คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1009 โรคอารมณ์สองขั้ว
ตอนที่ 1009 โรคอารมณ์สองขั้ว
………………..
ฮูหยินเฉิงพูดถึงเรื่องหลานชายของฮูหยินไป๋อย่างตรงไปตรงมา ราวกับการฉีกหนังแท้ของนางอย่างแรง ทำเอาฮูหยินไป๋ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“ล้วนเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาทั้งนั้น ฮูหยินเฉิงกลับทำราวกับเห็นด้วยตาของตัวเอง ไร้สาระสิ้นดี ฮูหยินตัดสินโดยไม่ฟังความเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าบุตรสาวของท่านก็ไม่ได้อบรมสั่งสอนมาดี แม้ว่าจะไม่มีเรื่องในวันนี้ พวกเราก็ไม่กล้าพึ่งใบบุญแล้ว” ฮูหยินไป๋ฝืนตอบกลับอย่างใจเย็น เดินไปที่ประตูโดยไม่สนใจการขัดขวางของฮูหยินเฉิง
ฮูหยินเฉิงยังอยากจะขวาง ถงเมี่ยวเอ๋อร์จึงเอ่ย “ท่านน้าสะใภ้ใหญ่ ดูน้องหญิงห้าก่อนจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินไป๋และพรรคพวกรีบออกประตูไป
แม้ว่าฮูหยินเฉิงจะไม่เต็มใจ ยังอยากจะโต้แย้งกับฮูหยินไป๋อีกสักหน่อย แต่ก็รู้ลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ ดังนั้นจึงระงับความโกรธนี้ไว้
ฉินหลิวซีเอ่ย “ฮูหยินสามารถส่งคนไปที่เมืองซีได้ มีลานแห่งหนึ่งที่ปลูกต้นหูหลงอายุร้อยปี ก็จะได้รับข่าวคราว การจับโจรจะต้องมีหลักฐาน หากจับตัวคนไม่ได้ เกรงว่าต่อให้พูดจนปากเปียกปากแฉะ ก็จะเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาจริงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเป็นสุนัขจนตรอก ทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของแม่นางขึ้นมาก่อน ฮูหยินต้องรีบให้ทุกคนได้ชมการแสดงโดยเร็วที่สุด”
ฮูหยินเฉิงสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้าให้บ่าวรับใช้คนสนิทข้างกายทันที
ฉินหลิวซีดึงเข็มออก จากนั้นก็แทงลงบนจุดฝังเข็มอีกสองสามจุด สวดอวยพร สีหน้าของเฉิงอวี้ชิ่นจึงได้ค่อยๆ กลับมาสดใสอีกครั้ง
“ข้าเป็นอะไรไปหรือ”
ฮูหยินเฉิงโอบนางด้วยความปวดใจอยู่ครู่หนึ่ง ตบเบาๆ สองสามที กล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้ายังกล้าถามอีกหรือ จู่ๆ เจ้าก็บ้าคลั่งขึ้นมา ทำเอาแม่ตกใจหมด เจ้ากับคุณชายไป๋ผู้นั้นพูดคุยอะไรกัน ตอนออกไปยังดีๆ อยู่เลย พอกลับมาเหตุใดจึงได้โมโหรุนแรงเช่นนี้”
เฉิงอวี้ชิ่นสีหน้าเปลี่ยนไป นางก้มหน้าลง ดึงชายเสื้อ ก่อนจะหดตัวลง ร่างกายอวบอ้วนสั่นเทาเล็กน้อย
ถงเมี่ยวเอ๋อร์เอ่ยถาม “น้องหญิงห้าคนเก่ง เจ้าไม่ต้องกลัว พวกเราอยู่ที่นี่ เจ้าดูสิ นี่คือท่านอาจารย์ปู้ฉิว เป็นนางที่ช่วยข้า หากเจ้าไม่สบายตรงไหน นางจะช่วยเจ้า”
เฉิงอวี้ชิ่นเงยหน้าขึ้นทันที มองไปยังฉินหลิวซี กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “อาจารย์ช่วยเปลี่ยนให้ข้าผอม เปลี่ยนให้ข้าสวยได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว กล่าวว่า “คนแซ่ไป๋ผู้นั้นเอาเรื่องรูปร่างหน้าตาของเจ้ามาพูดหรือ”
เฉิงอวี้ชิ่นเผยให้เห็นสีหน้าเจ็บปวด กล่าวว่า “ข้าอวบอ้วนเช่นนี้ บุรุษที่ไหนจะมารักมาชอบข้าอย่างจริงใจ เขาบอกว่าสตรีจะสวยด้วยรูปร่างสมส่วนผอมเพรียว เขายังบอกอีกว่าด้วยรูปร่างของข้า ไม่ควรสวมเสื้อผ้าสีเช่นนี้ เพราะทำให้ข้ายิ่งดูตัวใหญ่ เขายังบอกอีกว่า…”
“สารเลว เขาพูดจาไร้สาระทั้งนั้น เจ้าอ้วนแล้วอย่างไร เจ้าก็ไม่ได้เติบโตจากการกินข้าวของตระกูลไป๋ เขามีสิทธิ์อะไรมาชี้แนะเจ้า ตระกูลไป๋ช่างสอนมาดีจริงๆ เสียแรงที่ข้าคิดว่าเขาเป็นคนดี ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่ปัญญาชนจอมปลอมไม่ได้เรื่อง ถุย!” ฮูหยินเฉิงปวดใจเป็นอย่างมาก
เฉิงอวี้ชิ่นน้ำตาไหลอาบแก้ม เอ่ย “แต่ท่านแม่ ไม่ได้มีเพียงเขาที่พูดเช่นนี้ ญาติผู้น้องหมิ่นเอ๋อร์ก็บอกว่าข้าอ้วนเกินไป ต่อให้ชุดที่สวมใส่จะสวยแค่ไหน ก็เหมือนกับสวมชุดคลุมตัวใหญ่ ซ้ำยังทำให้หน้าอกใหญ่ ดูไม่ดี สวมเครื่องประดับทรงกลมก็ยิ่งทำให้ใบหน้าข้าดูกลมขึ้น”
ฮูหยินเฉิงโกรธจนตัวสั่น เอ่ยด้วยความโมโหว่า “นางพูดจาไร้สาระ คนจิตใจสกปรกมองอะไรก็สกปรก เหตุใดเจ้าไม่บอกแม่ ไม่แปลกใจเลยที่ข้าเห็นว่าเสื้อผ้ากับเครื่องประดับใหม่ของเจ้าไปอยู่กับนางหมดเลย คาดว่านางจะหลอกเอาของเจ้าไปแก้ขนาด”
เฉิงอวี้ชิ่นยิ้มอย่างขมขื่น “อย่างไรเสียข้าใส่ก็ดูไม่สวย พวกเขาล้วนบอกว่าข้าอ้วน บอกให้ข้าทำเก้าอี้ในห้องให้ใหญ่ขึ้นหน่อย มิเช่นนั้นจะนั่งไม่ได้ ไม่ง่ายเลยกว่าญาติผู้น้องหมิ่นเอ๋อร์จะควบคุมให้ข้ากินน้อยลงจนน้ำหนักลด แต่พอกินไปสองวันก็กลับมาอ้วนเหมือนเดิม จากนั้นก็เริ่มอดอาหารอีกครั้ง ท่านแม่ ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ฮูหยินเฉิงโอบกอดนางแล้วร้องไห้ไปด้วย “เด็กดี ไม่ใช่ความผิดของเจ้า การกินนั้นเป็นความสุข พวกเขาอิจฉาที่เจ้ากินได้อย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งเจ้าทำตามคำพูดของพวกเขา พวกเขาก็จะยิ่งได้ใจ”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ปวดหัวเล็กน้อย มีที่ไหนที่ปลอบใจกันเช่นนี้
เป็นไปตามคาด เมื่อกล่าวเช่นนี้ เฉิงอวี้ชิ่นก็ยิ่งเสียใจกว่าเดิม
นางเต็มใจที่จะไม่กินอย่างเอร็ดอร่อย เพราะไม่อยากอวบอ้วนเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อบุรุษมองมา นางก็ห่อตัวตามสัญชาตญาณ กลัวว่าเขาจะมองหน้าอกนาง
“ระดูของเจ้ามาไม่ปกติ ก็เกิดจากการที่ลดน้ำหนักกินอาหารไม่เป็นเวลาใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยถามต่อ “ข้าเห็นว่าชีพจรของเจ้าได้รับความเสียหายเนื่องจากความเย็น มีเสมหะและความชื้นบริเวณลำคอ เวลามีระดูก็จะมีลิ่มเลือด ระดูมาไม่มากใช่หรือไม่”
เฉิงอวี้ชิ่นหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“เป็นเช่นนั้นไม่ผิด ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ระดูของคุณหนูไม่ค่อยดีนัก ผ้าซับระดูก็เปลี่ยนไม่บ่อยนัก ไม่เหมือนเมื่อก่อนเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจวี๋สาวใช้ข้างกายของเฉิงอวี้ชิ่นกล่าวแทรกขึ้นมา
ฮูหยินเฉิงโมโหมาก “เรื่องเช่นนี้เหตุใดไม่มารายงาน”
อวิ๋นจวี๋คุกเข่าลง
“เป็นข้าที่ไม่ให้พูด ก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพียงแต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน ก็เป็นเรื่องดี” เฉิงอวี้ชิ่นดึงแขนเสื้อของฮูหยินเฉิง
ฉินหลิวซีส่ายหน้าพลางเอ่ย “เจ้าพึ่งจะถึงช่วงอายุปักปิ่น[1] แต่ระดูกลับมาไม่สม่ำเสมอนั้นไม่ใช่เรื่องดีอะไร ความผิดปกตินี้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก ประการแรก ร่างกายของเจ้าจะทำให้เกิดภาวะมดลูกอ่อนแอ ชี่[2]และเลือดเสียหาย สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีจุดด่างดำและสิว เมื่อมีระดูก็จะปวดท้องน้อยรวมถึงอาการปวดบริเวณเอวและกระดูกสันหลัง คาดว่าตัวเจ้าเองก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน”
เฉิงอวี้ชิ่นสีหน้าซีด
“ประการที่สอง ก็คืออาการทางจิตใจ การที่ระดูมาไม่ปกติ เป็นความไม่สมดุลของหยินหยาง ทำให้เจ้าเป็นโรคอารมณ์สองขั้วและไฟในตับสูง เสมหะและความชื้นก็รุนแรง บวกกับการสูญเสียความมั่นใจในตัวเองและกังวลเกี่ยวกับคำพูดของผู้อื่นมากเกินไป เมื่อถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ก็จะทำให้รู้สึกเวียนศีรษะ ราวกับเป็นโรคลมบ้าหมู ลมบ้าหมูก็เหมือนกับบ้าคลั่ง เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในสายตาคนนอกนั้นราวกับถูกผีร้ายเข้าสิง”
ทุกคนพากันหน้าซีด เมื่อครู่นี่เฉิงอวี้ชิ่นก็มีอาการบ้าคลั่งไม่ใช่หรือ
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “สิ่งนี้เรียกอีกอย่างว่าโรคอารมณ์สองขั้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อาการของเจ้าก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น จากบ้าปลอมๆ ก็จะกลายเป็นบ้าจริงๆ แล้ว”
ฮูหยินเฉิงอุทานด้วยความเศร้าใจ เกือบจะเป็นลมล้มไป
เฉิงอวี้ชิ่นก็ตัวสั่นเบาๆ ขดอยู่ในอ้อมแขนของถงเมี่ยวเอ๋อร์ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ปลอบโยนนางโดยการตบที่ไหล่นางเบาๆ เอ่ย “พี่หญิง สามารถรักษาได้กระมัง”
“ในเมื่อเป็นโรค ย่อมรักษาได้ แต่ในการวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคของเจ้า ความจริงแล้วเกิดจากการที่เจ้าขาดความมั่นใจในรูปร่างของตัวเอง เจ้าอาศัยการอดอาหารลดน้ำหนัก ความจริงแล้วไม่ควรทำ กระทั่งเป็นอันตราย ข้าเห็นว่าเจ้าอ่อนแอด้วยความชื้นอย่างรุนแรง ม้ามและกระเพาะก็เสียสมดุลแล้ว เพียงแค่อาศัยการควบคุมอาหาร นานวันเข้า เจ้าจะปวดที่ช่องท้อง คาดว่าเจ้าได้รู้สึกถึงการต่อต้านของมันอยู่บ้างแล้ว สีหน้าของเจ้าก็คือหลักฐาน”
เฉิงอวี้ชิ่นกล่าวว่า “ข้าก็แค่อยากผอมลงสักหน่อย”
“เจ้าอวบอ้วนขึ้นด้วยการอักเสบเนื่องจากความชื้นรุนแรง ความจริงแล้วแม้ว่าร่างกายของเจ้าจะอวบอ้วน แต่ก็นับว่าสมส่วน ไม่ได้อ้วนเพียงจุดเดียว เพียงแค่กำจัดความชื้นและความเย็นควบคู่กับการปรับการรับประทานอาหารและออกกำลังกาย ร่างกายก็จะสมส่วนและสุขภาพดีมากขึ้น บอกไม่ได้ว่าจะผอมมากแค่ไหน แต่เมื่อมองดูแล้วก็จะผอมมากกว่าตอนนี้ อย่างไรเสียเจ้าก็ค่อนข้างสูง”
ดวงตาของเฉิงอวี้ชิ่นเป็นประกาย “ท่านพูดจริงหรือ”
“ตราบใดที่เจ้ายืนหยัดต่อไป”
“แน่นอน ข้าจะพยายามต่อไปเรื่อยๆ อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นข้าจะเขียนใบสั่งยาให้แก่เจ้า ปรับความไม่สม่ำเสมอของระดูให้เจ้าก่อน จากนั้นก็จะฝังเข็มให้กับเจ้าเพื่อขจัดความชื้นควบคุมระดู หลังจากที่ฝังเข็มชุดนี้ ก็จะฝังเข็มตามสภาพร่างกายของเจ้า ซึ่งจะช่วยลดน้ำหนัก ส่วนเรื่องอาหารการกิน ต้องเป็นอาหารรสอ่อน หลีกเลี่ยงการใส่น้ำมันเกลือและน้ำตาลมากเกินไป หากออกกำลังกาย ก็ให้ฝึกปาต้วนจิ่น[3] จะเหมาะกับเจ้ามากกว่า”
ฮูหยินเฉิงได้ฟังดังนั้นก็เวียนศีรษะ เอ่ยถาม “คือว่า ท่านเป็นอาจารย์ลัทธิเต๋าไม่ใช่หรือ ก็เชี่ยวชาญทักษะวิชาแพทย์ขนาดนี้เชียวหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ข้าไม่ใช่แค่อาจารย์ แต่เป็นหมอลัทธิเต๋า ทำได้อย่างละนิดละหน่อย!”
[1] ปักปิ่น จัดขึ้นสำหรับเด็กสาวที่อายุเกิน 15 ปีที่โตเป็นสาวเต็มตัวและพร้อมที่จะเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน
[2] ชี่ หรือลมปราณ หมายถึง ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเราทุกคน เสมือนเป็นพลังงาน ของชีวิตที่ใช้ขับเคลื่อนในชีวิตประจาวัน สารขนาดเล็กในร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
[3] ปาต้วนจิ่น เป็นวิธีการออกกำลังฝึกชี่กง ที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งแสดงถึงกระบวนท่าทั้งแปด