คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1005 โปรดเจ้าอาวาสช่วยชี้แนะว่าหาเงินอย่างไรได้บ้าง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1005 โปรดเจ้าอาวาสช่วยชี้แนะว่าหาเงินอย่างไรได้บ้าง
ตอนที่ 1005 โปรดเจ้าอาวาสช่วยชี้แนะว่าหาเงินอย่างไรได้บ้าง
………………..
หิมะเดือนสิบสองตกมาครึ่งค่อนเดือน ทางทิศเหนือเจอภัยพิบัติหิมะทั้งแถบ บ้านเรือนของประชาชนถูกหิมะถล่มอย่างหนัก คนล้มตายนับไม่ถ้วน มีคนมากมายต่างมุ่งหน้าเดินทางเข้าเมืองหลวงและลงใต้ อากาศหนาวจัด บางคนยังไม่ทันออกจากบ้านเกิดก็ต้องอดโซหนาวเหน็บล้มตายระหว่างทาง
ภัยพิบัติหิมะนำพามาซึ่งความตายมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันราคาข้าว ผ้าและของให้ความอบอุ่นอย่างถ่านฟืนก็ราคาสูงลิ่ว ข่าวร้ายดังแว่วมาถึงเมืองหลวงอย่างต่อเนื่อง ในหมู่ชาวบ้านเริ่มมีความเห็นไม่สอดคล้องกัน เพราะความไร้เมตตาของฮ่องเต้ ลุ่มหลงศรัทธาในวิถีมาร ถึงเป็นผลให้เบื้องบนลงโทษ กระทั่งฮ่องเต้ต้องเขียนหนังสือลงโทษตนเอง
ข่าวเรื่องนี้ดังแว่วมาถึงหูฝ่าบาท พลันก็ทรงกริ้วโยนหยกทับกระดาษสีขาวดุจหนังแกะกระแทกลงพื้น กดดันคนในกรมพระคลังไม่หยุดหย่อน เพื่อเร่งให้บรรเทาภัยพิบัติและรักษาหน้าตาของตน
ใช่ว่ากรมพระคลังไม่อยากบรรเทาทุกข์ แต่ท้องพระคลังว่างเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงอยากสร้างวังอมตะอะไรนั่น กระทั่งหยิบยืมเงินจากท้องพระคลังไปไม่น้อย บัญชียังสะสางไม่ทันเรียบร้อยดีจะหาเงินทองมาจากที่ใด
ไม่สิ เดิมทีเรื่องช่วยเหลือบรรเทาทุกข์สามารถสร้างชื่อเสียงได้เป็นอย่างดี ทว่าเหล่าองค์ชายที่แย่งชิงบัลลังก์กันเลือดตกยางออก ปีนี้กลับทำตัวเป็นนกคุ่ม[1] หากไม่แสดงตัวได้ก็จะไม่แสดง ส่วนคนที่ไร้ความคิดแก่งแย่งบัลลังก์กลับอ้างว่าหนาวป่วย กลัวว่าจะถูกฮ่องเต้เสด็จพ่อบีบบังคับ
ในเมื่อไร้เงินทองจะช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไร โดยเฉพาะยามที่ประชาชนต่างกำลังชิงชังฮ่องเต้และราชวงศ์ คิดว่าฝ่าบาทเลื่อมใสในวิถีมาร ถึงได้ถูกสวรรค์ลงโทษ เสียงประณามชิงชังนี้ หากจัดการได้ไม่ดีคงไปอย่างไม่มีวันกลับ
นอกจากนี้อากาศปีนี้หนาวเหน็บ หากหมกตัวอยู่ในจวนย่อมดีกว่าออกไปรับไอหนาวข้างนอกมิใช่หรือ
ดังนั้นเรื่องเหนื่อยเปล่าไร้ผลตอบแทนเช่นนี้ทำให้น้อยหน่อยย่อมดีกว่า
ดังนั้นจะช่วยเหลืออย่างไร ส่งใครไปทำงาน ในการประชุมช่วงเช้าจึงเต็มไปด้วยข้ออ้างต่างๆ
แต่ยังไม่ทันเลือกคนที่ไปทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยก็มีข่าวร้ายดังแว่วมาว่าด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น นอกชายแดนกลุ่มวัวแกะ แม้กระทั่งผู้คนต่างก็แข็งตายนับไม่ถ้วน เพื่อความอยู่รอดจึงรวมกลุ่มกันข้ามดินแดนเข้ามาแย่งอาหาร เสื้อผ้าและผ้าห่ม
ศึกชายแดนคว้าชัยชนะมาได้ก็จริง ต่อให้ฆ่าศัตรูได้นับพัน ทว่าฝ่ายตนก็บาดเจ็บแปดร้อย เพราะเหตุใดหรือ ก็เพราะความหนาว เหล่าทหารต่างร่างแข็งไร้เรี่ยวแรง เมื่อสืบสวนก็พบว่าเงินเดือนและเสบียงไม่ถูกส่งมา ถูกยักยอกไปหมด หลังจากชนะศึกกลับไร้ความดีใจ กระทั่งเกือบก่อกบฏด้วยซ้ำ
ไม่ว่าทางใดก็ยื่นมือขอเงินมาทุกทาง ขุนนางกรมพระคลังต่างคิดมากจนศีรษะโล้น เหลือแค่วิงวอนขอให้มหาราชครูช่วยชี้แนะช่องทางหาเงิน ทำอย่างไรได้ในเมื่ออับจนหนทางแล้ว!
ปีนี้ต้องใช้ชีวิตลำบากมากแน่นอน!
บัดนี้เพื่อรวบรวมเงินทอง ภายในวังจึงต้องลดการฟุ่มเฟือย เหล่าสนมวังหลังเรี่ยไรเงินส่วนตัวกันโดยมีฮองเฮาเป็นแกนนำ ส่วนขุนนางในราชสำนักเองก็ร่วมสมทบทุนด้วย แต่ก็ยังไม่เพียงพอ กระทั่งบางคนยังนึกไปถึงตระกูลพ่อค้าเศรษฐีเหล่านั้น
ในเมื่อถกกันเรื่องความร่ำรวยแล้ว การทำมาค้าขายย่อมร่ำรวยมากที่สุด
แต่พ่อค้าเห็นผลกำไรเป็นสำคัญ หากไร้ซึ่งผลประโยชน์ พวกเขาจะยอมควักเงินให้ด้วยความเต็มใจได้อย่างไร จิ้งจอกเฒ่าในวงการการค้า หากคุยกันเรื่องดีดลูกคิดคำนวณผลประโยชน์ขึ้นมาเสียงคงดังไปถึงต่างแดนเชื่อหรือไม่
ขณะที่ขุนนางในราชสำนักกำลังหาข้ออ้างไม่ไปช่วยเหลือประชาชน กรมพระคลังกลับพยายามขบคิดหาวิธีการหาเงิน ชุยซื่อเสวียรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายคนใหม่จึงไปหาฉินหลิวซีอย่างอดไม่ได้
เขามีใจทำเพื่อปวงประชา และอยากสร้างความดีความชอบเช่นกัน อีกทั้งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง หากคิดอยากกระพือไฟให้ลุกโหม นั่งตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง จำเป็นต้องดึงความสามารถที่คู่ควรกับตำแหน่งนี้ออกมา ดังนั้นคุณงามความดีเรื่องช่วยเหลือประชาชนเช่นนี้ เขาย่อมพลาดไม่ได้
ส่วนเหตุใดมาหาฉินหลิวซี แน่นอนว่าเขาอยากมาขอคำชี้แนะจากนาง ทิศทางการเดินของเขาถึงจะง่ายดายและชัดเจน
แต่สำหรับคนอื่นแล้ว บางทีอาจเป็นการใช้ทางลัดที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่ควรทำ แต่ในเมื่อมีทางลัดเหตุใดต้องรั้นเสียเวลาเดินอ้อม กระทั่งใช้เวลานั้นทำอะไรได้ตั้งอีกมากมาย
ส่วนเรื่องชื่อเสียงจะดีหรือไม่ ชุยซื่อเสวียกลับไม่ใส่ใจนัก เขาดูแค่ผลลัพธ์ในตอนท้ายเท่านั้น ผลลัพธ์นำพามาซึ่งคุณงามความดีและช่วยเหลือประชาชนด้วย ย่อมเป็นชื่อเสียงในทางที่ดี
อีกอย่างเขาก็แค่มาหาคนที่นับถือเพื่อขอคำชี้แนะเรื่องปัญหาที่แก้ไม่ได้ ถือว่าเป็นการใช้ทางลัดที่ไม่ถูกต้องอย่างไรกัน
ครั้นฉินหลิวซีเห็นว่าชุยซื่อเสวียมาหาถึงที่ รอยยิ้มนั้นช่างน่าประหลาด ราวกับจับได้ว่ามาด้วยเรื่องใด
ชุยซื่อเสวียเห็นเช่นนั้นก็ขนลุกวาบ ก่อนจะหันไปมองประตูตามสัญชาตญาณ หรือว่านี่เขาไม่ควรมากันนะ
หลังจากนั้นหลายปี พอเขาผุดนึกถึงวันนี้ขึ้นมากลับรู้สึกโชคดีอย่างมากที่ตนเลือกย่างกรายเข้ามาในประตูบานนี้ นั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด แม้ว่าหนทางหลังประตูนั้นจะเต็มไปด้วยขวากหนามก็ตาม
หลังจากทำความเคารพและนั่งลงแล้ว ชุยซื่อเสวียก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “รอยยิ้มของท่านเจ้าอาวาส คำนวณเห็นก่อนแล้วว่าข้าจะมาอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีเลื่อนชาส่งไปให้ เอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “ใต้เท้าชุยแวะมา ข้าเลยยิ้ม”
“นี่เป็นคำปรัชญาหรือ”
ฉินหลิวซีฉีกยิ้มโดยไม่พูดอะไร เปล่าเลย เจ้าเป็นฝ่ายมาหาโจร…มาเพื่อทำการใหญ่ ข้าชอบใจก็เท่านั้น!
ชุยซื่อเสวียจิบชาอึกหนึ่งแล้วเอ่ย “เจ้าอาวาสทำนายเห็นก่อนแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อม ความจริงครั้งนี้ข้าแวะมาก็เพื่อขอคำชี้แนะจากท่านเจ้าอาวาสว่าจะหาเงินมาใส่ท้องพระคลังได้อย่างไรบ้าง”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “ใต้เท้าชุยอยากให้ข้าชี้แนะกรมพระคลังว่าควรจะหาผลประโยชน์จากประชาชนอย่างไรหรือ”
หากเป็นเช่นนั้นนางคงไม่กล้าชี้แนะ ถ้ากรมพระคลังยังคิดขูดรีดประชาชนอีกละก็ พวกชาวบ้านคงหมดหนทางใช้ชีวิตแล้ว
“มิกล้าขอรับ” ชุยซื่อเสวียเอ่ย “ท่านคงรู้เรื่องราชสำนักอยากช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ข้าพูดตามตรง บัดนี้เงินในท้องพระคลังที่ใช้ได้กลับมีไม่ถึงหนึ่งล้านตำลึง ต่อให้มีใจอยากช่วย แต่ในเมื่อขาดปัจจัยสำคัญไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงทำได้แค่แบกหน้ามาหาท่าน ขอคำชี้แนะหาเงินอย่างไรจากท่านเจ้าอาวาส”
สวรรค์คุ้มครอง เดิมทีเขาควรรับตำแหน่งหลังปีใหม่ แต่สุดท้ายพอเข้าเมืองหลวงมาก็เจอเรื่องเช่นนี้เข้าจนต้องรีบรับตำแหน่ง เรื่องนี้ยังพอว่า แต่ครั้นเห็นกรมพระคลังเงินทองร่อยหรอ เขาก็มืดแปดด้าน
จนเกินไปแล้ว!
โดยเฉพาะยามนี้ฮ่องเต้ทรงกดข่มบอกให้พวกเขาเอาเงินออกมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขุนนางในกรมพระคลังอย่างพวกเขา มีคนใดไม่เครียดจนหนวดเคราร่วงบ้าง
“หากอยากรวบรวมเงินเพื่อช่วยเหลือราษฎรก็ใช่ว่าข้าจะไม่มีวิธีเลย คำชี้แนะนี้…” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางเคาะโต๊ะ
ชุยซื่อเสวียเองก็รู้ความ ก่อนจะรีบล้วงหยิบปึกตั๋วเงินเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะเอ่ย “นี่เป็นค่าตอบแทน”
เมื่อฉินหลิวซีเห็นตั๋วเงินร้อยตำลึงพับซ้อนกันก็ฉีกยิ้มเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าชุยใช้เงินส่วนกลางหรือเงินส่วนตัวหรือ”
“นี่เป็นคำร้องขอส่วนตัวของข้าย่อมควักออกมาจากกระเป๋าตัวเองอยู่แล้ว” หากเขาใช้เงินส่วนกลาง คิดว่าคนในกรมตรวจการว่างงานนักหรือไร ไม่มีอะไรจะเขียนรายงานแล้วถึงมอบหลักฐานให้พวกเขาจับผิดง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีหยิบตั๋วเงินมาแค่ใบเดียวแล้วเอ่ย “แค่นี้ก็พอแล้ว ใต้เท้าจดจำบุญคุณไว้ก็พอ”
นางคิดจะทำสิ่งใด
หรือคิดจะก่อกบฏ!
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าสมัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน มีขุนนางเก่าๆ ติดค้างเงินในราชสำนักไม่น้อย กระทั่งหลายปีนี้ก็ยังไม่ชดใช้หนี้สิน เกรงว่าคนตายไปแล้วแต่หนี้กลับยังคงอยู่”
ชุยซื่อเสวียฉีกยิ้มขมขื่น “ท่านคิดไปในทิศทางเดียวกับข้า ตอนที่เห็นเงินในท้องพระคลังร่อยหรอ ข้าเองก็มีความคิดอยากทวงหนี้ กระทั่งเคยเอาสมุดมาเปิดดู ข้าพูดตามตรงอย่างน่าไม่อาย ยอดเงินที่พวกเขาติดค้างรวมกันแล้วราวๆ สองล้านกว่าตำลึง ท่านว่าหากทวงกลับมาคงช่วยทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงบ้าง แต่หากการทวงหนี้ง่ายดายขนาดนั้นคงไม่สะสมเป็นหนี้ก้อนโตขนาดนี้ นอกจากนี้พวกเขายังลอยตัวอยู่เหนือหนี้ คนเจ้าเล่ห์พวกนั้น อย่ามองว่าภายนอกดูซื่อตรง เมื่อเทียบกับพวกนักเลงแล้ว พวกเขาต่างเหนียวหนี้ไม่แพ้กันเลย ไม่มีใครเบี้ยวหนี้เก่งเท่าพวกเขาแล้ว”
ความจริงหนี้ก้อนนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ของกรมพระคลังเช่นกัน มีราชเลขากรมการคลังคนใดไม่อยากสะสางบัญชีให้เรียบร้อย แต่ขุนนางเก่าๆ พวกนั้นขอเงินคืนง่ายดายเสียเมื่อไร ใช่ว่าพวกเขาไม่มีคืน แต่เหนียวหนี้ พอไปทวงเงินก็ยึกยัก อ้างนั่นอ้างนี่ ไม่มีเงินแล้ว!
หากเจ้ารั้นจะทวงคืน พวกเขาก็ทุ่มสุดหน้าตักล้มลงคุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาทคร่ำครวญถึงฮ่องเต้พระองค์ก่อน แบบนี้ใครจะต่อกรกับพวกเขาได้
ฉินหลิวซียกแก้วชาขึ้นมาแล้วเอ่ย “แบบนี้ไม่ใช่การให้ยาตามอาการ[2] หากจับจุดถูกย่อมทวงเงินคืนได้ไม่ยาก จวนใดไร้จุดอ่อนหรือความต้องการบ้างเล่า พวกเจ้าต้องจับจุดให้ถูกถึงจะได้ผล”
ชุยซื่อเสวียดีใจ “หากท่านเจ้าอาวาสลงมือ คิดว่าปัญหาครั้งนี้ย่อมคลี่คลายได้ทุกอย่าง”
ครั้นเห็นสายตาอยากลองใจแทบขาดของเขา ฉินหลิวซีก็รู้สึกขบขัน
“ใต้เท้าชุย ข้าเป็นเพียงนักบวช หากทำในสิ่งที่พวกเจ้าควรทำ พวกเจ้าจะมองหน้าคนอื่นติดได้อย่างไร” แค่ทวงเอง นางทำได้อยู่แล้ว แต่เหตุใดนางต้องทำด้วย นางไม่ได้รับเงินเดือนจากในราชสำนักเสียหน่อย
ชุยสื่อเสวี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอแค่ทวงเงินคืนกลับมาได้ ข้าไม่รู้สึกอับอายขายหน้าเลยสักนิด ข้าหน้าหนาเป็นสามนิ้ว!”
ความอับอายคือสิ่งใด ใช้รักษาความยากจนได้หรือ กรมพระคลังป่วยขั้นวิกฤต มีเพียงเงินทองเท่านั้นถึงจะช่วยรักษาอาการได้
ฉินหลิวซี “…”
คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหน้าด้านไร้ยางอายถึงเพียงนี้!
นางเมินเฉยต่อดวงตาวาววับและคาดหวังของอีกฝ่าย เอ่ยเสียงขบขันว่า “ใต้เท้าชุยเป็นคนมีความสามารถ ในเมื่อท่านหน้าหนาขนาดนี้แล้วย่อมคลี่คลายปัญหาได้แน่นอน ถึงแม้ว่าจะทวงหนี้เหล่านี้คืนกลับมาได้แต่ก็ยังไม่พอ หากต้องการรวบรวมเงินจำนวนมาก ยังต้องวางแผนหาเอาจากภายนอกด้วย”
อาหารจานหลักมาแล้ว
ชุยซื่อเสวียรีบเอ่ยถาม “อย่างเช่นอะไรหรือ”
“ในใต้หล้านี้ คนที่มั่งคั่งที่สุดล้วนเป็นพ่อค้า พวกเขาแทบครองเงินในต้าเฟิงไปแล้วเจ็ดสิบส่วน แต่ไม่ว่าเงินทองของใครก็ใช่ว่าจะได้มาโดยเปล่า ล้วนผ่านความเหน็ดเหนื่อยมาทั้งนั้น หากให้พวกเขาบริจาคเล็กๆ น้อยย่อมได้ แต่หากเป็นเงินจำนวนมากแล้วไร้ผลประโยชน์ก็เลิกคิดไปได้เลย”
ชุยซื่อเสวียพยักหน้า “ดังนั้นหากอยากได้เงินจากพวกเขาก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง”
“ปัญหานี้แก้ไขง่ายมาก มั่งคั่งสูงศักดิ์ มั่งคั่งแต่ไร้ซึ่งความสูงศักดิ์ เปี่ยมล้นด้วยเงินทองแต่กลับไร้ชื่อเสียง ถือว่าเป็นพ่อค้าที่สถานะต่ำต้อยที่สุด พวกเขาอยากสูงศักดิ์ อยากมีชื่อเสียง พวกเจ้าตระเตรียมเรื่องนี้ไว้ก็พอแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “ใช้ชื่อเสียงทางตำแหน่งของขุนนางมาจัดงานประมูลการกุศลสิ”
ชุยซื่อเสวียผงะไป “หมายความว่าอย่างไร”
“ประมูลการกุศล ใช้การกุศลมาเป็นคำสวยหรู ส่วนเงินทองที่ได้จากการประมูลก็เอามาใช้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่นนี้ก็มีชื่อเสียงแล้ว เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้วว่ามั่งคั่งแต่ไร้ซึ่งความสูงศักดิ์กลับเป็นความเจ็บปวดของพ่อค้า พวกเขาไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง แต่ขาดแคลนเรื่องชื่อเสียงและความสูงศักดิ์ ดังนั้นพวกเขาจึงชอบแสร้งทำตัวเป็นผู้ดี และอยากเปลี่ยนแปลงสถานภาพของตระกูลให้สูงขึ้น”
ฉินหลิวซีประคองแก้วชาพลางเอ่ย “พ่อค้าเดินเส้นทางการสอบขุนนางได้ยาก หากมีโอกาสเช่นนี้มาใช้พิจารณา คิดว่าคงเต็มใจควักเงินจ่ายแน่นอน”
ชุยซื่อเสวียมุ่นคิ้ว “หากใช้สถานะพ่อค้ามาสอบขุนนาง ทันทีที่สอบติด แต่กลับร่ำรวยด้วยเงินทอง เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับราษฎรเท่าไรนัก”
“เรื่องนี้สร้างเงื่อนไขได้ ผู้ที่สอบติดจะต้องละทิ้งการเป็นพ่อค้าและกิจการ ใช่ว่าจะคว้าเอาผลประโยชน์ทั้งสองทางได้เสียเมื่อไร” ฉินหลิวซีเอ่ย “อีกอย่างโอกาสเช่นนี้ใช่ว่าให้พวกเจ้าไปเดินเร่ขายตามท้องถนน การประมูลคืออะไร ย่อมเป็นผู้ที่ให้เงินมากที่สุดได้ไป หาตำแหน่งที่ใช้ประมูลสักห้าตำแหน่ง เจ้าว่าพวกเขาจะยอมทุ่มเงินเท่าไรเพื่อแลกมาเล่า”
“นอกจากพิจารณาเรื่องตำแหน่งแล้ว ยังมีสมบัติล้ำค่าด้วย ในเมื่อเป็นการกุศล ผู้บริจาคสิ่งของย่อมทำด้วยจิตเมตตา ในขณะเดียวกันผู้ประมูลเองก็ทำด้วยจิตเมตตาเช่นกัน ในเมื่อเต็มใจควักเงินประมูล พวกเจ้าก็ต้องมีสิ่งของ อย่างเช่นลายมือของฮ่องเต้อันล้ำค่า หรือภาพเขียนของบัณฑิตนักปราชญ์ที่หายากๆ เป็นต้น เรื่องบริจาคสิ่งของให้เป็นไปตามความสมัครใจ ทุกอย่างมีแต่ได้กับได้ ในเมื่อใช้ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาราษฎร์ เช่นนี้ทุกคนต่างก็ได้ชื่อเสียงไปมิใช่หรือ อ้อ แล้วก็เตรียมหนังสือรับรองไว้ด้วย หากทำการประมูลด้วยจำนวนเงินที่กำหนดก็จะให้เอกสารรับรองจากทางการไป ต่อให้เป็นเหรียญเล็กๆ ทางที่ดีก็ควรเป็นลายมือของฝ่าบาท รับรองให้สมญานามว่าเป็นผู้สั่งสมความดี เจ้าว่าคนที่อยากมีชื่อเสียงจะมีใครไม่อยากควักเงินออกมาจ่ายบ้างหรือ”
ชุยซื่อเสวียใจเต้นตึกตัก ยอดเยี่ยมไปเลย
“ความจริงนี่ก็เป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน เพียงแต่อาศัยความมีเมตตาธรรมมาบังหน้า ทำให้ชื่อเสียงน่าฟังมากขึ้นก็เท่านั้น ทันทีที่งานประมูลนี้จัดขึ้น ลำพังแค่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานก็ถือว่าได้ชื่อเสียงไปเต็มๆ แล้ว”
ลองคิดดูว่างานประมูลเช่นนี้ คนธรรมดาจะเข้าร่วมได้ด้วยหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หากผู้มาเข้าร่วมไม่มีทุนทรัพย์และสถานะทางสังคม ใครอยากจะให้เจ้าเข้าร่วมงานกัน
อีกอย่างคนที่มาร่วมงาน หากไม่มีเงินแต่สถานะสูงศักดิ์ พอถึงตอนนั้นใบเทียบเชิญร่วมงานก็จะเป็นใบเกียรติคุณชิ้นหนึ่ง
ชุยซื่อเสวียราวกับมองเห็นงานเลี้ยงนั้นแล้ว เขายกแก้วชาขึ้นมาจิบแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดนักบวชอย่างท่านถึงเข้าใจเรื่องแบบนี้ด้วย” วันๆ มีแต่ท่องบทสวดมนต์ ไล่จับผีมิใช่หรือ
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “ข้าก็แค่ลอกคนอื่นเขามา ข้าไม่ได้คิดเอง”
สมญานามพ่อค้ามือทองของกงปั๋วเฉิงไม่ใช่เรื่องโกหกสักนิด
ชุยซื่อเสวียเอ่ย “ความคิดเรื่องนี้ไม่เลวเลยจริงๆ แต่บัดนี้เรื่องบรรเทาทุกข์ต้องเร่งจัดการ หากอยากจัดงานประมูลเช่นนี้ ใช่ว่าวันสองวันนี้จะเตรียมการเสร็จได้”
“โรงประมูลจิ่วเสียนสามารถจัดเวทีให้ได้ในเวลาสองวัน แต่หากอยากจัดหรูหราดูดีต้องมีเวลามากพอ อีกอย่างเผื่อเวลาผู้ที่มาร่วมงานได้เตรียมตัวด้วย ในเมื่อของบริจาคก็ต้องเตรียมไว้ก่อนมิใช่หรือ คิดๆ ดูแล้วเหล่าตระกูลผู้ดีที่อยากได้ชื่อคงต้องเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับด้วยกระมัง”
“แม้จะมีเวลามากมาย แต่ในสถานการณ์ที่เร่งด่วนก็รอไม่ได้”
ฉินหลิวซียิ้มตาหยีเอ่ย “โรงประมูลจิ่วเสียนเป็นโรงประมูลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ทรัพย์สินมีไม่มาก แต่หากจะให้สำรองก่อนสักล้านกว่าตำลึงก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
ชุยซื่อเสวีย มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย
“ดังนั้นสิทธิ์ในการประมูลครั้งนี้ นอกจากจำนวนสิทธิ์ของทางการแล้ว ส่วนที่เหลือก็ให้จิ่วเสียนขายด้วย คงเหมาะสมกระมัง ส่วนเรื่องค่านายหน้าก็หักมาหนึ่งส่วน”
ชุยซื่อเสวีย “…”
ไม่ใช่กำลังชี้แนะหรือ เหตุใดถึงกลายเป็นการซื้อขายไปได้
“เจ้าวางใจได้ งานประมูลครั้งนี้ จิ่วเสียนจะบริจาคยาอันกงของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ลูกกลอนบำรุงร่างกายโสมชั้นเลิศสองขวด อวี้เสวี่ยจี เครื่องหอมบำรุงผิวพรรณสตรีสามขวด ถือว่าช่วยผู้ประสบภัยอีกแรง”
ชุยซื่อเสวียลุกขึ้นแล้วเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะกลับเอาไปหารือกับใต้เท้าราชเลขาดู แล้วงานประมูลครั้งนี้…”
“เจ้าส่งคนมาติดต่อกับผู้ดูแลหลิวของจิ่วเสียนได้เลย”
“ขอรับ” ชุยซื่อเสวียขานรับ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่มีเวลาร่ำลาสักนิด
ครั้นฉินหลิวซีคิดถึงขอบเขตพื้นที่ที่เจอภัยพิบัติในครั้งนี้ รอยยิ้มก็หุบลง เราต้านทานภัยพิบัติจากธรรมชาติไม่ได้ ทำได้แค่พยายามสร้างความดีเท่านั้น
“เอ๊ะ” ฉินหลิวซีสัมผัสได้ถึงคุณธรรมความดีที่ไหลเข้าสู่จิตใจ นางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยก่อนจะใช้นิ้วคำนวณแล้วไออบอุ่นก็ฉายชัดบนใบหน้า จากนั้นก็เรียกให้เถิงเจาและเซินเซินออกจากจิ่วเสียนไป
[1] นกคุ่ม หมายถึงหวาดกลัวหัวหด
[2] หมายถึงแก้ปัญหาไม่ตรงจุด จับผิดจุด