลาย หากสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกคงเป็นความผิดของพวกเราแน่นอน”
ในเมื่อเรื่องที่มหาราชครูตัวจริงกลายเป็นเถ้าธุลีลอยหายไป เป็นฝีมือของพวกเขาเอง!
ครั้นเฟิงซิวเห็นนางตัดสินใจแน่วแน่เช่นนั้น เขาก็แบมือกางออกอย่างช่วยไม่ได้ นางว่าอย่างไรก็ว่ากันตามนั้นแล้วกัน
…
ก่อนหน้านี้ฉินหลิวซีบอกให้หุ่นเชิดกราบทูลเรื่องหยุดสร้างวังแล้วพยายามบรรเทาทุกข์ราษฎรอย่างเต็มกำลัง นับว่าเป็นไปอย่างเหมาะสม
ฮ่องเต้คังอู่ทรงเลื่อมใสมหาราชครูอย่างมาก หลังจากได้ยินว่าเขาเอ่ยถามทวยเทพ ถึงรู้ว่าหิมะตกอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นภัยพิบัติ หากยังสร้างวังในเวลาที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้กลับจะโดนสวรรค์ลงโทษ ต้องหยุดมือแล้วช่วยบรรเทาทุกข์ชาวบ้านก่อน มิเช่นนั้นต้องประสบภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงกว่า
ฮ่องเต้คังอู่ทรงปรารถนามีอายุยืนยาว แต่ก็ไม่อยากเป็นที่ครหาจนเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นกัน หากเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่องจนบีบให้เขาเขียนหนังสือทำความผิดขึ้นมา เขาจะไม่เสียหน้าหรือ
เพราะคำพูดของมหาราชครู เขาจึงเรียกรวมพลขุนนางคนสำคัญกรมต่างๆ เข้าประชุม เพื่อระงับการสร้างวังแล้วบรรเทาทุกข์ภัยพิบัติอย่างเร่งด่วน
ผลลัพธ์น่าเหลือเชื่อ เพราะพอมีราชโองการนี้ออกไปก็ทำให้หิมะที่ตกมาเกินครึ่งเดือนหยุดลง
มหาราชครูทำทีดีใจและชื่นชมอย่างลึกซึ้งไปที กล่าวว่าเบื้องบนเห็นจิตใจเมตตารักที่ฝ่าบาทมีต่อปวงประชาจนซาบซึ้งใจ หิมะจึงหยุดตกพล่ามไปต่างๆ นานา ชมจนฮ่องเต้คังอู่ฉีกยิ้มแก้มปริ ก่อนจะรับสั่งกับกรมพระคลังอีกครั้งว่าต้องพยายามเร่งหารือบรรเทาทุกข์ให้เร็วที่สุด
พอออกจากตำหนักมา เหล่าขุนนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นของฝ่าบาท พร้อมเผยสีหน้าประหลาดใจพลางสบตากัน
“ดั่งคำที่ว่าปากของกระบองวิเศษย่อมมีวาทศิลป์ ไม่ใช่เรื่องโกหกเลยสักนิด ดูเอาเถิดว่าเอาอกเอาใจฝ่าบาทจนอยากได้อะไรก็ทรงประทานให้หมดแล้วกระมัง”
“ไม่ว่าอย่างไรก็นับว่าเขาทำเรื่องดีๆ แล้วกัน”
ผู้เฒ่าอวี๋มองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง เอามือซ่อนไว้ในแขนเสื้อแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเสนาบดีลิ่น ก่อนจะเดินออกจากวังไปพร้อมเขา พลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านว่ามหาราชครูผู้นี้ดูแปลกไปหรือไม่”
เมื่อครู่ตอนเขาเห็นมหาราชครูผู้นั้น ยังคงเป็นมหาราชครูผู้นั้นอยู่ แต่การกระทำและคำพูดกลับให้ความรู้สึกว่าแปลงร่างเปลี่ยนคนไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่ได้ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้อย่างที่เป็นก่อนหน้านี้ ช่างน่าประหลาดใจนัก!
หิมะตกมาครึ่งเดือน มีข่าวคราวดังแว่วออกมาตลอดว่าที่ใดก็เจอแต่ภัยพิบัติ บ้านเรือนประชาราษฎร์ถูกหิมะถล่มใส่ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ในราชสำนักเองย่อมได้ยินมาบ้างเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะร้องขอให้ส่งคนไปบรรเทาทุกข์ชาวบ้านเท่าไร คนผู้นั้นกลับบอกแต่ว่าเงินคงคลังมีไม่มากพอ วังอมตะยังสร้างไม่เสร็จ ช่วงสิ้นปีแต่ละพื้นที่ต้องใช้เงินต่างๆ นานา ข้ออ้างสารพัด ฝ่าบาทก็มิทรงมีราชโองการสักทีว่าจะช่วยบรรเทาทุกข์อย่างเต็มกำลัง
สำหรับในใจของเขาแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดก็สำคัญสู้วังอมตะไม่ได้!
ครั้นเห็นว่าหิมะตกไม่หยุดสักที ราษฎรที่ประสบภัยก็หลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวร้ายก็มากขึ้นทุกวัน พวกเขาเตรียมเสนอเรื่องช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาราษฎร์อย่างเต็มกำลังในที่ประชุม หากพระองค์มิทรงอนุญาต อย่างน้อยต้องมีคนยอมเสียเลือดเนื้อบ้างแหละ
สุดท้ายพวกเขายังไม่ทันพูดอะไร เพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของมหาราชครู ฝ่าบาทก็ทรงมีรับสั่งให้ส่งข้าหลวงออกไปบรรเทาทุกข์ในแต่ละพื้นที่แล้ว
ขุนนางอย่างพวกเขาพูดปากเปียกปากแฉะก็เทียบกับคำพูดของนักพรตคนหนึ่งไม่ได้ ชวนให้คนมากมายขัดเคืองและอัดอั้นตันใจไม่น้อย แต่ไม่ว่าอย่างไร ฝ่าบาททรงช่วยเหลือประชาชนก็ดีแล้ว ในเมื่อห่างจากวันปีใหม่ไม่ถึงหนึ่งเดือน คงไม่ปล่อยให้ชาวบ้านผู้ประสบภัยไม่ได้กินแม้แต่ของร้อนๆ เลยกระมัง
แต่สิ่งเหนือคาดมากกว่านั้นก็คือ พระองค์ส่งมีราชโองการลงไปไม่นานหิมะก็หยุดตกแล้ว
หรือเป็นการลงทัณฑ์จากสรวงสวรรค์จริงๆ นะ
“แปลกหรือไม่ไม่สำคัญ แค่ทำเรื่องดีๆ ก็พอแล้ว” เสนาบดีลิ่นซุกมือไว้ในแขนเสื้อ เอ่ยถอดถอนหายใจว่า “ภัยพิบัตินี้คงยากที่จะบรรเทาช่วยเหลือ เดินเร็วกว่านี้สักสองก้าวเถิด มิเช่นนั้นอีกเดี๋ยวคงเดินหนีไม่ได้แล้ว”
ผู้เฒ่าอวี๋ยังไม่ทันพูดอะไร ใต้เท้าราชเลขากรมการคลังก็พารองเจ้ากรมครัวเรือนฝ่ายซ้ายชุยซื่อเสวียเร่งฝีเท้าไล่ตามมาหา แค่เปิดปากก็ร้องเสียงสะอื้นแล้ว “ท่านเสนาบดี ใต้เท้าอวี้ การบรรเทาทุกข์ครั้งนี้ควรใช้วิธีการใดหรือ ท้องพระคลังของเราว่างเปล่า พวกท่านจะเพิกเฉยไม่สนใจไม่ได้นะ!”
ผู้เฒ่าอวี๋ “…”
ดูท่าขาของเขาคงเดินได้ไม่คล่องตัวนัก ได้ยินมาว่านักพรตน้อยกลับมาแล้ว หรือว่าเขาควรไปขอแผ่นยาจากนางมาแปะสักสองแผ่นดี เกิดเรื่องทีไรจะได้รีบหนีหายวับไปเลย!
[1] ช่องปากเสือ หมายถึงบริเวณระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของมือ ซึ่งช่วยเรื่องขับลมและเปิดรูอณูผิวหนัง กระจายลมปราณและเลือดลม ขับของเสียและสงบจิตใจ