คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1006 ตอบแทนความดี หยั่งรู้ในธรรมอย่างฉับพลัน
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1006 ตอบแทนความดี หยั่งรู้ในธรรมอย่างฉับพลัน
ตอนที่ 1006 ตอบแทนความดี หยั่งรู้ในธรรมอย่างฉับพลัน
………………..
ภัยพิบัติหิมะลุกลามใหญ่โต ทำให้ในเมืองหลวงมีผู้ประสบภัยหลั่งไหลเข้ามาไม่น้อย ตระกูลมีอำนาจในเมืองเองก็จัดตั้งโรงทานแจกจ่ายโจ๊กและเสื้อผ้าเก่า ซึ่งจะเห็นได้ในทุกๆ ปีอยู่แล้ว เพียงแต่ปีนี้สถานการณ์ร้ายแรงกว่ามากโข
ฉินหลิวซีพาเถิงเจาและเจ้าโสมน้อยมายังอารามผุพังทางตะวันตกของเมืองหลวง บริเวณนั้นมีคนตั้งโรงทานกำลังแจกจ่ายโจ๊ก ซึ่งมีคนต่อแถวยาวเหยียด
แต่ละคนพอได้รับโจ๊กและหมั่นโถวธัญพืชก็เผยสีหน้าอิ่มเอมซาบซึ้ง ปากพึมพำพูดบางอย่าง ครั้นฉินหลิวซีตั้งใจฟังอย่างละเอียดก็ได้ความว่าขอบคุณในจิตเมตตาของตน
โรงทานโจ๊กแห่งนี้มีคนจัดทำขึ้นโดยใช้ชื่อของนาง อีกทั้งมีเพียงการขอบคุณจากใจจริงเท่านั้นถึงจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจ ทำให้ตนพลอยรับผลประโยชน์ไปด้วย
“เจ้าแอบพวกเราไปตั้งโรงทานโจ๊กตั้งแต่เมื่อไรกัน” เจ้าโสมน้อยเองก็ได้ยินเสียงขอบคุณเหล่านั้นเช่นกัน ก่อนจะมองฉินหลิวซีด้วยท่าทีตกใจ
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เป็นคนทำขึ้นมา แต่นางเป็นคนจัดทำขึ้นมาโดยใช้ชื่อของข้าต่างหาก”
พวกโสมน้อยมองไปตามสายตาของนาง หญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่งกำลังประคองร่างเด็กน้อยที่ฟุบนั่งงอแงอยู่บนพื้นพร้อมสวมเสื้อผ้าชิ้นบางหน้าเขียวช้ำเพราะอากาศอันหนาวเหน็บ ก่อนจะหยิบซาลาเปาชิ้นหนึ่งจากมือบ่าวส่งให้ จากนั้นก็หยิบผ้าห่มที่ค่อนข้างเก่าแถมมีรอยปะห่มบนร่างของเขา
หญิงสาวใบหน้าอิ่มเอิบเปี่ยมสุข ดวงตาสดใสฟันขาวสะอาด งดงามด้วยบุคลิกที่อ่อนโยนและสง่างาม ถึงแม้นางจะสวมเสื้อผ้าซอมซ่อ บนศีรษะไร้ซึ่งเครื่องประดับหรูหรา แต่กลับมิอาจกลบบุคลิกอันสุขุมงดงามได้เลย
“แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดบนร่างถึงมีกลิ่นอายความดีเข้มข้นนัก” เจ้าโสมน้อยมองด้วยสายตากระหาย คุณธรรมความดีที่เปล่งประกายหนาแน่นเช่นนี้ ช่างชวนให้อิจฉานัก
ฉินหลิวซีมองป้ายหยกที่ผูกติดปกคอเสื้อแล้วยิ้มเอ่ย “แม่นางจากตระกูลถงจี้จิ่วในอดีต”
นางก็คือคนที่ตนเคยช่วยไว้จากจวนฉังชวนปั๋ว ตอนนั้นดวงวิญญาณของนางถูกวิถีมารยัดใส่กลองวิญญาณ โชคดีที่คุณความดีคุ้มครองไว้ถึงทำให้ดวงวิญญาณไม่ได้รับความเสียหาย
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว แต่แม่นางผู้นี้ยังจดจำบุญคุณของนางได้ แล้วตอบแทนด้วยผลแห่งกรรมดี
คำพูดนี้ดังขึ้นในสมอง จากนั้นก็เกิดเสียงดังแกร๊ก หินขนาดมหึมาที่กดทับในหัวใจเพราะการตายของท่านอาจารย์คลายลงอีกครั้ง พลันได้หยั่งรู้ในรสแห่งธรรม
คนที่นางเคยช่วยไว้ เรื่องที่นางเคยทำ ความดีที่นางเคยสร้างล้วนไม่เสียเปล่า ยังมีคนจดจำได้และตอบแทนบุญคุณนาง
ฉินหลิวซีมองหญิงสาวตรงหน้า รวมถึงผู้ประสบภัยที่เผยสีหน้าซาบซึ้งใจเพราะได้รับอาหารและเสื้อผ้า พลันก็เผยสีหน้านิ่งขรึม
จิตศรัทธาไหลเวียน ตระหนักรู้แจ้งอย่างลึกซึ้ง
ครั้นเจ้าโสมน้อยเห็นฉินหลิวซีตกอยู่ในห้วงภวังค์ก็กระทุ้งใส่เอวของเถิงเจา เอ่ยเสียงเบา “ท่านอาจารย์ของเจ้าหยั่งรู้ในธรรมแบบนี้ได้ด้วยหรือ”
เถิงเจาฉายแววประกายในดวงตา สองมือกำหมัดแน่น เมื่อไรเขาจะตามท่านอาจารย์ทันสักที ดูท่าเขาจะยังพยายามไม่มากพอ
การตระหนักหยั่งรู้เช่นนี้…
เถิงเจาหันไปมองเหล่าชาวบ้านผู้ประสบภัยที่สวมเสื้อผ้าเนื้อบาง ครั้นได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากัน รวมถึงหญิงสาวที่มีบุคลิกดูดีเหนือใครแต่กลับใส่เสื้อผ้าซ่อมซอผู้นั้น พลันก็หยั่งรู้อะไรบางอย่าง
ครั้นเจ้าโสมน้อยเห็นสองอาจารย์ศิษย์ต่างได้รับสิ่งที่ต้องการ มุมปากก็กระตุก
หากติดตามอาจารย์ศิษย์วิปริตสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไร้ประโยชน์มากที่สุด!
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน เหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่างจึงใช้สายตากวาดมองไป ยามที่เห็นฉินหลิวซีนางก็ยืนผงะแน่นิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะตามมาด้วยสีหน้าประหลาดใจแล้วเดินเข้ามาหา
ฉินหลิวซีตื่นจากภวังค์แห่งความหยั่งรู้ มองหญิงสาวที่เดินสับเท้าเข้ามาพร้อมยิ้มตาหยี
“พี่สาว”
ฉินหลิวซีเทียบความสูง ก่อนจะใช้มือแตะลงบนศีรษะของนางอย่างเบามือเอ่ย “ไม่เจอกันหลายปี สูงขึ้นนิดหนึ่งแล้ว”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ตื่นเต้นอยู่บ้าง หางตาแดงก่ำเล็กน้อยพลางเอ่ย “ท่านมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไรหรือ พวกเราหาที่พูดคุยกันหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฉินหลิวซีพยักหน้ากล่าวว่าได้
ถงเมี่ยวเอ๋อร์เชิญนางไปนั่งดื่มชาในโรงชาแห่งหนึ่ง ก่อนจะมีคนยกกาน้ำชาผู่เอ๋อร์และจานขนมลวดลายประณีตมาให้ สองดวงตากลมรีมองไปทางเถิงเจาและเจ้าโสมน้อย
“นี่คือศิษย์ของข้าเสวียนอี และนี่ฉินเซิน เป็นหนึ่งในศิษย์เอกของอารามเช่นกัน” ฉินหลิวซีกล่าวแนะนำ
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ฉีกยิ้มให้พวกเขาสองคนแล้วเลื่อนขนมไปให้ เอ่ยขึ้นว่า “ขนมของโรงน้ำชาหน่วนถังทำออกมารสชาติดี พวกท่านลองชิมดู หากไม่พอค่อยให้คนเอามาเพิ่ม”
เจ้าโสมน้อยเอ่ยพลางยิ้มร่า “ขอบคุณแม่นางมาก แม่นางช่างมีจิตใจงดงามนัก”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์เห็นว่าเขาหน้าตาน่ารักสะอาดสะอ้าน บวกกับมีกลิ่นยาลอยมาบ้างเป็นพักๆ กลิ่นหอมฟุ้งเป็นอย่างมาก นางจึงเอ่ยด้วยความยินดี “เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
ฉินหลิวซีมองเสื้อผ้าเก่าๆ บนร่างของนาง ก่อนจะมองใบหน้าของนางแล้วเอ่ย “ดูเหมือนเจ้ามีดวงจะแต่งงาน กำหนดวันแต่งงานไว้แล้วสิท่า เหตุใดยังออกมาจัดโรงทานอีกเล่า”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์จับผมด้านข้างศีรษะ เอ่ยด้วยใบหน้าแดงซ่าน “กำหนดแต่งงานไว้ช่วงเดือนสามปีหน้า หลังจากออกเรือนคงออกมาทำความดีโดยพลการเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ขนาดวันนี้ยังต้องร้องขอท่านพ่อกับท่านแม่อยู่นานถึงจะออกมาได้”
“แค่เจ้ามีใจก็พอแล้ว แต่หากวันหน้าคิดอยากทำบุญอีก สั่งให้บ่าวรับใช้มาทำก็พอ เจ้าอย่าออกมาอีกเลย” ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้ากำลังรอออกเรือน ชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติมีไม่น้อย ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนดีเสมอไป พอประสบภัยพิบัติ ภายในใจย่อมเกิดความแค้น ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องใดขึ้นบ้าง หากพุ่งเป้ามาที่เจ้าจนส่งผลกระทบต่องานแต่งงานละก็ เช่นนั้นคงแย่แน่”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์เอ่ย “ข้าก็รั้นจะมาแค่รอบเดียวเท่านั้น ทางจวนเองก็ส่งคนมาคอยคุ้มกันข้างกายไม่ห่าง ท่านวางใจเถิด ข้าจะกลับไปเตรียมออกเรือนด้วยใจอันสงบแน่นอน”
“นี่จัดโรงทานในนามข้าอย่างนั้นหรือ”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์พยักหน้า กล่าวอธิบายอย่างระมัดระวัง “ข้าไม่ได้มีความหมายใด แค่อยากช่วยท่านสั่งสมความดี ท่านเป็นผู้มีบุญคุณอันใหญ่หลวงของข้า”
“ขอบใจเจ้ามาก” ฉินหลิวซีบอกให้นางถอดป้ายหยกตรงเอวออกมา “ข้าจะช่วยร่ายคาถาเสริมให้ เพื่อช่วยคุ้มครองให้เจ้าปลอดภัยราบรื่น บารมีล้นเหลือการงานก้าวหน้า”
เพื่อใช้ชีวิตอิสระเป็นสุข หญิงสาวจึงตอบตกลง
ถงเมี่ยวเอ๋อร์รีบถอดป้ายหยกบนร่างออก ก่อนจะใช้สองมือยื่นส่งไปให้นาง
ฉินหลิวซีรับมา มือหนึ่งทำท่าร่ายคาถา ปากก็สวดบทพึมพำอวยพร ส่วนอีกมือหนึ่งถือป้ายหยกนั้นไว้ รอกระทั่งคำอวยพรสุดท้ายร่ายจบ มนต์นั้นก็พุ่งใส่ป้ายหยก กระทั่งถงเมี่ยวเอ๋อร์เองก็ยังมองเห็นว่าบนป้ายหยกนั้นมีแสงประกายวิบวับไหลเวียน เงาวาวชัดยิ่งกว่าเดิม
“อ่ะนี่”
พอถงเมี่ยวเอ๋อร์รับป้ายหยกมาอยู่ในมือก็ให้สัมผัสที่อบอุ่นและเงาวาว เนื้อสัมผัสเนียนละเอียดกว่าก่อนหน้านี้มากโข อีกทั้งประกายวาวงดงาม
นี่เป็นของชั้นดีที่ด้านนอกก็หาซื้อไม่ได้
ถงเมี่ยวเอ๋อร์เอ่ย “กลับไปข้าจะหาเชือกถักมาห้อยไว้ติดตัว”
หากผูกติดกับคอเสื้อไว้คงเลี่ยงการชนกระแทกได้ยาก หากเผลอเอาไปกระแทกขีดข่วนจนพังขึ้นมา นางคงปวดใจแย่ ฉะนั้นนำพกติดตัวไว้ย่อมดีกว่า
ฉินหลิวซีอมยิ้มพยักหน้าแล้วเอ่ย “สามีในวันข้างหน้าของเจ้าเป็นใครหรือ”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์หน้าแดงระเรื่อ เอ่ยตอบ “ท่านเองก็รู้จัก”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว
“บุตรชายคนรองของตระกูลสยง คุณชายรองสยง”
ฉินหลิวซี “…”
เอาเถอะ การแต่งงานเกี่ยวดองของตระกูลมีอำนาจในเมืองหลวง แท้จริงแล้วซับซ้อนและเกี่ยวพันกันอย่างยุ่งเหยิง อีกทั้งคนที่นางรู้จักมักลงเอยกัน อย่างคู่ของลิ่นชิงถังก็หนึ่ง คุณชายรองสยงกับถงเมี่ยวเอ๋อร์ก็อีกคู่
ขณะที่นางหมายเอ่ยบางอย่างก็ได้ยินเสียงหญิงสาวดังแว่วมาจากด้านนอก เหมือนพยายามบุกรุกเข้ามาในห้องส่วนตัวห้องนี้
ครั้นถงเมี่ยวเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น คิ้วก็ขมวดมุ่น สีหน้าประกายความไม่พอใจและซุกซ่อนท่าทีอดกลั้นไว้
“น้องเมี่ยวเอ๋อร์…” ประตูห้องส่วนตัวถูกคนผลักเปิดออก ก่อนจะมีคนเดินเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมเข้มข้นโชยฟุ้ง