คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1011 ดึงจวนหมิงอ๋องขึ้นเรือโจร
ตอนที่ 1011 ดึงจวนหมิงอ๋องขึ้นเรือโจร
………………..
หมิงอวี้คิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีมาครั้งนี้ เพื่อที่จะให้เขากับบุรุษทัดดอกไม้ผู้นั้นร่วมมือกันจับตัวผีร้ายที่เบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมาแล้ว
“เรื่องอะไรข้าต้องไปร่วมมือกับเขาด้วย ชายหญิงร่วมมือกันทำงานสำเร็จ แต่เขาก็ต้องเป็นสตรีจริงๆ ด้วยกระมัง!” ท่าทางอ้อนแอ้นเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นคุณชายกระต่ายน้อย
“เจ้าเป็นทหารผีไม่ใช่หรือ ช่วยยมทูตจับผีที่หนีไปก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “อีกอย่างเจ้าก็เป็นทหารผีที่ลงทะเบียนแล้ว หากไม่ทำงาน เอาแต่ขี้เกียจอยู่ในจวนหมิงอ๋องจะไปมีประโยชน์อะไร แอบขี้เกียจจนพอแล้วกระมัง!”
หมิงอวี้เอ่ย“ข้าจะไปที่ไหนก็เป็นอิสระของข้า ยังต้องให้ไต้ซือในโลกมนุษย์อย่างท่านควบคุมด้วยหรือ”
“เร่ร่อนอยู่ในโลกมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องดี โดยเฉพาะเจ้าซึ่งเป็นทหารผีที่ลงทะเบียนไว้ ไม่ทำงาน แต่กลับเอาเปรียบ เจ้ารับเงินเดือนโดยเปล่าประโยชน์!” ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “ข้าก็ไม่ได้อยากจะสนใจเจ้า เพียงแต่จะบอกเจ้าหนึ่งประโยค ข้ามีสหายอยู่ในโลกผี!”
ระวังข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อน
หมิงอวี้ “!”
ให้ตายเถอะ!
เจ้ามีสหาย เจ้าเก่ง ข้าไม่สามารถล่วงเกินเจ้าได้ พอใจหรือยัง!
“ผีร้ายตนนั้นอยู่ที่ไหน รีบไปตามหาเร็วเข้า” หมิงอวี้ลากเว่ยเสียออกไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม น้ำเสียงโมโหและรังเกียจดังมาตามลม “ข้าขอเตือนเจ้า อย่ามาจับมือถือแขน ข้าชอบสตรีแท้!”
เมื่อเห็นว่าผีทั้งสองตนไปแล้ว ฉินหลิวซีก็ย้ายไปพูดคุยกับหมิงอ๋องที่อื่น
หมิงอ๋องยกถ้วยชา เอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาวาสมาเยี่ยมในครั้งนี้ คงไม่เพียงแต่เชิญบรรพบุรุษของข้าออกไปทำงานหรอกกระมัง”
ฉินหลิวซีถามอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอ๋องคิดอย่างไรกับรัชทายาทองค์ปัจจุบัน”
ดวงตาเฒ่าของหมิงอ๋องมีแสงริบหรี่ผ่านเข้ามา “องค์รัชทายาท? เหตุใดเจ้าอาวาสจึงได้ถามเช่นนี้”
“อืม เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนที่สามารถทำการใหญ่เป็นฮ่องเต้ที่ชาญฉลาดได้หรือไม่”
หมิงอ๋องดวงตาเป็นประกาย หัวเราะพลางถามว่า “องค์รัชทายาทที่ได้รับการแต่งตั้งด้วยฮ่องเต้ ย่อมมีสิ่งที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น แต่จะสามารถรับผิดชอบการใหญ่ได้หรือไม่ ในราชสำนักมีข้าราชบริพารที่มีความสามารถมากมาย ฮ่องเต้ก็สุขภาพแข็งแรงดี ย่อมสามารถชี้แนะสั่งสอนองค์รัชทายาทถึงการเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างแน่นอน”
ฉินหลิวซีก้มหน้าจิบชา จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์!
หมิงอ๋องเหลือบมองนางพลางเอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสเคยพบรัชทายาทแล้วหรือ หรือว่ารัชทายาทองค์ปัจจุบันจะไม่เข้าตาท่าน”
“ไม่เคยได้พบ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “เพียงแต่ตอนนี้มีภัยพิบัติหิมะเกิดขึ้น ได้ยินมาว่าในราชสำนัก ทั้งรัชทายาทและท่านอ๋องต่างพากันเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครกล้ารับคำสั่งไปบรรเทาภัยพิบัติ!”
“คิดไม่ถึงว่าคนนอกอย่างท่านเจ้าอาวาสจะใส่ใจเรื่องในราชสำนัก” หมิงอ๋องกล่าวพลางเลิกคิ้ว
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “มีหรือที่ข้าจะบอกท่านว่าข้าใส่ใจเพราะอยากจะชี้นำให้คนก่อกบฏ”
พรวด
หมิงอ๋องพ่นชาออกมา จ้องมองนางตาโต “ท่านว่าอะไรนะ”
ก่อกบฏ?
เขารีบมองออกไปข้างนอก เห็นว่าไม่มีใคร จึงลดเสียงให้เบาลง “วันนี้ท่านดื่มสุรามาหรือ” พูดอะไรราวกับคนเมา
“เปล่า ก็เพียงแค่เอ่ยไปเรื่อย”
หมิงอ๋องหน้าเขียว กล่าวว่า “ท่านไม่กลัวข้าจะไปทูลฮ่องเต้หรือ”
นี่เป็นการเอ่ยถึงเรื่องกบฏ เชื่อหรือไม่ว่าหากเขาเอาไปกราบทูลฮ่องเต้ แม้แต่อารามชิงผิงของนางก็ถูกทำลายจนราบคาบ
“ท่านมีหลักฐานหรือ” ฉินหลิวซียิ้มใบหน้านิ่งพลางเอ่ย “ท่านอย่าได้เผยแพร่ข่าวลือ ข้าที่เป็นคนนอกจะไปก่อกบฏได้อย่างไร”
หมิงอ๋อง “…”
เมื่อครู่เป็นเจ้าที่พูดขึ้นมาเอง ทำไมหรือ เจ้าทำอะไรไม่มีใครรู้ใครเห็นหรือ
หมิงอ๋องเหลือบมองนาง “ท่านกำลังล้อข้าเล่น”
“ข้ามิกล้า เพียงแค่อยากถามท่าน หากมีเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ ตระกูลหมิงจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่”
ลมหายใจของหมิงอ๋องยุ่งเหยิง เอ่ยว่า “ตระกูลหมิงเป็นคนของราชวงศ์มาโดยตลอด ใครเป็นฮ่องเต้ก็ไม่แตกต่าง อีกอย่าง ตระกูลหมิงของข้านี้ ก็มีทั้งคนแก่ ผู้อ่อนแอ เด็กเล็ก ทั้งครอบครัวล้วนอาศัยบุญบารมีเก่าที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ในการดำรงชีวิต”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ไม่ว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ พวกท่านก็จะสนับสนุน”
คือว่า ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะ
แต่นางกล่าวเช่นนี้ หรือว่าจะผลักดันให้คนก่อกบฏจริงๆ นางเลือกใครกัน ทั้งๆ ที่เป็นคนนอก เป็นนักพรตคนหนึ่ง เหตุใดจึงได้มีความคิดผิดศีลธรรมเช่นนี้
“เดี๋ยวนะ ท่านคิดจะก่อกบฏจริงๆ หรือ” หมิงอ๋องอดถามขึ้นมาไม่ได้ เสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เรียกไม่ได้ว่ากบฏ เพียงแต่เมื่อเป็นฮ่องเต้ ข้าอยากจะสนับสนุนให้คนผู้หนึ่งขึ้นสู่บัลลังก์ก็เท่านั้น”
นี่คือการต่อสู้เพื่อสมบัติอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง
หมิงอ๋องอยากรู้เป็นอย่างมาก ถามว่า “ใคร”
ใครเป็นผู้โชคร้ายที่ตกเป็นเป้าหมายของนาง
การต่อสู้แย่งชิงตำแหน่ง เป็นการต่อสู้นองเลือด จะต้องยืนอยู่บนกองกระดูกนับหมื่นจึงจะสามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์ล้ำค่าอันสูงสุดได้ กระบวนการนี้เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยการต่อสู้ที่ดุเดือด สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้ตลอดเวลา หากจัดการได้ไม่ดีเพียงจุดเดียวก็จะตายกันทั้งตระกูล
“ท่านอ๋องก็อยากจะมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่”
หมิงอ๋องยกชาขึ้นมาจิบ กล่าวว่า “ท่านลองชิมชานี้ดูสิ เป็นชาต้าหงเผาที่ดีที่สุด แต่ข้าได้มาเพียงครึ่งจินเท่านั้น”
เหอะ จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์กลายเป็นปีศาจเฒ่าไปแล้ว
ฉินหลิวซีเอ่ย “หนึ่งผืนฟ้าหนึ่งราชวงศ์ ท่านอ๋องก็เป็นชายชราที่เท้าก้าวเข้าไปในโลงศพครึ่งหนึ่งแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องคิดถึงอนาคตอะไรแล้ว ท่านอ๋องน้อยปีนี้ก็อายุสิบห้าปีแล้วกระมัง ข้าเห็นว่าโรคหัวใจของเขาดีขึ้นไม่น้อยเลย จะมีบุตรก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีจวนปั๋วแห่งหนึ่ง เดิมทีเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ว่าแต่ละรุ่นที่ผ่านมา ไม่มีใครโดดเด่นแม้แต่คนเดียว ต่อให้มีบุญบารมีของบรรพบุรุษก็สูญเสียไปจนหมด กิจการของตระกูลล้มเหลวไม่ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อน มีเพียงแค่ตำแหน่งแต่กลับว่างเปล่า ไม่มีอะไร ได้ยินมาว่าเสื้อผ้าของพวกเขาก็ยืมใส่ของกันและกันไปในสถานที่ที่แตกต่างกัน”
หมิงอ๋อง “…”
เหตุใดต้าหงเผาในวันนี้จึงมีรสชาติขมเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเห็นเขามองมา ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ กล่าวว่า “ชานี้เป็นชาดีจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อผ่านไปหลายสิบปี ข้ามาขอดื่มชานี้อีก จะยังมีของดีเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่”
มั่นใจแล้วว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้ากำลังพุ่งเป้าหมายมาที่จวนหมิงอ๋องของเขา
หมิงอ๋องกล่าวว่า “ท่านก็รู้ หลานชายของข้าเป็นโรคหัวใจ ไม่ควรทำงานหนัก เขาไม่ใช่คนที่จะไปทำการใหญ่ได้ ทำงานไม่สำเร็จซ้ำยังล้มเหลวได้ง่าย เช่นนั้นจะไม่น่าดู”
“ดังคำกล่าวที่ว่าวีรบุรุษควรอยู่ห่างจากสถานการณ์ที่อันตราย ไหนเลยจะต้องให้ท่านอ๋องน้อยออกรบด้วยตัวเอง ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของจวนหมิงอ๋องเหล่านั้นยังคงนับถือในตัวพวกท่าน”
หมิงอ๋องสายตาเฉียบแหลม กล่าวว่า “ความกระตือรือร้นของท่านเจ้าอาวาสที่มีต่อเรื่องในราชสำนักไม่ด้อยไปกว่าบุรุษธรรมดาทั่วไปเลย!”
“ข้าก็ไม่ได้เข้าใจหรอก ก็เลยมาหาพรรคพวกไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ความร่ำรวยนี้ ไหนเลยจะคงอยู่ไปตลอดร้อยปี บริหารส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้”
“ดังนั้นคนผู้นั้นคือใคร”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ใครก็ตามที่เป็นราชฑูตไปบรรเทาภัยพิบัติ ก็คือคนผู้นั้น ตอนนี้พวกท่านไม่ต้องทำอะไร เมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆ จวนหมิงอ๋องรู้ดีว่าตัวเองต้องยืนอยู่ฝ่ายไหนก็พอ”
หมิงอ๋องประหลาดใจ
เขาดื่มชาจนหมดถ้วย กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าท่านเจ้าอาวาสเป็นคนนอก จะเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่ารนท่านเจ้าอาวาสก็อยากจะเป็นมหาราชครูที่อยู่ภายใต้ฮ่องเต้แต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น”
ประโยคหลังนี้ เสียดสีเล็กน้อย ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความเย็นชาอยู่บ้าง
ฉินหลิวซีไม่ได้โกรธ มองดูน้ำชาในถ้วย เอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “เพราะโลกนี้จะอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และข้าไม่สามารถปล่อยให้มันอยู่ในความสับสนวุ่นวายได้ ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้ทุกสรรพสิ่งถูกทำลายกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับปีศาจเฒ่าตนหนึ่ง”
หมิงอ๋องรูม่านตาหดลง หมายความว่าอย่างไร
ฉินหลิวซียิ้มให้เขา เอ่ย “ดังนั้น ท่านอ๋องผู้เฒ่า มาทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับเทพหนี่ว์วาซ่อมฟ้ากันเถอะ”