คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 101 เปิดทางสู่ปรโลก ตอนที่ 102 ท่านว่าข้าดูเหมือนค
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 101 เปิดทางสู่ปรโลก ตอนที่ 102 ท่านว่าข้าดูเหมือนค
ตอนที่ 101 เปิดทางสู่ปรโลก / ตอนที่ 102 ท่านว่าข้าดูเหมือนคนดีหรือ
ตอนที่ 101 เปิดทางสู่ปรโลก
ฉินหลิวซีไม่ได้สังเกตเห็นอาการแปลกๆ ของฉีเชียน หรืออาจกล่าวได้ว่า แม้ว่านางจะสังเกตเห็น นางก็ไม่สนใจ ใครใช้ให้เขาอยากรู้อยากเห็นเล่า
ไม่รู้หรือว่าความอยากรู้อยากเห็นฆ่าคนตายได้
ให้เขาตกใจกลัวตายไปเลย!
“ปรมาจารย์” หลิงหรงคารวะฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีโบกมือ มองไปยังหลิงหรงโดยไม่สนใจสายตาของฉีเชียน “อีกเดี๋ยวทางสู่ปรโลกจะเปิดออก พวกท่านกินให้อิ่มแล้วค่อยไปเถิด ก้อนทองและเสื้อผ้าพวกนี้ก็จะติดตัวพวกท่านไปด้วย ในมือมีเงินจึงจะเบิกทางกับยมทูตได้สะดวก”
หลิงหรงซาบซึ้งใจนัก “ขอบคุณท่านปรมาจารย์”
เธออุ้มบุตรชายมาใกล้ของเซ่นไหว้นั้นและเริ่ม ‘กินอาหาร’
อิงเป่ยหยิบก้อนทองกระดาษใส่ลงในกองไฟ เขาลูบแขนพลางเอ่ยกับเฉินผี “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าอากาศเหมือนจะเย็นลงนิดหน่อย”
เฉินผีเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา
อิงเป่ยแทบจะลงไปนั่งแปะบนพื้น เอ่ยตัวสั่น “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กซื่อสัตย์ แต่อย่ายิ้มแบบนี้ได้หรือไม่ มันน่าขนลุก”
เฉินผีเอ่ย “ถ้าให้ท่านเห็นอะไรน่าขนลุกจริงๆ ข้าว่าท่านน่าจะฉี่ราดตรงนี้แล้ว!”
โบราณว่าไว้กลัวจนฉี่ราด!
อิงเป่ย “…”
เด็กเวรน่าโดน!
ฉีเชียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉินหลิวซีตัวแข็งทื่อไปหมด สายขาของเขามองไปยังเฉินผี ก็เห็นว่าเขากำลังเอาเสื้อผ้าสตรีที่ตัดเย็บอย่างดีชุดหนึ่งเผาไฟ ตามด้วยเสื้อผ้าตัวเล็กๆ ของเด็กทารกชุดหนึ่ง
เมื่อนึกถึงคำพูดของฉินหลิวซี เขาก็เบิกตาโตราวกับเห็นผู้ใหญ่คนหนึ่งและเด็กคนหนึ่งกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ตรงบริเวณที่วางอาหารเซ่นไหว้หลังกองไฟนั้น
ฉีเชียนหลับตาลง ห้ามดู ห้ามคิด!
เขามีพลังมงคลแห่งจวนอ๋องคุ้มกาย ความชั่วร้ายใดๆ ไม่อาจกล้ำกลาย!
หลังจากท่องอะไรเงียบๆ สองสามคำ เขาก็ลืมตาขึ้นและเห็นฉินหลิวซีเดินด้วยท่าทางแปลกๆ เดินไปหนึ่งก้าวก็วางก้อนหินลงหนึ่งก้อน หลังจากผ่านไปหลายก้าวก็ยืนนิ่งและวางยันต์ไว้แผ่นหนึ่ง
นี่คือค่ายอาคมหรือ
ฉีเชียนเหลือบมองตำแหน่งที่วางก้อนหิน เอาเถิด เขาไม่เข้าใจหรอก
เขาเห็นนางเผายันต์แผ่นหนึ่งกลางอากาศอีกครั้ง สองมือร่ายท่าทาง สวดคาถาด้วยเสียงทุ้มลึก “ลมโศกค่อยพัดพา ประตูแห่งการรู้แจ้งเปิดออก…ขอแสงส่องเปิดทางบูรพาทิศ น้อมนำผู้ส่งสาร ณ ที่นี้…จงรับคำสั่ง”
ทันใดนั้นเขาเห็นหมอกสีดำแปลกๆ รวมตัวกันทางทิศตะวันออก ลมหยินพัดแรง ในความว่างเปล่าที่ฉีเชียนไม่สามารถมองเห็นได้มียมทูตสวมหมวกสูงถือโซ่สีดำปรากฏขึ้น
“ใครเป็นคนเปิดทางสู่ปรโลกเรียกยมทูต มีอันใดให้ชี้แนะหรือไม่…โอ้ ใต้เท้า” ผู้ส่งสารรีบตรงเข้ามาหาฉินหลิวซีและโค้งคำนับด้วยความเคารพ
ฉินหลิวซีหยิบก้อนทองคำสองก้อนออกมาเผาให้จนตกไปอยู่ในมือของผู้ส่งสาร จากนั้นก็จุดเทียนสองเล่ม ผู้ส่งสารดีใจจนยิ้มออกมา เอ่ยอย่างประจบประแจง “ใต้เท้า เหตุใดจึงต้องเกรงใจเช่นนี้ หากท่านมีสิ่งใด เพียงบอกข้าน้อยมาก็พอ”
ก้อนทองคำนี้มีคุณภาพดีที่สุด เขาไม่คิดเลยว่าคืนนี้จะได้เจอเรื่องดีๆ เช่นนี้
“แม่ลูกคู่นั้นตายไปอย่างไม่เป็นธรรม ตอนนี้พวกเขาก็ได้สมความปรารถนาแล้ว ขอผู้ส่งสารส่งใครมารับและชี้แนะช่วยพวกเขาแทรกแถวให้ได้ไปเกิดใหม่โดยไวด้วยเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ย
ผู้ส่งสารเอ่ย “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งของใต้เท้า เพียงแต่การแทรกแถวนี้ค่อนข้างจะยุ่งยากเล็กน้อย”
ฉินหลิวซีจับน้ำเสียงแปลกๆ ได้ “ทำไมหรือ พวกท่านมีปัญหาวุ่นวายหรือ”
ผู้ส่งสารถูไม้ถูมือพลางยิ้ม ไม่กล้าเอ่ย
ฉินหลิวซีจึงเผาก้อนทองไปให้อีกก้อน เขาจึงคว้ามาใส่ในอกเสื้ออย่างมีความสุข เอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “มีผีร้ายตนหนึ่งหลุดออกมาจากนรกเก้าขุมกลืนกินวิญญาณไปไม่น้อย ตอนนี้เราต้องค้นหารายชื่อวิญญาณที่ถูกกลืนกินไปก่อน แล้วค่อยจัดแถววิญญาณที่จะไปเกิดใหม่ ดังนั้นจึงช้าสักหน่อย”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว ผีร้ายหนีออกมาหรือ
“แล้วจับผีร้ายได้แล้วหรือ”
ผู้ส่งสารส่ายศีรษะ “ยมทูตขาวดำทั้งสองท่านออกไปตามหาอยู่ หาไม่แล้วคาถาเชิญของใต้เท้าจะกลายเป็นเรียกข้ามาได้หรือ”
นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกหรือ ไม่ใช่ว่ามันขึ้นมายังโลกมนุษย์แล้วหรอกนะ
ตอนที่ 102 ท่านว่าข้าดูเหมือนคนดีหรือ
ทางสู่ปรโลกไม่สามารถเปิดได้นาน หลิงหรงที่สวมชุดใหม่แล้วอุ้มบุตรชายพลางย่อกายคารวะฉินหลิวซีอย่างดี ก่อนจะจากไปพร้อมผู้ส่งสาร
ฉินหลิวซียิ้มพลางมองดูทางสู่ปรโลกปิดลง แสงสีทองสองดวงลอยเข้ามาและตกลงไปบนป้ายวิญญาณ นางจึงยิ้มออกมาทันที
เมื่ออารมณ์ดีนางจึงใจกว้าง เผาก้อนทอง ธูปเทียน สุราและอาหารทั้งหมดที่ยังไม่ได้เซ่นไหว้ให้กับผีอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
ทันทีที่นางหันกลับไปก็เห็นฉีเชียนดูสับสนและมีสีหน้าซีดเซียว
จิ๊ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือเพราะหนาว
ฉินหลิวซีดีดนิ้ว “ขวัญมา”
ฉีเชียนสะดุ้งทันที เขาอ้าปากคิดจะถามถึงเรื่องเมื่อครู่นี้
ฉินหลิวซียกนิ้วชี้ขึ้นจ่อริมฝีปาก “ชู่ว ไม่ต้องถาม ถามก็เป็นอย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ! เฉินผี ไปกันเถิด”
“มาแล้วขอรับ” เฉินผียกตะกร้าไม้ไผ่ว่างเปล่าสองใบขึ้นมาแล้วตามหลังไป
อิงเป่ยมองดูไก่และขนมที่วางอยู่บนพื้น ท้องของเขาก็ร้อง เพื่อไม่ให้เสียของ เขาจึงดึงน่องไก่ออกมากัดไปคำหนึ่ง
ถุย!
ไก่เพิ่งจะเข้าปาก เขาก็คายมันออกมาทันทีพลางนิ่วหน้า “ทำไมไม่อร่อยเลย ไม่มีรสชาติเลยสักนิด อย่างกับเคี้ยวขี้ผึ้ง”
ฉีเชียนมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง พอนึกถึงที่ฉินหลิวซีเอ่ย ท้องไส้ของเขาก็ปั่นป่วน
เขารู้สึกไม่อยากกินไก่ไปอีกเป็นเดือน!
เหตุใดจึงไม่มีรสชาติ ของที่คนอื่นกินแล้วก็ย่อมต้องไม่มีรสชาติแน่อยู่แล้วสิ
ฉีเชียนคิดจะเตือนเขา หากแต่เมื่อเห็นท่าทางซื่อบื้อของอิงเป่ยแล้ว ช่างเถิด อย่าทำให้เด็กตกใจเลยดีกว่า
“อิงเป่ย อย่าไปแตะเลย นั่นมันของเซ่นไหว้”
ของเซ่นไหว้ เซ่นไหว้ใคร ผีเร่ร่อนน่ะสิ!
มือของอิงเป่ยที่กำลังจะแตะขนมชะงักค้างทันที เขาหันกลับมามอง
ภายใต้แสงสีส้มสลัว ใบหน้าของนายท่านดูลึกลับ คล้ายจะเห็นอกเห็นใจและสงสาร เขาอดรู้สึกสุขใจไม่ได้ แต่พอนึกถึงบางอย่าง ร่างของเขาก็โงนเงนเล็กน้อย
เวรแล้ว!
อิงเป่ยรู้สึกว่ามีคนเป่าลมใส่ใบหูของเขา เขาจึงกรีดร้องแล้ววิ่งหนีทันที
เอ๊ะ!
ฉีเชียนรีบเดินจนตามฉินหลิวซีทัน หลังจากอดกลั้นมานาน ในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป “หลิงหรงนั่น ใช่ก่อนหน้านี้…”
“อืม ภรรยาคนแรกของเซี่ยฉี่คัง ตอนที่นางถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมยังมีลูกอยู่ในท้อง เวลานั้นเด็กกำลังจะคลอดเนื่องจากการครรภ์ได้รับการกระทบกระเทือน เด็กหายใจไม่ออกจนเสียชีวิตในช่องคลอด ต่อมาเขาใช้ตะปูสะกดวิญญาณเพื่อผนึกสองแม่ลูกไว้สิบปี” ฉินหลิวซีเอ่ยถึงหลิงหรงราวกำลังเอ่ยถึงสิ่งที่ธรรมดาที่สุด
ฉีเชียนกลับรู้สึกหนาวสั่นไปตามแนวกระดูกสันหลังเมื่อได้ยิน มีคนโหดเหี้ยมเช่นนี้ด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะไม่ช่วยเขาทั้งที่เขากำลังจะตาย
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามอีกครั้ง “ท่านทำแบบนี้บ่อยหรือ ไม่เรียกเก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียว เพียงส่งพวกวิญญาณที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมน่ะหรือ”
“โอ้ จวิ้นอ๋องเอ่ยแบบนี้ ข้ารู้สึกเหมือนมีภาพลักษณ์สูงส่งมากทีเดียว!” ฉินหลิวซียิ้ม น้ำเสียงของนางกลับมาเป็นเสียงจริงจังอีกครั้ง “ท่านคิดว่าข้าดูเหมือนคนดีที่มักจะทำงานไม่หวังผลประโยชน์อย่างนั้นหรือ”
“ท่านก็ส่งวิญญาณคนในตระกูลแม่ทัพสีที่ตายไปอย่างไม่เป็นธรรมโดยไม่คิดเงินมิใช่หรือ” ฉีเชียนเอ่ยเรียบๆ
“นั่นเพราะข้าอารมณ์ดี” ฉินหลิวซีเอ่ย “เมื่อพบกับวิญญาณของคนตาย คนที่ศึกษาเต๋ามักจะสวดส่งวิญญาณพวกเขาเสมอ แต่มีวิญญาณคนตายนับล้านบนโลกใบนี้ ทั้งยังมีวิญญาณไม่อยากกลับไปเกิดใหม่ แล้วจะบังคับส่งไปได้อย่างไร ส่วนข้าพบเจอแล้ว ถ้าอารมณ์ดีก็ส่งพวกเขาไปได้ แต่หากอารมณ์ไม่ดี ข้าก็จะไม่เห็นพวกเขา!”
เอาล่ะ ท่านเก่ง ท่านมีเหตุผล!
ฉีเชียนเงียบไปสักพักและถามอย่างระมัดระวัง “ท่านเห็นของพวกนั้นจริงๆ ได้หรือ”
“ท่านว่าอย่างไรเล่า”
ฉีเชียนเงียบ “ท่านไม่กลัวหรือ”
พวกนั้นคือวิญญาณคนตาย ล่องลอยไปมาไม่มีตัวตนนะ
ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้าเล็กน้อย “จวิ้นอ๋อง คนเป็นนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณคนตาย ความลึกล้ำของจิตใจมนุษย์นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าที่ท่านคิดเสียอีก”